ณ ประตูดวงดาวสำหรับผ่านไปดาวไร้ลักษณ์ ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งเฝ้าอยู่ที่นี่ สอบสวนนักพรตที่สัญจรไปมาอย่างเข้มงวด
ตรงที่ไกลๆ มีกำลังพลตำหนักสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งเหาะเข้ามา ผู้ที่นำกลุ่มก็คือเหมียวอี้นั่นเอง
“ผู้ที่มาเป็นใคร หยุดก่อน!”
กำลังพลแถวหนึ่งที่เฝ้าประตูดวงดาวเหาะออกมา ขวางอยู่ด้านหน้าประตูดวงดาว ก่อนที่ผู้นำกลุ่มจะตะโกนถาม
เหมียวอี้โบกมือ กำลังพลข้างหลังทยอยกันหยุด ทหารยามมองสำรวจผู้ที่มา เมื่อเห็นว่าเป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์เหมือนกัน ก็ตะโกนถามอีกว่า “มาจากไหน?”
เหมียวอี้พลิกมือโยนแผ่นหยกเข้าไป พอทหารยามรับมาอ่านในมือ ก็หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ก็ยังนึกว่าใครเสียอีก หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวผู้โด่งดัง” เขาโยนแผ่นหยกกลับมา แล้วถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทำไมเจ้าไม่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดีๆ ล่ะ นี่กำลังจะไปไหน?”
ในคำพูดนี้ฟังดูไม่ค่อยหวานสักเท่าไร ดูจากยศแล้วก็น่าจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่เหมือนกัน เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของอาณาเขตนี้ก็ถือว่ามีตำแหน่งเทียบเท่าผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ เพียงแต่ฝ่ายแรกอิจฉาฝ่ายหลังมาตลอด
เหมียวอี้ตอบว่า “ได้รับคำสั่งให้มาทำงาน ไม่ทราบว่าทุกคนมาเฝ้าที่นี่ไว้หมายความว่ายังไง?”
ทหารยามหัวเราะเสียงดัง แล้วตอบว่า “สงสัยตลาดสวรรค์จะเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องราวข้างนอกก็ได้ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่เคยได้ยินเรื่องผู้ร้ายก่อเหตุที่เกิดขึ้นช่วงนี้? พวกเราได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าประตูดวงดาวที่นี่ ให้ตรวจสอบนักพรตที่เดินทางไปมาอย่างเข้มงวด”
เหมียวอี้พยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่รบกวนทุกคนแล้ว หนิวขอตัวก่อนแล้วกัน” ขณะที่พูดก็กุมหมัดคารวะเตรียมจะผ่านไป
ใครจะคิดว่าทหารยามจะยกมือห้าม “ช้าก่อน! ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ไม่ใช่ว่าหูคนนี้ไม่ไว้หน้า เพียงแต่ยากจะขัดคำสั่งเบื้องบน ไม่ว่าใครที่ผ่านมาที่นี่ก็ล้วนต้องถูกค้นตัวตรวจสอบ คนของตำหนักสวรรค์ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ถ้ามีใครกินบนเรือนขี้บนหลังคา สมคบคิดกับผู้ร้ายขึ้นมาจะไม่แย่หรอกหรือ?”
พวกเหมียวอี้สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย จะค้นตัวพวกเขางั้นเหรอ?
เรื่องผู้ร้ายเป็นอย่างไรทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ที่บอกว่าจับผู้ร้ายก็แค่ทำพอเป็นพิธีเฉยๆ แต่ตอนนี้กลับจะค้นตัวพวกเขาจริงๆ ชัดเจนว่ากำลังกลั่นแกล้งพวกเขา
เหมียวอี้ถามเสียงเรียบว่า “พวกเราเป็นคนของตลาดสวรรค์ พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาค้นตัวพวกเรา?”
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะให้คนพวกนี้ค้นตัว คนที่มากับเขาเป็นคนของทะเลดาวนักษัตร ถ้าบนตัวมีของต้องห้ามอะไรถูกเปิดโปงขึ้นมา แบบนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว แล้วอีกอย่าง ถ้าให้คนจากอำนาจท้องถิ่นมาค้นตัวได้ง่ายๆ ไม่เท่ากับตบหน้าฝั่งระบบของตลาดสวรรค์หอรกเหรอ
ทหารยามหัวรลั่นพร้อมตอบว่า “คนของตลาดสวรรค์ก็เป็นคนของตำหนักสวรรค์เหมือนกัน คงจะให้ความร่วมมือกับผู้ร้ายต่อต้านตำหนักสวรรค์ไม่ได้หรอกใช่มั้ย จะไปอ้างเหตุผลนี้ที่ไหนได้ล่ะ ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ได้โปรดอย่าทำให้หูคนนี้ลำบากใจเลย!”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “แล้วถ้าข้าไม่ให้ค้นตัวล่ะ เจ้าจะทำยังไง?”
ทหารยามมองไปที่เหมียวอี้ด้วยสายตาระแวดระวัง ถึงอย่างไรชื่อเสียงของเจ้าตัวก็เห็นๆ กันอยู่ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเป็นทหารกล้าผู้โด่งดัง โจมตีฝ่าออกมาจากทัพใหญ่หนึ่งล้าน ถ้าบอกว่าไม่กลัวเลยสักนิดก็แปลว่าโกหกแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มีหรือที่เขาจะยอมทิ้งความน่าเกรงขามของอำนาจท้องถิ่น จึงส่ายหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ทางที่ดีอย่าสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์!”
“เจ้าบังอาจ!” ฝูชิงที่ยืนอยู่ข้างกายเหมียวอี้พลันตะคอก กำลังพลที่ติดตามมาเผยอาวุธเตรียมป้องกันทันที
“หึหึ!” ทหารยามก็ไม่พูดมากเช่นกัน เพียงโบกมือหนึ่งที
“อู…อู…” ลูกน้องคนหนึ่งที่อยู่ข้างหลังเขาเป่าแตรสัญญาณทันที
ชั่วพริบตานั้น มีกำลังพลนับพันพุ่งเข้ามาทันที ถืออาวุธล้อมไว้พร้อมกัน ล้อมพวกเหมียวอี้ไว้ทั่วทุกสารทิศเป็นรูปวงกลม
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ที่อยู่ทางซ้ายและขวากวักมือ คนสิบกว่าคนที่ติดตามมาด้วยเผยอาวุธ คอยเตรียมพร้อมป้องกันอยู่รอบกายเหมียวอี้
เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ มองดูเชือกมัดเซียนที่กำลังพลพวกนั้นได้รับคำสั่งให้หยิบออกมา พวกเขามองด้วยสายตาดุร้ายเหมือนพร้อมจะโยนออกมาได้ทุกเมื่อ
ฝูชิงกับพวกอิงอู๋ตี๋ไม่เคยประมือด้วยวิธีการแบบนี้ แต่เหมียวอี้กลับเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว รู้ว่าการล้อมโจมตีแบบนี้พัวพันได้ยากมาก เขามีประสบการณ์ในการรับมือแล้วจึงไม่หวาดกลัว แต่พวกฝูชิงเกรงว่าจะเสียเปรียบ ถ้าลงมือขึ้นมาฝั่งนี้อาจจะไม่ได้ประโยชน์ อย่างไรเสีย ต่อให้เหมียวอี้จะเก่งกาจกว่านี้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะกำลังพลนับพันพร้อมกันได้ในชั่วพริบตาเดียว
หลังจากครุ่นคิดแล้ว เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่หรงซิงหัว ที่นี่คืออาณาเขตของเฉาว่านเสียง กำลังพลที่เข้าที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนของเฉาว่านเสียง
ประสิทธิภาพชัดเจนมาก ผ่านไปไม่นาน ทหารยามก็หยิบระฆังดาราออกมา หลังจากได้ฟังคำสั่งแล้วก็โบกมือ “ปล่อยไป!”
เขาเองก็หาบันไดลงได้แล้ว ชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ ขนาดทัพใหญ่หนึ่งล้านยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เลย แล้วพวกเขาจะไหวได้อย่างไร ตอนนี้ย่อมอาศัยโอกาสลงจากหลังลาอยู่แล้ว
กำลังพลนับพันหลีกทางให้ เหมียวอี้นำคนเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว หายไปในประตูดวงดาวด้วยกัน
ส่วนพวกทหารยามก็ดักตรวจสอบคนกลุ่มต่อไป…
ดาวไร้ลักษณ์ เทือกเขาอันรกร้างแห้งแล้งแห่งหนึ่งที่ผ่านการสู้รบมาหลายปีติดต่อกัน
ทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ที่เป็นสุสานสิบลี้ ญาติบ้านใครชื่อแซ่ของใคร กระดูกขาวที่น่าสงสารไร้คนฝัง เสียงผีร้องควรญครางทุกคืน
พวกเหมียวอี้เหาะลงจากฟ้า ทหารยามสองคนที่เฝ้าที่นี่ถลันตัวออกมาจากป่าโบราณที่มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวข้างหน้า “คารวะผู้บัญชาการใหญ่”
“อืม!” เหมียวอี้ผายมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินเหยียบหญ้าแห้งนำลูกน้องเดินไปยังป่าโบราณข้างหน้า กระดูกเปราะที่อยู่ใต้เท้าส่งเสียงกรอบแกรบเป็นระยะ พวกหนูกระต่ายหมาป่าที่อยู่แถวนี้ตกใจเพราะพลังอำนาจของคนพวกนี้ รีบพากันกระโดดหนีไปแล้ว
เหมียวอี้มองดูเนินหลุมศพรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วบอกว่า “เนินสุสานที่ไร้ระเบียบพวกนี้มีคนบ้านนอกที่ไร้ชื่อไร้นามเพิ่มขึ้นไม่น้อย ดูท่าแล้วสงครามคงจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมาตลอด ทั้งหมดล้วนเป็นสาวก ทำไมตำหนักสวรรค์ไม่สนใจสักนิดเลย?”
ฝูชิงที่เดินตามมาตอบว่า “การบังคับมอบพลังปรารถนาของทางนี้ต่างกับที่พิภพเล็ก ที่นี่ล้วนทำด้วยความสมัครใจ ภายใต้สถานการณ์ที่สมัครใจ ถ้าโลกสงบสุขเกินไปแล้วจะมีสักกี่คนที่เคารพบูชาด้วยความเต็มใจ เมื่อกินอิ่มนอนอุ่นมีความปรารถนาทางเพศ ความร่ำรวยสูงส่งทำให้ใจคนฟุ้งซ่าน ผู้คนต่างก็พากันไปเสพสุขหมดแล้ว ในทางตรงกันข้าม ยิ่งสภาพสังคมวุ่นวาย คนที่กราบพระวิงวอนเทพก็ยิ่งมีเยอะขึ้น”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ตอนนี้เข้าใจแล้ว
สองคนที่อยู่ข้างหน้าร่ายอิทธิฤทธิ์กดต้นหญ้าที่แผ่คลุมทางให้เรียบ กลุ่มคนเดินเข้าไปในป่า เหมียวอี้ยกมือขึ้นมา นอกจากทหารยามสองคนกับฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ คนอื่นๆ ล้วนกระจายตัวกันเฝ้าระวังรอบๆ ป่าโบราณ
ใต้ต้นไม้โบราณมีรากซ้อนกันสลับซับซ้อน บางทีอาจจะเป็นเพราะเนินหลุมศพเยอะเกินไป ปราณหยินเข้มข้นมาก ตรงหน้าหลุมศพเก่าแก่ที่ไร้ป้ายชื่อหลุมหนึ่ง พวกเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมียวอี้เงี่ยหูตั้งใจฝัง แล้วถามว่า “หยุดตั้งแต่เมื่อไร?”
ทหารยามคนหนึ่งตอบว่า “ในสองร้อยปีมานี้ พอตกกลางคืนที่ปราณหยางถดถอยปราณหยินเข้มข้น เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังก้องทั้งคืนแบบขาดๆ หายๆ ฟังแล้วรู้สึกเวทนา มนุษย์ธรรมดาตกใจจนไม่กล้าเข้าใกล้แถวนี้ ไม่อย่างนั้นเนินดินที่อยู่โดยรอบอาจจะมากกว่านี้ก็ได้ แต่จู่ๆ ก็หยุดไปเมื่อสองวันก่อน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างในเป็นอย่างไรขอรับ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งข้าน้อยก็ไม่กล้าล่วงล้ำเข้าไป”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วตัดสินใจว่า “เปิดออก ข้าจะเข้าไปดูสักหน่อย”
“ขอรับ!” ทหารยามสองคนเอ่ยรับคำสั่ง แล้วทำลายผนึกทันที นำป้ายหลุมศพขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าหลุมศพออก เกิดเป็นอุโมงค์ใต้ดินทางหนึ่ง
เหมียวอี้ไม่ได้ให้ทหารยามสองคนนั้นเข้าไป พาเข้าไปแค่ฝูชิงกับเหยียนซิว
ยิ่งเดินลงไปข้างล่างก็ยิ่งหนาว เดินตามช่องทางสุสานเข้าไปในช่องเก็บศพที่ก่อด้วยอิฐและอยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายจั้ง เขาพบว่าผนังหินโดยรอบรวมทั้งบนพื้นมีน้ำค้างแข็งหนาเกาะหลายชั้น สิ่งนี้ไม่ใช่น้ำค้างแข็ง แต่เป็นสิ่งที่ก่อตัวจากปราณหยินอันหนาวเหน็บ ตอนที่พวกเขาเดินผ่านไป ภายใต้การหลอมละลายของปราณหยาง มีหมอกสีเทาลอยขึ้นมาจางๆ
โลงศพโลงหนึ่งที่ทำจากผลึกทองวางอยู่ตรงกลางช่องเก็บศพ ด้านบนเต็มไปด้วยน้ำค้างขาว
“เหยียนซิว! เหยียนซิว…” เหมียวอี้เอ่ยเรียกหลายครั้ง มีเสียงดังสะท้อนอยู่ในช่องเก็บศพ แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับ เหมียวอี้ไม่รอช้าอีก โบกสะบัดแขนเสื้อทันที น้ำค้างขาวบนโลงศพพังกระจายปลิวไปแล้ว
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าและสะบัดกระบี่ผลึกแดงออกมา มีเสียงดังแกร๊ก ตัดกลอนที่ติดแน่นบนโลงศพออกไปแล้ว
ขณะที่เขากำลังจะเปิดฝาโลงศพ ใครจะคิดว่าเวลานี้ในโลงศพกลับมีเสียง “เอี๊ยดๆ” ดังมา ข้างในเหมือนจะมีบางสิ่งตกใจตื่นแล้ว เหมือนเป็นเสียงเล็บกรีดวาดบนผนัง เสียงแหลมแสบแก้วหู ทำให้คนได้ยินแล้วขนหัวลุก
เหมียวอี้ ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋อึ้งไปชั่วขณะ
วึง! ฝาโลงศพพลันเด้งกระโดด ปราณหยินที่เข้มข้นกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้ฝาโลงศพที่กระโดดขึ้นมาและกดลงไป ดึงดูดให้ทั้งสามสนใจ
ปั้ง! ครั้งนี้ฝาโลงศพเด้งขึ้นมาแล้วพลิกตกลงพื้น
ในโลงศพ ท่ามกลางปราณหยินเข้มข้นที่พ่นออกมา เงาร่างที่ผมยาวสยายยืนขึ้นตัวตรงดิ่ง ผมขาวที่ยุ่งเหยิงปลิวสะบัดเองโดยไร้ลม แขนสองข้างกางออกมาช้าๆ ในขณะที่หลับตา ในลำคอส่งเสียงที่ทั้งยาวทั้งอึมครึม “เฮ่อ…” ราวกับผีร้ายที่หลับยาวมานานและกำลังฟื้นขึ้นมา ทั้งตัวลอยตั้งตรงขึ้นมา
คนคนนี้จะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่เหยียนซิว เพียงแต่ภายใต้ภาพเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งตัวเหยียนซิวดูมืดครึ้มน่าสะพรึงกลัว
พวกเหมียวอี้รีบหันไปมองรอบๆ เห็นเพียงน้ำค้างขาวบนผนังหินรวมทั้งบนพื้นละลายอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดกลายเป็นปราณหยินเข้มข้น กลิ้งม้วนไปรวมตรงเหยียนซิวที่กางแขนลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะถูกเหยียนซิวดูดเข้าทางทวารทั้งเจ็ด เหยียนซิวทำสีหน้าดื่มด่ำ
ฝูชิงและอิงอู๋ตี๋มองหน้ากันเลิกลั่ก สีหน้าราวกับโดนตะคริวกิน ในแววตาเต็มไปด้วยความทึ่ง เจ้าหมอนี่หลบฝึกวิชาของนักพรตผีอยู่ที่นี่เหรอ?
ทั้งสองเรียกได้ว่าทำใจเชื่อได้ยาก เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองไม่รู้ว่าเหยียนซิวมาเก็บตัวทำไรอยู่ที่นี่ ตอนนี้พบว่าสภาพของเหยียนซิวเหมือนนักพรตผียิ่งกว่านักพรตผีเสียอีก นำปราณหยินมาสูดเข้าร่างกายราวกับเป็นอากาศ เหมือนกำลังดื่มด่ำเสพสุขมาก นี่ใช่สิงที่คนปกติทำเสียที่ไหนกัน จะไม่ให้ตกตะลึงได้อย่างไร?
ผ่านไปไม่นาน ปราณหยินที่อยู่ในช่องเก็บศพก็หายไปจนหมดเกลี้ยง อุณหภูมิก็สูงขึ้นเช่นกัน
เหยียนซิวที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันลืมตา ลูกตาสองข้างขาวบริสุทธิ์ สายตาที่น่ากลัวกวาดมองทั้งสามคนอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ไปหยุดบนใบหน้าเหมียวอี้ที่กำลังประคองดาบหรี่ตาจ้องเขา
พอเห็นเหมียวอี้ แววตาที่ขาวหมดจดน่ากลัวคู่นั้นก็กลอกอย่างช้าๆ ไม่นานแววตาก็กลับมาเป็นเหมือนคนปกติ ขณะเดียวกันปรารณหยินบนตัวเหยียนซิวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ร่างกายกลับคืนสู่ปราณหยางเหมือนคนปกติ ไม่ปรากฏปราณหยินบนตัวแม้แต่น้อย มีเพียงบนนิ้วทั้งสิบที่ขาวซีด เล็บแหลมคม ดำขลับมันวาว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้พวกเหมียวอี้ตกตะลึงอ้าปากค้าง
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่เห็นก็คือ บนคอของเหมียวอี้ ลูกประคำสีเขียวเข้มในคอเสื้อของเหมียวอี้กลับเปล่งแสงสลัวติดต่อกัน
เหยียนซิวที่ปล่อยผมสยายเหาะลงมาเหยียบลงตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกุมหมัดคารวะด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นายท่าน!”
“เสียงของเจ้า?” เหมียวอี้มองสำรวจเขาศีรษะจดเท้า
เหยียนซิวที่ใบหน้าซีดขาวยิ้มเจื่อน “ตะโกนร้องอย่างเจ็บปวดเป็นเวลาหนึ่งร้อยกว่าปี เกรงว่าถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็งกลายเป็นแบบนี้เหมือนกัน”
เหมียวอี้ทอดถอนใจ ใช้หางตามองฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แวบหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถาม “เจ้าฝึกสำเร็จหรือไม่สำเร็จกันแน่?”
“โชคดี สำเร็จแล้ว” เหยียนซิวถ่ายทอดเสียงตอบ
“ถ้าอย่างนั้นปราณหยางบนตัวเจ้าล่ะ?” เหมียวอี้ประหลาดใจทันที
“หยินหยางสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระ!” เหยียนซิวตอบ จากนั้นก็กล่าวเสริมอีกว่า “บางการฝึกของข้าน้อยต่างหากที่เป็นเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางอย่างแท้จริง!”
เหมียวอี้ถามซักไซ้ทันที “เจ้าหมายถึงวิธีการฝึกของเจ้าเหรอ?”
“ขอรับ!” เหยียนซิวตอบ
…………………………