แน่นอน สาเหตุที่ปฏิบัติตามสิ่งที่หยางชิ่งบอกก่อนหน้านี้และให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปเก็บบัญชี ก็เพราะคำนึงถึงปี้เยว่ฮูหยิน ทุกเรื่องล้วนมีขีดจำกัด ถ้าก่อเรื่องจนปี้เยว่ฮูหยินแบกรับไม่ไหว ถ้าทำให้ปี้เยว่ฮูหยินล้มลงจริงๆ ความพยายามก็จะสูญเปล่าแล้ว
ทว่าเรื่องราวมากมายในโลกนี้ล้วนคลาดเคลื่อนได้ ไม่ใช่สิ่งที่ความสามารถของคนจะคาดการณ์ได้หมด ปี้เยว่ฮูหยินไม่รู้ว่าเขายังเตรียมแผนสำรองเอาไว้ เพื่อที่จะช่วยเขาแบกรับเรื่องนี้ นางทะเลาะจนแตกคอกับท่านโหวเทียนหยวนแล้ว
ทางนี้เพิ่งติดต่อกับหยางชิ่งเสร็จ ปี้เยว่ฮูหยินที่เดินวนเพียงลำพังในตำหนักคุ้มเมืองรอบหนึ่งไม่พบลูกสาว จึงติดต่อมาถามเขาแล้ว : ลูกสาวข้าอยู่ไหน?
เหมียวอี้ : จัดให้อยู่ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ข้าจะให้คนพาไปส่งเดี๋ยวนี้
ปี้เยว่ฮูหยินรีบปฏิเสธ : ไม่ต้องแล้ว รอเจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านมือคนนอก
นี่คือข้ออ้าง ที่จริงนางอยากเจอแต่ก็กลัวที่จะเจอ นางเดินวนอยู่ในตำหนักคุ้มเมืองเพียงลำพัง อยากจะแอบดูลูกสาวก่อนสักหน่อย ตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับลูกสาวอย่างไรดี ความกังวลในใจไม่มีทางอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
เหมียวอี้ : ดี ข้าจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร ทูตตรวจการฝ่ายซ้ายซือหม่าเวิ่นเทียนกำลังยืนอยู่แล้วหน้าเพื่อตอบคำถาม
ช่วงนี้ประมุขชิงอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร เขานั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะยาว เอนกายพิงเก้าอี้พลางหลับตาพักผ่อน รอจนกระทั่งซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวคารวะแล้ว ถึงได้ถามว่า “ข้างล่างมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียน “แต่ละฝ่ายได้รับคำสั่งให้ปิดผนึกและตรวจสอบประตูดวงดาวแต่ละแห่ง เพียงแต่ออกแรงทำงานแบบไม่เต็มใจ ทุกคนทำอย่างขอไปที ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรขอรับ”
ประมุขชิงลืมตาเล็กน้อย “ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อยเลยเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “พวกเขาทำงานอย่างระมักระวังและสำรวมอาการ แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร กลับเป็นทางด้านท่านโหวเทียนหยวนที่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายนิดหน่อยขอรับ” เขาพลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา แล้วช้สองมือยื่นให้
ประมุขชิงขยุ้มนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกมาไว้ในมือแล้วตรวจอ่าน
ข้างในเป็นเรื่องที่ลูกน้องของซือหม่าเวิ่นเทียนรายงานขึ้นมา สิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนของปี้เยว่ฮูหยิน เริ่มตั้งแต่เรื่องที่เหมียวอี้ทำร้ายเพื่อนร่วมงานในตำหนักประชุม จากนั้นก็ออกอุบายรีดไถเงินเพื่อนร่วมงานพร้อมตบหน้าทุกคนแทนดอกเบี้ยที่นอกจวนแม่ทัพภาค รวมทั้งเรื่องที่คนนอกไม่รู้อย่างเช่น เหมียวอี้ซ่อนผลงานทดสอบไว้เพื่อช่วยให้ปี้เยว่ฮูหยินทดสอบได้อันดับเก้า หรือแม้กระทั้งเรื่องที่ท่านโหวเทียนหยวนกับปี้เยว่ฮูหยินทะเลาะกันผ่านระฆังดาราเพราะเรื่องนี้ก็ถูกบันทึกอยู่ในนี้ด้วย
ความสามารถในการสังเกตการณ์อันร้ายกาจของหน่วยตรวจตรวจการฝ่ายซ้ายล้วนแสดงออกในบันทึกนี้หมดแล้ว หลังจากประมุขชิงได้อ่านแล้วอารมณ์ดีมาก โดยเฉพาะเนื้อหาในบันทึกที่ทำให้เขากลั้นขำไม่ไหว “หนิวโหย่วเต๋อคนนี้นี่ยังไงกัน ทำไมเหมือนหมาบ้าล่ะ กล้าทำร้ายเพื่อนร่วมงานในตำหนักประชุมได้ยังไง?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “เรื่องนี้มีสาเหตุขอรับ คาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนหลังหนิวโหย่วเต๋อล้างเลือดร้านค้าที่ตลาดสวรรค์เช่นกัน ในปีนั้นหนิวโหย่วเต๋อเคยโดนคนพวกนี้สร้างความอัปยศอับอายให้อย่างถึงที่สุด…” เขาเล่าเรื่องที่หมียวอี้โดนคนพวกนั้นสร้างความอัปยศให้อย่างกำเริบเสิบสาน สุดท้ายก็กล่าวเสริมว่า “ตอนที่ทดสอบ เหมียวอี้ก็เคยไล่สังหารเพื่อนร่วมงานพวกนี้ แต่โชคดีพ้นเคราะห์ไปได้ จากนั้นกลับมาจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็ไม่เจอโอกาสลงมือเสียที ครั้งนี้ปี้เยว่ทดสอบกลับมา ในที่สุดทุกคนก็ได้เจอหน้ากัน หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าเวรนั่นอาศัยว่าตัวเองแอบทำคะแนนทดสอบให้ปี้เยว่ จึงมีความมั่นใจ ก็เลยลงมือเสียเลย”
“ผลงานทดสอบที่ซ่อนไว้เพื่อพุ่งเป้าไปที่ตำแหน่งแม่ทัพภาคในภายหลังเหรอ?” ประมุขชิงคุร่นคิดเล็กน้อย แล้วถามกลับว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด เดิมทีหนิวโหย่วเต๋อทดสอบได้อันดับเก้า แต่เป็นเพราะพังกลองสะท้านฟ้าทำลายอำนาจบารมีของตำหนักสวรรค์ ก็เลยถูกถอดอันดับทดสอบใช่มั้ย?”
ถึงอย่างไรคนอย่างเหมียวอี้ก็อยู่ระดับต่ำเกินไปจริงๆ ต้องเกิดเรื่องขึ้น ประมุขชิงถึงจะสนใจ แต่ก็ใช่ว่าจะจดจำเหมียวอี้ไว้ตลอด ในใต้หล้ามีเรื่องสำคัญมากมายขนาดนั้น ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่มีทางที่จะสนใจทุกการกระทำของเหมียวอี้ผู้ต่ำต้อย สามารถจดจำชื่อ ‘หนิวโหย่วเต๋อ’ ได้ก็นับว่าไม่แย่แล้ว
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบว่า “ขอรับ! ตอนแรกยังมีขุนนางใหญ่จำนวนไม่น้อยที่บอกว่าอยากได้ตัวหนิวโหย่วเต๋อ ใครจะคิดว่าพอหนิวโหย่วเต๋อกลับมาแล้วจะล้างเลือดตลาดสวรรค์อีกครั้ง ทำให้ไม่มีใครอยากได้แล้ว ความมุทะลุบุ่มบ่ามของหนิวโหย่วเต๋อเรียกได้ว่าทำลายอนาคตดีๆ ของตัวเอง”
ประมุขชิงตอบว่า “เดิมทีเขาได้อันดับเก้า คะแนนที่ซ่อนไว้ก็ทำให้ฮูหยินของเทียนหยวนได้อันดับเก้าเหมือนกัน แบบนี้แสดงว่าเดิมทีเขามีโอกาสได้อันดับหนึ่ง…ดูท่าแล้ว เหมือนเขาจะไปสู้ตายที่แดนอเวจีจริงๆ ยังมีความสามารถอยู่”
“ศักยภาพนั้นพอมีอยู่บ้าง ความสามารถก็มีเช่นกัน ติดแค่ก่อเรื่องเก่งเกินไปขอรับ” ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าว
“ก่อเรื่อง?” ประมุขชิงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าหนุ่มนี่ช่างไม่เกรงใจสักนิดเลยจริงๆ ไม่ไว้หน้าแม้แต่หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ออกอุบายรีดเงินสร้างความอับอายต่อหน้าฝูงชนแบบนี้ เขาไม่กลัวว่าถ้าเพื่อนร่วมงานจะจนตรอกจนร่วมมือกันสู้ตายกับเขาบ้างเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนกล่าวว่า “ฝ่าบาท ตอนทดสอบหนิวโหย่วเต๋อบุกเดี่ยวโจมตีฝ่าเข้าฝ่าออกทัพใหญ่หนึ่งล้าน ไม่มีใครต้านทานได้ คนพวกนี้ล้วนอยู่ในที่เกิดเหตุ ตอนนั้นจ้านหรูอี้แทบจะโดนหนิวโหย่วเต๋อแทงตายด้วยทวนเดียว คนอื่นๆ ก็ยิ่งตกใจจนลุกลี้ลุกลนหนี ต่อให้ร่วมมือกันก็เกรงว่าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหนิวโหย่วเต๋อ พวกเขาย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอยู่แล้ว หนิวโหย่วเต๋อยิ่งประกาศว่า ‘ข้ามีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องตายอยู่ดี’ เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อสู้ตายแล้ว ขนาดสถานะของหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้”
“มีเรื่องกับผู้มีอำนาจมาทั้งราชสำนักแล้ว…” ประมุขชิงหรี่ตาพลางพึมพำว่า “ล้างเลือดสองครั้ง โดนเขาล่วงเกินมาหมดแล้วจริงๆ…ก่อนหน้านี้เหมือนจะเคยได้ยินคนเอ่ยถึง ดูท่าแล้ว การจับเจ้าเด็กนั่นไปไว้ที่ตลาดสวรรค์ในตอนนี้ก็น่าเสียดายเกินไปจริงๆ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาทหมายความว่า จะย้ายเขาออกมาจากตลาดสวรรค์หรือขอรับ?”
ประมุขชิงใช้สองมือประคองที่วางมือบนเก้าอี้เพื่อลุกขึ้นยืน เอามือไขว้หลังเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา ขณะที่ก้าวช้าๆ ก็กล่าวว่า “วรยุทธ์ต่ำเกินไป ย้ายออกมาก็ใช้งานสำคัญอะไรไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าตอนนี้ไม่ให้เขากอบโกยทรัพยากรจากตรงนั้น ถ้าไม่มีทรัพยากรฝึกตน แล้วเขาจะเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้นได้อย่างไร? รอให้วรยุทธ์เขาสูงขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน! แต่คนที่เขาล่วงเกินก็มีเยอะเกินไปจริงๆ ถ้าโอกาสเหมาะสมทางเจ้าก็แอบสนับสนุนเขาสักหน่อย คิดเสียว่าให้โอกาสเขาเติบโต อย่าปล่อยให้คนอื่นทำเขาตายได้ง่ายๆ และแน่นอน คมดาบเกิดขึ้นเพราะถูกลับ อย่าทำเรื่องที่ประเภทดึงต้นกล้าให้โต[1] ถ้าไม่ผ่านการตีหลอมนับพันครั้ง ก็จะเป็นกระดูกที่ไม่ทนทาน คุมสนามไม่ได้ หากต้องการเพียงนักพรตวรยุทธ์สูง คนที่นำเขาอยู่ก็มีตั้งเยอะ ข้าจะเอาเขาไว้ทำไม? ข้าให้โอกาสเขา แต่หนทางเขาต้องเป็นคนเดินเอง ส่วนจะเดินได้ไกลเท่าไร ก็ต้องดูที่ตัวเขาเองแล้ว ข้าไม่ต้องสวะที่ไร้ประโยชน์”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ
ตำหนักคุ้มเมือง หยางชิ่งยืนคอยและมองอยู่ตรงประตู เห็นเหมียวอี้มาแล้วแต่กลับเหาะไปทางจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขาก็งงนิดหน่อย
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้ก็เหาะกลับมาจากเขตเมืองตะวันออก มาเหยียบตรงประตูตำหนักคุ้มเมือง
หยางชิ่งก้าวขึ้นมาพึมพำถาม “แม่ทัพภาครออยู่ที่ตำหนักหลัง ไม่ทราบว่านายท่านติดต่อเซี่ยโห้วหลงเฉิงรึยัง?”
“ติดต่อแล้ว เจ้านั่นไม่ได้กลับไปเลย พอออกจากจวนแม่ทัพภาคตงหัวก็มุ่งตรงไปจวนแม่ทัพภาคหนีฉางแล้ว ไม่ยอมรอนานเลยแม้แต่ครู่เดียว ไปคิดบัญชีแบบไม่พาคนไปด้วย ไม่กลัวว่าจะโดนฆ่าเลย” เหมียวอี้ส่ายหน้า เขายอมแพ้เจ้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงนั่นแล้วจริงๆ
หยางชิ่งเดินตามหลังเขาพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ภูมิหลังของเขายังไม่ประสบพบเจอความเสื่อมถอย ย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว จางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิงก็ไม่กล้าแตะต้องเขาเหมือนกัน”
ตอนที่จะเข้าตำหนักหลัง เหมียวอี้โบกมือห้ามไม่ให้หยางชิ่งเข้าไปด้วยกัน
ตำหนักหลังถูกปี้เยว่ฮูหยินยึดครองแล้ว และประตูตำหนักหลังก็ถูกคนของปี้เยว่เฝ้าไว้แล้วเช่นกัน ทหารยามคนหนึ่งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ ผ่านไปครู่หนึ่งหลันเซียงก็อุ้มปีศาจจิ้งจอกพันหน้านำคนเดินออกมา แล้วให้เหมียวอี้เข้าไป ส่วนตัวเองกลับไม่ได้เข้าไปอีก
แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าปี้เยว่ฮูหยินตั้งใจกันคนอื่นๆ ออกไป
พอเข้ามาในสวนดอกไม้ ก็เห็นปี้เยว่ฮูหยินยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ชั่วพริบตานั้น เหมียวอี้ก็ค่อนข้างเหม่อลอย เหมือนย้อนกลับไปในภาพเหตุการณ์ที่ตัวเองมาเยี่ยมคารวะปี้เยว่ฮูหยินที่นี่ในปีนั้น
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ได้พบกับนางอีกครั้ง เขาขี้เกียจจะทำตัวสุภาพแล้ว กุมหมัดคารวะเบาๆ พร้อมทักทายว่า “ให้ฮูหยินรอนานแล้ว”
ปี้เยว่กำลังยืนดอมดมอยู่หน้าดอกไม้ นางไม่ได้หันกลับมา เพียงพ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ยาแก่นเซียนคนละยี่สิบล้านเม็ด เจ้าทำเกินไปหน่อยรึเปล่า แค่ระบายความโกรธก็พอแล้ว อย่างมากก็นับว่าเป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกเจ้า เจ้าออกอุบายรีดไถเงินเพื่อนร่วมงาน อีกฝ่ายมาฟ้องข้าแล้ว เจ้าจะให้ข้าลงโทษหรือไม่ลงโทษดีล่ะ? เทียนหยวนกดดันข้าแล้ว!”
“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมทางหนีทีไล่ให้ฮูหยินแล้ว” เหมียวอี้กล่าว
ปี้เยว่ปล่อยกิ่งของดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือ แล้วหันกลับมาถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
เหมียวอี้ตอบว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิงไปคิดบัญชีที่จางฮั่นฟางกับหลิ่วกุ้ยผิงแล้ว เก็บยาแก่นเซียนคนล่ะยี่สิบล้านเม็ดเหมือนกัน ที่เขาเก็บได้ก็เป็นของเขาหมด นอกจากนี้ ใครจะพิสูจน์ได้ล่ะว่าข้าออกอุบายรีดไถเงินพวกเขา? ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ยอมรับ”
ปี้เยว่ฮูหยินขมวดคิ้ว ตอนแรกยังไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร แต่หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางก็พูดไม่ออกนิดหน่อย สงสัยจะผลักเรื่องนี้ไปให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงออกหน้าต้านทานให้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่ถามเรื่องนี้อีก สิ่งที่นางสนใจที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนี้ นางเอียงหน้ากล่าวว่า “ไปพาคนมาเถอะ”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ชี้ไปที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว บอกใบ้ว่าพาคนมาแล้ว
เขากำลังจะโบกมือเรียกไห่ผิงซินออกมา แต่ปี้เยว่ฮูหยินกลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะพาคนมาโดยตรง นางยังเตรียมสภาพจิตใจไม่พร้อม คว้าข้อมือเขาเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ช้าก่อน”
จากนั้นก็เหมือนจะสังเกตเห็นว่าตัวเองเสียอาการ ฝ่าฝืนบรรทัดฐานที่ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน จึงรีบปล่อยมือ แล้วหันตัวเอามือนาบอกตัวเอง แล้วเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายไม่หยุด สำหรับคนคนหนึ่งที่ทิ้งลูกสาวตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีกว่า การเผชิญหน้าในตอนนี้คือสิ่งที่ยากลำบากมาก
เหมียวอี้พบว่าผู้หญิงคนนี้กังวลมาก หลังจากเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว เขาก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็รักษาความเงียบเอาไว้ รอคอยต่อไป
หลังจากนั้นพักหนึ่ง ปี้เยว่ก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว นางหันตัวมาพยักหน้าให้เขา
พอเหมียวอี้โบกมือ ไห่ผิงซินที่สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนสวยบริสุทธิ์ก็ปรากฏตัว นางเหลียวซ้ายแลขวาอย่างงุนงง หลังจากเห็นหน้าปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังยิ้มอย่างเจ็บปวดรวดร้าว นางก็สีหน้าเปลี่ยนไปมากทันที ดวงตาแดงก่ำในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาเม็ดใหญ่เริ่มไหลออกมา นางเริ่มถอยหลังขณะที่สายตากวาดมองหาอะไรบางอย่างไปทั่ว
“ซินเอ๋อร์!” ปี้เยว่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ
ไห่ผิงซินเอามือปาดน้ำตา แล้วยกกระโปรงวิ่งไปทันที ผลักประตูใหญ่ของห้องห้องหนึ่งที่อยู่ในสวนดอกไม้เข้าไปโดยตรง วิ่งเข้าไปแล้วรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ปฏิกิริยาของลูกสาวราวกับดาบที่แทงทะลุหัวใจ ปี้เยว่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขมรีบก้าวไปยืนอยู่นอกประตู แล้วเคาะเบาๆ พลางเรียกไม่หยุด “ซินเอ๋อร์ แม่เองลูก เปิดประตูสิ แม่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ไห่ผิงซินที่อยู่ข้างในก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย ปี้เยว่เองก็ไม่ฝืน สุดท้ายก็ยืนอยู่นอกประตู ยืนพูดพร่ำมากมายโดยมีประตูกั้น
เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ในสวนดอกไม้ ฟังปี้เยว่ฮูหยินตำหนิตัดพ้อตัวเอง
…………………………
[1] ดึงต้นกล้าให้โต 拔苗助长 อุมาว่ารีบร้อนเร่งให้งานสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิด