ทำสีหน้าดีๆ ได้ก็แปลกแล้ว! นางสะบัดกระโปรงยาว นั่งลงข้างกายเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิ แล้วถามว่า “คิดหาทางพาน้องสาวเจ้าออกไปจากข้างกายมู่ฝานจวินได้มั้ย?”
“…” เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย แล้วถามหยั่งเชิงอย่างค่อนข้างลำบากใจ “ไปแดนโพ้นสวรรค์มาครั้งนี้… เจ้าสามทำให้เจ้าไม่พอใจอีกแล้วเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวเอียงตัวทันที หนุนศีรษะไว้บนไหล่ของเขา ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เอาแต่โดนมู่ฝานจวินบีบจุดอ่อนแบบนี้ ข้าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว”
เครื่องประดับเกะกะบนศีรษะนางจิ้มจนเหมียวอี้ไม่สบายหน้าและคอ เขาเอียงหน้าพลางถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ทำไมข้าจะไม่อยากทำล่ะ แต่มู่ฝานจวินเหมือนจะแน่ใจแล้วว่าข้าพานางไปไม่ได้ หากมีความเป็นไปได้แม้เพียงนิดเดียว มู่ฝานจวินคงคงไม่หละหลวมกับนางแบบนี้หรอก ครั้งก่อนที่อยู่แดนโพ้นสวรรค์ ข้าถึงขั้นเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะจับตัวนางไปเสียเลย มู่ฝานจวินนั่นไม่ธรรมดา เจ้าอย่าไปมองนะว่านางเป็นแค่ผู้หญิง ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่ามู่ฝานจวินยังเหลือแผนสำรองอะไรไว้อีก ข้ากลัวเจ้าสามจะติดร่างแหไปด้วย เลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำไมล่ะ มู่ฝานจวินกลั่นแกล้งเจ้าเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวลุกนั่งตัวตรง มองเขาแล้วพยักหน้าแรงๆ “แค่กลั่นแกล้งซะที่ไหนล่ะ นางทำให้ข้าโมโหจนแทบทนไม่ไหว นางให้ข้าเป็นท่านทูตสายมะโรง”
“…” เหมียวอี้เบิกตาโพลงครู่หนึ่ง “นายท่านประมุขปราสาท นี่เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย? จริงหรือหลอก?”
“จริงสิ คาดว่าคงจะได้รับตำแหน่งเร็วๆ นี้”
“เหอะๆ! เถ้าแก่เนี้ย ถึงแม้พวกเราจะไม่สนใจตำแหน่งนี้ แต่เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะ! มีอะไรน่าโมโห?”
อวิ๋นจือชิวยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาเกยบนบ่าเขา บิดหูเขาอย่างยั่วโมโห แล้วเดาะลิ้นพูดว่า “เจ้ายังลิ้มลองรสชาติของประมุขปราสาทไม่ถึงอกถึงใจ ยังอยากจะลิ้มลองรสชาติของท่านทูตด้วยใช่มั้ยล่ะ?” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้… รสนิยมของท่านสามีก็ทำให้นางหน้าแดงนิดหน่อย ท่านสามีเหมือนจะมีรสนิยมแบบนี้ ชอบที่จะอาศัยฐานะความเป็นลูกน้องของตัวมาสยบผู้บังคับบัญชาอย่างนาง แล้วต้องทำในสถานที่ที่พิสูจน์ฐานะของนางด้วย พอนึกถึงภาพนั้นแล้วรู้สึกเสียหน้าจริงๆ
ตอนที่นางไม่พูดก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะกวาดมองนางตั้งแต่ศีรษะจดเท้าด้วยสายตาชั่วร้าย
“เชอะ! คิดไปถึงไหนแล้ว” อวิ๋นจือชิวเชิดใส่ แล้วผลักหน้าเขาออกไป จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วหมอบลงบนบ่าเขาอีก
เหมียวอี้ยื่นมือไปโอบเอวบางของนาง แล้วถามว่า “เป็นอะไรไป? ก็แค่เป็นท่านทูตเอง แค่ไปรับตำแหน่งสิ้นเรื่อง ข้าไม่อิจฉาหรอก ถ้าเจ้าแย่งตำแหน่งของมู่ฝานจวินได้ข้าก็ยิ่งดีใจ” เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ความรู้สึกหดหู่ยามสูญสิ้นอำนาจก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน
“ไม่ใช่เรื่องนี้”
“แล้วเรื่องไหนล่ะ?”
“ข้าอยากจะซ้อมเจ้าสักยก ให้ข้าซ้อมเจ้าสักยกได้มั้ย?”
เหมียวอี้สีหน้าบึ้งตึงทันที รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำเรื่องแบบนี้ได้จริงๆ จึงเตือนว่า “อวิ๋นจือชิว มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเป็นบ้ารึเปล่า ข้าไม่ได้ไปยั่วโมโหอะไรเข้าใช่มั้ย?”
นิ้วงามนิ้วหนึ่งจิ้มที่หน้าผากของท่านขุนนางเหมียว “ไม่มีมโนธรรม ตอนนี้รังเกียจที่ข้าเป็นคนบ้าซะแล้วเหรอ ตอนเปิดกระโปรงข้า ถอดกางเกงข้า ทำไมไม่รังเกียจที่ข้าเป็นคนบ้าบ้างล่ะ?”
เรื่องบางเรื่องแค่ทำก็พอแล้ว พูดออกมาแล้วน่าอาย เหมียวอี้ถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เจ้าเป็นฮูหยินของข้า ถ้าไม่ให้เปิดกระโปรงเจ้าแล้วจะให้เปิดกระโปรงใคร?”
“อย่ามาไม้นี้เลย! ลองไปถามเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หรือไม่ก็ลองไปถามฝาแฝดคู่นั้นดูสิ? ใครจะไปรู้ว่าเจ้ายังมีผู้หญิงคนอื่นปิดบังข้าอีกรึเปล่า”
เหมียวอี้หน้ามืดหน้าดำทันที “ถ้าพูดเรื่องฝาแฝดอีก ข้าจะแตกคอกับเจ้าแล้วนะ!”
“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดถึงพวกนางแล้ว ข้าจะจำไว้ เจ้าไม่ให้ข้าพูดเองนะ!” อวิ๋นจือชิวเงยหน้ามองเขา แล้วหมอบบนบ่าเขาพร้อมบ่นต่อไป “หนิวเอ้อร์ ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า เวลาข้าหาเรื่องโดยไร้เหตุผล เจ้าก็เลยไม่ถือสาข้า เจ้าไม่รู้หรอก ทุกครั้งหลังจากที่ข้าหาเรื่องแล้วเจ้ายอมข้า ในใจข้ารู้สึกดีมากนะ ต่อให้เป็นในฝันก็มีความสุข แต่ข้าก็กลัวมาก… หนิวเอ้อร์ จะมีวันไหนที่เจ้าจะเลิกชอบข้ารึเปล่า?”
“ไม่มีทาง!” มือของเหมียวอี้ไหลจากเอวลงไปที่บั้นท้าย
“จริงเหรอ?”
“จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว!”
“งั้นข้าก็จะลองดู!” อวิ๋นจือชิวบอกเขาก่อน เหมียวอี้ที่มือไม้กำลังซุกซนยังไม่ทันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มือของผู้หญิงคนนี้ก็ย้ายจากแผ่นหลังขึ้นมาดึงมวยผมเหมียวอี้แล้ว ดึงจนเขาตกลงมาจากเตียง แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ควงหมัดยกเท้าซ้อมเขาไปยกหนึ่ง
เหมียวอี้กำลังโดนซ้อมจนล้มลุกคลุกคลาน คำรามอย่างบ้าคลั่งว่า “นางผู้หญิงบ้า เจ้าบ้าไปแล้ว…”
ปั้งๆ! ตุ้บตั้บ! โครม…
อวิ๋นจือชิวเหมือนระบายความโกรธแค้นจริงๆ ออกแรงเพิ่มทั้งเท้าทั้งหมัด ซ้อมไปพลางด่าไปพลาง “ข้าให้เจ้าย่ำยีดอกไม้ ข้าให้เจ้าย่ำยีดอกไม้ริมทางไปทั่วเลย…”
“ฮูหยิน!” ประตูห้องสมาธิเปิดออก เชียนเอ๋อร์ที่พรวดพราดเข้ามาร้องอุทาน
อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วเตะเหมียวอี้อีกครั้งก่อนจะหยุด
เหมียวอี้กระโดดลุกขึ้น แล้วจ่อหมัดไปที่หน้าของอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวไม่หนีไม่หลบ ยื่นใบหน้างามเข้ามารับทันที เป็นฝ่ายเสนอหน้าให้เขาชก
“เจ้า…” หมัดแทบจะลงบนหน้านาง แต่กลับหยุดค้างเสียดื้อๆ ท่านขุนนางเหมียวแยกเขี้ยวยิงฟันทำสีหน้าดุร้าย แล้วจู่ๆ หมัดก็เปลี่ยนเป็นยื่นนิ้ว ชี้นิ้วจ่อจมูกนาง “ไม่มีทางอยู่กันดีๆ ได้หรอก ข้าจะเลิกกับเจ้า!”
อวิ๋นจือชิวยิ้มยั่วเย้า แล้วจู่ๆ ก็เข้ามากอดจูบเขาอย่างแรงทีหนึ่ง เหมียวอี้ที่โดนจู่โจมผลักนางออก ยกมือเช็กตรงที่โดนนางจูบ ทำเหมือนขยะแขยงสุดๆ
อวิ๋นจือชิวที่เซไปข้างหลังไม่สนใจ กลับเป็นการกวาดล้างความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ทิ้งไปเสียด้วยซ้ำ นางมองเขาอย่างออเซาะ ในแววตาเต็มไปด้วยความหวานปานน้ำผึ้ง อารมณ์เปลี่ยนเป็นกระปรี้กระเปร่าแล้ว นางหันตัวมองไปทางเชียนเอ๋อร์ที่เดินเข้ามา แล้วถามว่า “มีอะไร?”
เชียนเอ๋อร์มองทั้งสองด้วยสายตาสงสัยนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ฮูหยิน เชิญประมุขตำหนักฉินมาแล้วค่ะ”
อวิ๋นจือชิวรีบไปช่วยจัดเสื้อของเหมียวอี้ให้เรียบร้อย ที่เพิ่งลงมือเมื่อครู่นี้จากไม่ได้ตบหน้าเขา แต่เขาก็ยังไม่รับไมตรี ตะคอกอย่างโมโหว่า “ไสหัวไป!”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เอียงศีรษะบอกใบ้ให้เชียนเอ๋อร์ไปช่วยเขาจัดเสื้อผ้า ส่วนนางก็จัดกระโปรงตัวเอง ตอนลงมือเมื่อครู่นี้ทำให้เสื้อผ้าไม่เป็นระเบียบ
หลังจากทั้งสองจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อย อวิ๋นจือชิวก็ก้าวขึ้นมาคว้ามือเหมียวอี้ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “หนิวเอ้อร์ อย่าโมโหเลย แขกมาแล้ว ไปพบแขกด้วยกันเถอะ!”
“ไปให้พ้น! มีแต่ผีน่ะสิที่ไปกับเจ้า!” เหมียวอี้ยังไม่หายโมโห
“เอ๋!” อวิ๋นจือชิวเดาะลิ้น “ยังมาใส่อารมณ์อีกเหรอ อารมณ์แบบนี้สู้กับอารมณ์ตอนดึงกระโปรงข้าได้เลยนะ!”
เชียนเอ๋อร์รีบก้มหน้า แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เหมียวอี้แยกเขี้ยวยิงฟัน เกิดความรู้สึกเหมือนโดนทรมานจนยับเยิน อยากจะโผเข้าไปบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตาย
“หนิวเอ้อร์ เจ้าอย่ากังวลไปเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน เราสองคนมาเดิมพันกัน ถ้าข้าชนะแล้ว ต่อไปเจ้าก็เชื่อฟังข้ามากขึ้นหน่อย ถ้าเจ้าชนะแล้ว ต่อไปถ้าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะถูกหรือผิดข้าก็จะตามใจเจ้า แบบนี้ดีมั้ย?” อวิ๋นจือชิวช้อนคางเขาอย่างท้าทาย
“เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงเหรอ?” เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามอย่างแค้นเคือง “เดิมพันอะไร?”
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “เดิมพันสิ่งที่เจ้าถนัดที่สุด เล่นหมากล้อม!” พูดจบก็สะบัดกระโปรง เดินสาวเท้าออกไป
“หึ…” เหมียวอี้ชี้เงาหลังนาง พร้อมแสยะยิ้มให้เชียนเอ๋อร์ เหมือนกำลังบอกว่า ไม่รู้จักเจียมตัวเลย
ขณะที่มองเหมียวอี้ตามออกไป เชียนเอ๋อร์ก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ในโถงหลัก ฉินเวยเวยกำลังนั่งรออยู่ด้านข้าง อวิ๋นจือชิวที่รีบเดินออกมาหวาดตามองแวบหนึ่ง แล้วยิ้มอย่างแพรวพราว “น้องสาวมาแล้วเหรอ”
“พี่สาว!” ฉินเวยเวยรีบลุกขึ้นยืน
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ เหมียวอี้ก็ตามออกมาแล้ว ดึงแขนอวิ๋นจือชิวพร้อมบอกว่า “อย่าหนีสิ! พูดมาให้ชัดเจน ที่เดิมพันเมื่อกี้นี้เจ้ารักษาคำพูดรึเปล่า?”
“รักษาคำพูดอยู่แล้ว!” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองเขา พลางกล่าวอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด
ฉินเวยเวยยังไม่รู้ชัดว่าทั้งสองพูดเรื่องอะไร เหมียวอี้ก็หันกลับไปตะโกนบอกเสวี่ยเอ๋อร์แล้ว “วางกระดานหมากล้อม!”
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ก้าวเข้ามาจูงมือฉินเวยเวย พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “น้องสาวอยู่ที่นี่พอดีเลย มาเป็นพยานให้พอดี มานี่สิ นั่งลงดูด้วยกัน!”
พอวางกระดานหมากล้อม พวกเขาก็นั่งประจำที่ พอเจอกับการประลองหมากล้อม เหมียวอี้ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน วางมาดสูงส่ง กล่าวอย่างลำพองใจว่า “อวิ๋นจือชิว เล่นเป็นรึเปล่า เล่นไม่เป็นก็ยอมแพ้ อีกประเดี๋ยวถ้าแพ้แล้วอย่ามาอ้างว่าเล่นไม่เป็นนะ”
อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วเรียวงาม พร้อมพูดแดกดัน “เล่นหมากล้อมกับเจ้าน่ะ หลับตาเล่นก็ยังชนะเลย ข้าไม่อยากรังแกคนเล่นหมากล้อมแย่อย่างเจ้าเฉยๆ หรอก ให้เจ้าลงหมาก่อนยี่สิบตัวเลย!”
“หึหึ! ให้ข้าลงยี่สิบตัวเหรอ? ไม่รู้จักประเมินกำลังตัวเอง ช่างโอ้อวดนัก ต้องเดิมพันอย่างยุติธรรมหน่อยสิ อย่าแพ้แล้วเบี้ยวนะ”
“ใครเบี้ยวก็จอให้คนนั้นออกลูกมาไม่มีรูก้น!” อวิ๋นจือชิวพูดจบก็รู้สึกว่าพูดผิดไป ไม่ว่าจะด่าอย่างไรก็เหมือนด่าตัวเอง รีบหันข้างแล้วถ่มน้ำลายสามครั้ง
เหมียวอี้พูดเหน็บแนมทันที “ขนาดพูดยังพูดไม่คล่องเลย ยังจะมาเล่นหมากล้อมอีก!”
อวิ๋นจือชิวถลึงตาพูดว่า “อย่าเปลืองคำพูดเลย! ข้าให้เจ้าลงก่อน!”
เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ คนมันกำลังคันไม้คันมือ อยากจะทรมานอีกฝ่ายคืนบนกระดานหมากล้อม พอเขาตบหมากลงไปตัวหนึ่ง อวิ๋นจือชิวก็วางหมากตามทันที
ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ กลับอดไม่ได้ที่จะถามเสียงอ่อนปวกเปียก “พี่สาว ท่านเป็นหมากล้อมเป็นเหรอคะ?”
อวิ๋นจือชิววางหมากลงไป แล้วมองนางพลางยิ้มอย่างสนิทสนม ถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายลึกซึ้งว่า “เจ้าเดาดูสิ?”
ดวงตาฉินเวยเวยฉายแววหวาดระแวงทันที นางไม่กล้าเดา สายตาย้ายไปอยู่บนกระดานหมากล้อมเพื่อหาคำตอบ ยิ่งดูก็ยิ่งกังวลใจ ตอนนี้ประสานสองมือเข้าด้วยกันแล้ว
ผ่านไปไม่นานนัก เหมียวอี้ก็ระเบิดอารมณ์แล้ว เขาตบโต๊ะพลางด่าฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าเล่นหมากล้อมเป็นหรือเปล่า เจ้าลงแบบนี้…”
เสียงด่าพลันหยุดชะงัก ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นจือชิวจะชักกระบี่วิเศษด้ามหนึ่งออกมา แล้วจ่อไปที่หน้าอกของเขาโดยตรง นางเตือนว่า “หนิวเอ้อร์ อย่างเจ้านี่เรียกว่าเป็นโรคอะไร? เจ้าต้องมากำหนดด้วยเหรอว่าข้าต้องลงหมากอย่างไร? คู่ต่อสู้บังคับคู่ต่อสู้ เจ้าเคยเห็นใครเขาลงหมากกันแบบนี้บ้าง? เจ้าจะลงหรือไม่ลง?”
คมกระบี่จ่อที่ผิวหนังตรงหน้าอกจนเป็นแผลแล้ว เหมียวอี้ที่กำลังเจ็บปวดได้สติขึ้นมาทันที พบว่าตัวเองเหมือนจะขาดเหตุผลจริงๆ เขาทำเสียงฮึดฮึดนิดหน่อย ผลักกระบี่ที่จ่อตรงหน้าอกออก แล้วลงหมากอีกตัวด้วยสีหน้าดำครึ้ม
อวิ๋นจือชิวเก็บกระบี่มาวางยันพื้น แล้วลงหมากตัวหนึ่งโดยไม่คิดอะไร
ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็เริ่มแหกปากอีกครั้ง “เจ้า…”
คำพูดค้างอีกแล้ว ดาบในมืออวิ๋นจือชิวกำลังจ่อที่พุงของเขา พร้อมกล่าวเสียงเรียบ “สำรวมนิสัยแย่ๆ ไว้หน่อย ข้าไม่ได้ทำผิดกฎ ไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรด้วย เจ้าจะเดือดร้อนอะไร? ซื่อสัตย์หน่อย!” นั่งชี้กระบี่ลงข้างล่าง บอกใบ้ให้เขานั่งลงเล่นต่อ
เหมียวอี้เหมือนใบหน้าโดนตะคริวกิน เขานั่งลงอย่างช้าๆ หลังจากลงมากไปตัวหนึ่ง ก็เหลือบไปเห็นอวิ๋นจือชิวที่ใช้มือข้างหนึ่งลงหมากด้วยท่าทางสบายใจ ส่วนมืออีกข้างถือกระบี่แกว่งไปแกว่งมาไม่ยอมเก็บ ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย
ผ่านไปครู่เดียว เหมียวอี้ก็อยากจะพลิกกระดานอีก แต่ก็โดนแสงคมกระบี่แวบเข้ามาแทงบนข้อมือ แทงจนเลือดสดไหลออกมา โดนขัดขวางด้วยวิธีการแข็งกร้าวแล้ว
ใช้เวลาไม่นานเท่าไร ในการเล่นหมากล้อมครั้งนี้ ร่างกายท่อนบนของเหมียวอี้เต็มไปด้วยรอยแผลแล้ว โดนกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นคนถือกระบี่เล่นหมากล้อม มือข้างหนึ่งลงหมาก ส่วนมืออีกข้างถือกระบี่จิ้มเตือนบนตัวเขา
ไม่ใช่แค่บนกระดานหมากล้อม แม้แต่บนร่างกายก็ยับเยินจนทนมองไม่ไหว ขนาดเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยังทำใจไม่ได้ที่จะมองตรงๆ
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้มอยู่เสมอ ทำให้เหมียวอี้เริ่มเหงื่อซึมเต็มศีรษะ ส่วนฉินเวยเวยที่ดูอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกพะว้าพะวงเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม คอยแอบมองอวิ๋นจือชิวอยู่เป็นระยะ ทำท่าทางเหมือนกินปูนร้อนท้อง