ไม่ต้องพูดอะไรมาก หลังจากเล่นกันได้รอบหนึ่ง ท่านขุนนางเหมียวมีความพ่ายแพ้ยับเยินเป็นจุดจบ เขาตะลึงงันอยู่อย่างนั้น มองดูกระดานหมากล้อมที่ตัวเองเล่นแพ้ย่อยยับด้วยแววตาเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
อวิ๋นจือชิวยกน้ำชาดื่มอย่างสบายใจ บางครั้งก็เหลือบมองฉินเวยเวยที่กำลังจ้องมองเหม่อกระดานหมากล้อม
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบสบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่านายท่านแพ้อย่างย่อยยับเกินไป กลัวว่าตอนแรกเขาจะยอมรับความจริงได้ยาก
หลังจากผ่านไปนานสองนาน กระบี่วิเศษในมืออวิ๋นจือชิวก็ยื่นออกมาอีก นางเขี่ยกระบี่ไปมาอยู่บนกระดาน แล้วเคาะเสียงดังก๊อกๆ ทำลายความเงียบงัน “หนิวเอ้อร์ ยังจะเล่นอยู่อีกมั้ย? ข้าบอกแล้วว่าให้เจ้าลงก่อนยี่สิบตัว แต่เจ้าก็ไม่เชื่อ ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ยอม ครั้งนี้ข้าจะให้เจ้าลงก่อนยี่สิบตัว เรามาเล่นกันอีกสักรอบเถอะ?”
เหมียวอี้ได้สติกลับมา เงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากอึกหนึ่ง ยังจะเล่นอะไรอีกล่ะ อีกฝ่ายมีแต่จะได้เปรียบทั้งนั้น โจมตีจนตนไร้กำลังโต้ตอบ ถ้าเล่นต่อไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เขาจึงเจียดรอยยิ้มยอดแย่ออกมา พร้อมถามว่า “ฮูหยิน เจ้าไปเรียนมาตั้งแต่เมื่อไร?”
สำหรับคำถามนี้ ฉินเวยเวยก็สนใจเช่นเดียวกัน นางมองตามอย่างอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย
“ตอนสามขวบข้าก็นอนฟุบหลับบนกระดานหมากล้อมแล้ว เจ้าคิดว่าข้าเรียนมาตั้งแต่เมื่อไรล่ะ?” อวิ๋นจือชิวดูถูก
ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เบิกตาโพลง ลุกพรวดขึ้นแล้วถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าบอกว่าเล่นไม่เป็นไม่ใช่เหรอ?”
อวิ๋นจือชิงพ่นเสียงทางจมูก “คนเล่นหมากล้อมแย่อย่างเจ้าน่ะ ถ้าสุ่มเลือกคนข้างกายเจ้ามาเล่นด้วยสักคน พวกเขาก็ชนะเจ้าหมดนั่นแหละ ข้าว่าคนอื่นคงออมมือให้เจ้าเฉยๆ หรอก ข้าเองก็ไม่อยากทำให้ผู้ชายอย่างเจ้าเสียหน้า ถึงได้แกล้งเล่นไม่เป็น เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ!”
คำพูดนี้เหมือนตบหน้ากันแรงเกินไปแล้ว เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน “เจ้าชนะก็ชนะไปสิ ข้ายอมแพ้ ข้ายอมรับว่าฝีมือไม่สูงเท่าเจ้า นึกไม่ถึงด้วยว่าเจ้าจะฝีมือสูงส่งขนาดนี้ เป็นข้าเองที่ดูถูกเจ้า แต่ที่เจ้าบอกว่าสุ่มเลือกคนข้างกายข้ามาเล่นด้วยก็ชนะข้าหมด เจ้าดูถูกข้าเกินไปรึเปล่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อ…”
ปั้ง! อวิ๋นจือชิวพลันตบโต๊ะยืนขึ้น สะเทือนจนถ้วยน้ำชาและตัวหมากบนกระดานกระเด็นกระดอน พลันถามอย่างเดือดดาลมากว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าจะหลงตัวเองไปถึงเมื่อไร?”
ปั้ง! นางหันตัวมาเตะเก้าอี้ข้างหลังจนกระเด็น แล้วชี้กระบี่ไปที่เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ “พวกเจ้าสองคน! รู้อยู่แจ่มแจ้งว่านายท่านมีฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดแย่ รู้อยู่แก่ใจว่านายท่านเล่นหมากล้อมได้แย่สุดๆ แต่กลับตามใจเขาจนเคยตัว ในฐานะที่เป็นหญิงรับใช้ข้างกายนายท่าน ในฐานะที่เป็นคนร่วมเคียงหมอน แต่ไม่กล้าแม้แต่จะอธิบายความจริงกับนายท่านเหรอ พวกเจ้าคิดว่าตัวเองทำแบบนี้แล้วจะถือว่าจงรักภักดีหรือไง? พวกเจ้าดูสิว่าตอนนี้เขาโดนตามใจจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว คำพูดขัดใจนิดหน่อยก็ทนฟังไม่ได้ แค่เล่นหมากล้อมยังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าเวลานานไป แล้วคนข้างกายเขาเป็นแบบพวกเจ้ากันหมด เขาก็จะไม่ได้ยินแม้แต่ความจริง สักวันหนึ่งเขาจะต้องตายเพราะพวกเจ้าแน่ พวกเจ้า… มีเจตนาชั่วร้าย!”
คำพูดนี้แทงใจดำจริงๆ คำพูดนี้รุนแรงเกินไปแล้ว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์หน้าซีดทันที รีบคุกเข่าลงพร้อมกัน แล้วก้มหน้าไม่กล้าเงยขึ้นมา
ฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ลุกขึ้นเช่นกัน สีหน้านางแย่มาก เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไรเหมือนกัน
ตอนนี้เหมียวอี้สีหน้าแย่สุดๆ ตะคอกถามว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าตอบมาอย่างซื่อสัตย์ ตอนที่พวกเจ้าเล่นหมากล้อมกับข้า พวกเจ้าได้ออมมือให้ข้ารึเปล่า?”
โดนอวิ๋นจือชิวเปิดโปงแล้ว เขายังยอมรับความจริงข้อนี้ได้ยาก เขาคิดว่าตัวเองมีฝีมือหมากล้อมที่ล้ำเลิศมาตลอด เล่นแล้วไม่ค่อยแพ้
หญิงรับใช้ทั้งสองยิ้มก้มหน้าต่ำลง ไม่กล้าตอบอะไร เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่คนโง่ การที่พวกนางสองคนไม่ตอบ ก็เท่ากับเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งแล้ว
เหมียวอี้พลันหันไปมองฉินเวยเวย แล้วถามเสียงต่ำว่า “เวยเวย เจ้าตอบความจริงมา ไม่ต้องกลัวฮูหยิน ตอนเล่นหมากล้อมเจ้าได้ออมมือให้ข้ารึเปล่า?”
ฉินเวยเวยฉุกละหุกมาก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างหลังฉินเวยเวย แล้ววางมือข้างหนึ่งบนบ่า รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังตัวสั่นเล็กน้อย นางจึงแสยะสยิ้มแล้วบอกว่า “น้องสาวของข้าคนนี้ไม่ได้ฉาบฉวยขนาดนั้นหรอก ท่านสามีคะ อีกฝ่ายไม่ใช่แค่คิดหาทางเล่นให้เจ้าชนะนะ ทั้งยังสิ้นเปลืองความคิดเพื่อหาทางเล่นให้เจ้าชนะอย่างมีความสุขด้วย”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ฉินเวยเวยก็รู้สึกไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนทันที หันหน้าหลบคิดจะหนีออกไป แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์กดไว้ ทำให้นางขยับไม่ได้ วรยุทธ์ของทั้งสองต่างกันเกินไป
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฉินเวยเวย เหมียวอี้ก็แยกเขี้ยวยิงฟัน ถามเน้นๆ ว่า “เพราะอะไร?”
“เพราะอะไรน่ะเหรอ?” อวิ๋นจือชิวหัวเราะหึหึทันที “หนิวเอ้อร์ ความฉลาดทางอารมณ์ของเจ้าตกต่ำขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่เข้าใจความคิดผู้หญิงเลยสักนิด เจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ? ให้เจ้าชนะอย่างมีความสุข พอเจ้าเบิกบานใจแล้ว ต่อไปพอเจ้าอยากเล่นหมากล้อม เจ้าก็จะคิดถึงแต่นางไง เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชานาง ถ้าเจ้าไม่เรียกหานาง นางจะเข้าใกล้เจ้าได้อย่างไรล่ะ? ถ้าไม่มีเหตุผล แม้แต่จะเข้ามาในตำหนักยังยากเลย! อีกฝ่ายบอกใบ้ความในใจมานานแล้ว ชอบเจ้ามาตลอด เพียงแต่คนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าไม่เข้าใจความรัก นางเป็นผู้หญิงจึงเขินอายที่จะเอ่ยบอก ก็เลยกลายเป็นบุปผาร่วงหล่นเพราะมีใจ แต่สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก[1] เลยเสียเวลาแบบนี้มาหลายปี”
พูดจบก็หันมาถามฉินเวยเวยอีก “น้องสาว เจ้าว่าข้าพูดถูกมั้ย?”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งคุกเข่าแอบสบตากันแวบหนึ่ง ที่จริงทั้งสองก็สังเกตเห็นนานแล้วเช่นกัน เวลาผู้หญิงมองผู้หญิงด้วยกันมักจะเข้าใจจิตใจกันมากกว่า
เหมียวอี้ที่กำลังจะประสาทเสีย พอได้ยินแบบนี้ก็อึ้งไปเลย เขาเงียบลงทันที มองไปที่ฉินเวยเวยด้วยสีหน้างุนงง
โดนเปิดโปงหมดเปลือกขนาดนี้ ให้คนรู้ว่าตัวเองแอบคิดถึงผู้ชายของคนอื่นมาตลอดขนาดนี้ จะให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผ่านโลกมาน้อยทนความรู้สึกได้อย่างไร ฉินเวยเวยทำสีหน้าอับอายมาก ขยับร่างกายอยากจะหนี แต่กลับถูกอวิ๋นจือชิวกดให้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อวิ๋นจือชิวพูดกลั้วหัวเราะว่า “น้องสาว เจ้าโง่นี่ไม่เข้าใจเรื่องรัก ในเมื่อพูดเปิดเผยแล้ว วันนี้ไม่สู้สารภาพออกมาให้หมดเลยดีกว่า ควรจะทำอย่างไรก็ตัดสินใจให้เด็ดขาด เจ้าจะได้ไม่ต้องเอาแต่ทรมานตัวเอง เรื่องแบบนี้ฝ่ายหญิงมัวเสียเวลาไม่ได้หรอก”
“ข้ายอมรับผิดค่ะ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว!” ฉินเวยเวยกล่าวเสียงสั่น
“ผิดอะไรกันล่ะ?” อวิ๋นจือชิวถามเหมือนแปลกใจ แล้วกล่าวอย่างร่าเริงว่า “ชอบก็ชอบสิ วันนี้ข้าก็จะพูดให้ชัดเจนเหมือนกัน ข้าดูออกตั้งนานแล้วว่าเจ้าชอบเจ้าซื่อบื้อนี่ เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงนับเจ้าเป็นน้องสาวล่ะ คิดว่าทำไมข้าถึงให้เคล็ดวิชาฝึกตนกับเจ้า ทำไมข้าถึงบอกเจ้ามาตลอดว่าต้องการให้ช่วยหาอนุภรรยาให้เจ้าซื่อบื้อนี่ พี่สาวจะบอกให้เจ้าฟังนะ พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจเจตนาของข้าอีกเหรอ? พี่สาวยอมรับเจ้าแล้ว รอให้เจ้าตอบตกลงมาตลอด ขอแค่เจ้าบอกสักคำ แค่ตอบตกลงสักคำ ข้าก็จะช่วยจัดการให้เจ้าเอง แต่นิสัยเจ้าเป็นคนเก็บตัวเกินไป ไม่ยอมเอ่ยปากเสียที เจ้าไม่รีบแต่ข้ารีบ วันนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามปิดบัง เจ้าตอบพี่สาวมาตรงๆ เจ้าเต็มใจจะแต่งงานกับเจ้าซื่อบื้อนี่มั้ย? ถ้าเต็มใจแต่งข้าก็จะช่วยเจ้าเตรียมการทันที เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แค่รอแต่งงานเข้าบ้านมาก็พอ!”
อับอาย! ไม่รู้สึกอะไรนอกจากอับอาย! ฉินเวยเวยหน้าแดงหัวใจเต้นแรง กัดริมฝีปากแน่น ถามว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แล้วจะให้นางพูดออกมาได้อย่างไรล่ะ?
เหมียวอี้อ้าปากค้างเล็กน้อย ได้แต่ยืนเอ๋ออยู่อย่างนั้น
อวิ๋นจือชิวเร่งให้ฉินเวยเวยแสดงท่าทีไม่หยุด แต่ฉินเวยเวยยากที่จะเอ่ยปาก สุดท้ายอวิ๋นจือชิวก็พูดตัดบทว่า “น้องสาว ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้วนะ”
จะหนีก็หนีไม่ได้ จะหลบก็หลบไม่ได้ ฉินเวยเวยแทบจะสติแตกแล้ว นางเหลือบมองเหมียวอี้ที่หน้าอกเต็มไปด้วยรอยเลือดแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พึมพำเบาๆ ว่า “เกรงว่านายท่านจะไม่ชอบข้า…”
เรียบร้อย! แบบนี้นับว่าตอบตกลงแล้ว! อวิ๋นจือชิวมองไปที่เหมียวอี้ทันที “หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงสวยตัวเป็นๆ ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าก็แค่พยักหน้านะ!”
“เอ่อ… คือว่า…” เหมียวอี้วุ่นวายใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะตอบตกลงหรือไม่ตอบตกลงดี
อวิ๋นจือชิวโมโหทันที “ผู้หญิงเขาพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?”
จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกเหมือนใกล้จะร้องไห้เพราะโดนกดดัน ถ้าจะให้เขาตอบตกลงตรงๆ เขาก็พูดไม่ออกอยู่ดี ตอนนี้งงนิดหน่อย ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ต่อให้ข้าตอบตกลงเรื่องนี้ แต่หยางชิ่งก็ไม่ยอมอยู่ดี!”
“น้องสาว! เขาพูดแบบนี้แปลว่าตอบตกลงแล้วเหมือนกัน!” อวิ๋นจือชิวตัดสินใจเรื่องนี้เองเสียเลย เรียกได้ว่ารัวดาบฟันเชือก
จากนั้นก็ควงแขนฉินเวยเวยเดินไปจากตรงนั้น เดินเข้าไปทางตำหนัก จู่ๆ ก็ยกกระโปรงขึ้นตอนที่เดินผ่านเหมียวอี้ เหยียบเท้าเหมียวอี้แรงๆ หนึ่งที ไม่ปรานีเลยจริงๆ นางกำลังรู้สึกแค้นในใจเหมือนกัน ไม่มีผู้หญิงคนไหนยินดีทำเรื่องแบบนี้หรอก ถ้าไม่ไประบายความโมโหกับผู้ชาย แล้วจะให้ไประบายกับใครล่ะ?
“อ้า…” เหมียวอี้ร้องอย่างเจ็บปวด พลางเอามือกุมเท้ากระโดด
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ลุกพรวดขึ้นมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน รีบเข้ามาประคองเหมียวอี้ไปนั่งข้างๆ เหมียวอี้ยื่นมือไปทางซ้ายและขวาเพื่อคว้าแขนหญิงรับใช้ทั้งสองเอาไว้ “พวกเจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เสียดีๆ ห้ามหลอกข้า ข้าเล่นหมากล้อมได้แย่จริงๆ เหรอ?”
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ลำบากใจมาก หลังจากสบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าพร้อมกันโดยไม่พูดอะไร
เหมียวอี้อ้าปากค้าง…
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงสองคนนี้ไปคุยอะไรกันเงียบๆ ในห้อง สรุปคือตอนที่ออกมาอวิ๋นจือชิวทำสีหน้าร่าเริง ส่วนฉินเวยเวยก็หน้าแดงเป็นผลไม้สุก เอาแต่ก้มหน้าไม่กล้ามองเหมียวอี้เลย
เหมียวอี้อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ผู้หญิงสองคนนี้ไม่สนใจเขาเลย เดินออกไปด้วยกันแล้ว เดินออกไปจากตำหนักพร้อมกัน เหมียวอี้เดินตามไปข้างนอกจนถึงหอสังเกตการณ์ พอยืนมองจากตรงนั้น ก็พบว่าพวกนางกำลังไปที่จวนผู้การใหญ่ด้วยกัน ทำให้เขาถอนหายใจยาวแล้วพึมพำว่า “ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว เดี๋ยวต่อไปหยางชิ่งจะต้องมาเอาเรื่องข้าแน่ๆ!”
สถานการณ์ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฉินเวยเวยมีดีทั้งหน้าตา มีดีทั้งฐานะตำแหน่ง ได้เป็นประมุขตำหนักตั้งแต่อายุเท่านี้ ถือว่าไม่ต้องกังวลเรื่องแต่งงานเลย ต่อให้เป็นแค่ลูกสาวบุญธรรม แต่หยางชิ่งก็ไม่มีทางยอมให้ฉินเวยเวยไปเป็นอนุภรรยาของใครแน่นอน ไม่มีทางเลยสักนิด
เขาไม่สนใจแล้วเหมือนกัน ไม่มีหน้าจะไปแทรกแซงเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็จัดการไม่ไหวแน่ ปล่อยให้อวิ๋นจือชิวไปโดนปฏิเสธเองแล้วกัน เพียงแต่ในภายหลังถ้าเจอหน้าหยางชิ่ง ทุกคนก็จะอึดอัดใส่กัน แบบนี้จะไม่เป็นการกดดันให้หยางชิ่งเอาใจออกห่างหรอกหรือ ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงบ้าคนนี้คิดอะไรของนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะหาอนุภรรยาให้สามีของตัวเอง แปลกประหลาดจริงๆ!
ในจวนผู้การใหญ่ เมื่อผู้การใหญ่หยางเห็นประมุขปราสาทมาเยือนด้วยตัวเอง เขาก็ออกมาคำนับด้วยความเคารพ แต่ก็สังเกตเห็นว่าลูกสาวตัวเองมีท่าทีแปลกไป
ฉินเวยเวยจะสะดวกใจอยู่ตรงนี้ต่อได้อย่างไร ขอตัวลาทันที หลบเข้าไปอยู่ในห้องของตัวเองแล้ว
ในโถงหลัก หลังจากอวิ๋นจือชิวเปิดเผยจุดประสงค์ที่มาตรงๆ หยางชิ่งก็หน้าเขียวครึ้มทันที ชิงเหมย ชิงจวี๋ที่ยกน้ำชามาให้ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
หยางชิ่งที่เม้มริมฝีปากแน่นและฟังจนจบอย่างอดทน ตอนนี้พยายามนั่งสงบจิตใจตัวเอง ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ประมุขปราสาท! หยางคนนี้ไร้ความสามารถ แต่ก็ไม่อาจจะยอมให้ลูกสาวตัวเองไปเป็นอนุภรรยาของใคร ต่อให้ฆ่าหยางชิ่งให้ตาย หยางชิ่งก็แน่วแน่ไม่ตอบตกลงอยู่ดี!”
อวิ๋นจือชิวจึงยิ้มพร้อมบอกว่า “ผู้การหยาง ประมุขตำหนักฉินก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่ลองถามความคิดเห็นนางก่อนเหรอ?”
“นางเป็นผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก โดนความรู้สึกระหว่างชายหญิงล่อลวงได้ง่ายมาก ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยสติปัญญาได้ หากบิดาอย่างข้าปล่อยไป หากตามใจนาง ก็เท่ากับข้าไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ “ประมุขปราสาท! ได้โปรดไว้หน้าหยางชิ่งด้วย อย่าเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย!”