เพียงแต่การที่หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายผู้สง่าน่าเกรงขามฝ่าเข้าไปในตำหนักคุ้มเมืองเล็กๆ ไม่ได้ ก็ทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเดือดดาลนิดหน่อย เขาอยากจะลองใช้กำลังบังคับจริงๆ แต่จนใจที่การแทรกสายลับเข้าไปไม่เหมือนกับเรื่องอื่นๆ จะใช้กำลังบังคับไม่ได้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าถูกเปิดโปงแล้วก็เท่ากับแพ้ มิหนำซ้ำคนของหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายก็เปิดเผยตัวตนไม่ได้ ฐานะที่แท้จริงจะถูกปิดบังอยู่ในเงามืดตลอดไป ถ้าเปิดเผยตัวตนขึ้นมาก็อาจจะโดนจับตามอง จะโดนคนอื่นอาศัยเบาะแสนี้สืบเรื่องอื่น
จนกระทั่งวันนี้ หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายมีกำลังคนมากเท่าไรกันแน่ เป็นใครบ้างกันแน่ ทั้งตำหนักสวรรค์มีแค่สองคนที่รู้เรื่องนี้ นั่นก็คือประมุขชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียน
ทว่า นี่เป็นเรื่องที่น่าอับอาย!
หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์ย่อมไม่ยอมเสียเปรียบเรื่องนี้อยู่แล้ว ขนาดตำหนักคุ้มเมืองเล็กๆ ยังฝ่าเข้าไปไม่ได้ แล้วจะรายงานผลงานกับประมุขชิงได้อย่างไร? ตอนหลังซือหม่าเวิ่นเทียนจึงออกโรงด้วยตัวเอง ทรัพยากรที่เขาสามารถระดมได้มีเยอะมาก ไปที่ตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนอาจจะเจอจุดอ่อนให้ลงมือ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนตกใจก็คือ ทางตำหนักคุ้มเมืองของเหมียวอี้ก็เหมือนจะสังเกตเห็นจุดอ่อนของเขาแล้วเช่นกัน เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ใช่แค่ไม่เสริมจุดอ่อนของตัวเอง แต่กลับพุ่งเป้ามาที่จุดอ่อนของเขาเพื่อวางกับดักอีกครั้ง แทบจะกำจัดคนของเขาจนหมดอีกแล้ว แต่ยังดีที่หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์มีประสบการณ์ในด้านนี้โชกโชน เมื่อสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย ก็รีบปลีกตัวออกมาอย่างเงียบๆ ทันที
การปะทะกันอย่างลับๆ นี้ทำให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเข้าใจแล้ว ว่าการหยั่งเชิงก่อนหน้านี้อาจจะทำให้ตำหนักคุ้มเมืองของเหมียวอี้สงสัย ถึงได้วางกับดักรอไว้เหมือน นั่งเฝ้ากระต่ายอยู่ใต้ต้นไม้
อีกฝ่ายระวังตัวถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก! สิ่งที่ทำให้อับจนปัญญาที่สุดก็คือ เหมียวอี้ควบคุมตลาดสวรรค์อย่างเข้มงวดเกินไป ไม่เหมือนสมาคมร้านค้าตลาดสวรรค์แห่งอื่นที่ร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจมีอำนาจตัดสินใจ ครั้งก่อนหลังจากที่เทียนหยวนกับฮูหยินงัดข้อกัน ทางตำหนักคุ้มเมืองของเหมียวอี้ก็ใช้แผนการใหม่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเสี้ยมยุยงให้ร้านค้าที่ไม่มีใครหนุนหลังกับร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจกลายเป็นศัตรูกัน ทางนั้นมีข่าวลือแพร่ออกมาตลอด ว่าร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจพวกนั้นคิดจะโต้ตอบโดยการผูกขาดธุรกิจบางอย่างที่ทำกำไรดี
ฝั่งของเขาตรวจสอบมาแล้ว พบว่าข่าวลือถูกปล่อยออกมาจากตำหนักคุ้มเมือง ส่วนตำหนักคุ้มเมืองก็อาศัยโอกาสนี้จงใจสร้างความวุ่นวาย สร้างช่องทางลับในการรายงานข่าวขึ้นมา สร้างนิสัยแอบรายงานเรื่องชาวบ้านให้กับบรรดาร้านค้าที่ไม่มีใครหนุนหลัง ร้านค้าพวกนั้นจึงตาโตเพื่อผลปะรโยชน์ของตัวเอง ถ้าตลาดสวรรค์พบความผิดปกติใดๆ ก็จะสงสัยก่อนเลยว่าร้านค้าของตระกูลผู้มีอำนาจกำลังจะเล่นตุกติกอะไร และรีบรายงานข่าวอย่างลับๆ ทันที
ภายใต้สถานการณ์ที่มีดวงตาของตลาดสวรรค์คอยจับตามองอยู่ทุกที่ นอกจากร้านค้าของผู้มีอำนาจพวกนั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวแล้ว แม้แต่กำลังพลของสี่เขตเมืองก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวผิดปกติเหมือนกัน เมื่อใช้วิธีการนี้ เหมียวอี้ก็สามารถควบคุมทั้งตลาดสวรรค์ได้แล้ว ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดเลยว่าจะเล่นลูกไม้อะไรได้ง่ายๆ ยิ่งคลุกคลีด้วยมากขึ้น ยิ่งทำความรู้จักมากขึ้น ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ยอมแพ้ผู้บัญชาการใหญ่หนิวแล้วจริงๆ
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ การจับตาดูความเคลื่อนไหวของตำหนักคุ้มเมืองก็ได้สร้างความยุ่งยากให้หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายของตำหนักสวรรค์เป็นอย่างมาก ซือหม่าเวิ่นเทียนจำเป็นต้องสั่งให้ลูกน้องหยุดเคลื่อนไหวชั่วคราว หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายไม่มีทางไปทำเรื่องประเภทงัดข้อกับเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นก็จะหมายความว่าโดนเปิดโปงแล้ว
พอเป็นแบบนี้ หน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายก็ทำได้เพียงเฝ้ารอโอกาสอยู่เงียบๆ ตอนนี้ซือหม่าเวิ่นเทียนจึงอับอาย แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ดันไม่สะดวกจะบอกประมุขชิงอย่างเปิดเผยอีกว่า แม้แต่เขาลงมือด้วยตัวเองก็ยังทำไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเองไร้ความสามารถเกินไป ทำได้เพียงอ้างเหตุผลว่าเหมียวอี้ล่วงเกินคนไว้เยอะเกิน ทั้งยังเคยโดนลอบสังหาร จึงระแวดระวังตัวเป็นพิเศษ
ประมุขชิงพูดไม่ออก ได้แต่จ้องเขาอยู่อย่างนั้น
ซือหม่าเวิ่นเทียนโดนจ้องจนอึดอัดไปทั้งตัว สุดท้ายประมุขชิงก็กล่าวช้าๆ ว่า “ข้าเตรียมจะจูงเขาออกมาเดินเล่นสักหน่อย เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
นี่เป็นการกดดันให้ตัวเองแสดงท่าทีแล้ว จะได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องที่พูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะรับประกันทันที “ฝ่าบาทได้โปรดให้เวลาข้าน้อยสามปี ภายในสามปีนี้จะต้องส่งคนไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อได้แน่นอน?”
“สามปี? แค่ยัดคนคนเดียวเข้าไปอยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ ยังต้องให้ทูตซ้ายตรวจการของข้าเอ่ยปากขอเวลาสามปีอีกเหรอ สงสัยหน่วยตรวจการฝ่ายซ้ายจะเจอกับตอแข็งที่จัดการยากแล้วจริงๆ”
“ตอบฝ่าบาท เป็นเพราะตำแหน่งของหนิวโหย่วเต๋อต่ำเกินไป คนที่อยู่ข้างกายมีไม่เยอะ แค่เคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวก็สะดุดตาแล้ว แล้วเขาก็ไม่อยากคลุกคลีกับภายนอกด้วย ถึงได้ยิ่งลงมือลำบากขอรับ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนย่อมมีเหตุผลมารับมืออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงนั่งในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงไม่ได้
ประมุขชิงพยักหน้าเบาๆ “ขนาดพวกเจ้ายังชักช้าจัดการไม่ได้เสียที ข้าชักยิ่งสนใจหนิวโหย่วเต๋อนั่นมากขึ้นทุกทีแล้ว ข้าจะจดจำสามปีที่เจ้าบอกเอาไว้!”
“จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังแน่นอนขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนกุมหมัดคารวะ
ภายนอกดูเคารพนับถือ แต่ในใจกลับด่าแม่แล้ว เพื่อผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์เล็กๆ คนเดียว ครั้งนี้เขาต้องยอมแลกทุกอย่างแล้วจริงๆ…
เหมียวอี้กำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องสมาธิ ตรงหว่างคิ้วมีภาพมายาเคลื่อนไหว สัญลักษณ์อิทธิฤทธิ์ตรงหว่างคิ้วเป็นภาพมายาดอกบัวสีทองเก้ากลีบเบ่งบาน
เหมียวอี้ที่ลืมตาอย่างช้าๆ ถอนหายใจยาว เสียเวลาไปสามพันกว่าปี ในที่สุดวรยุทธ์ก็บรรลุถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว
หลังจากการต่อสู้ของบุคคลระดับสูงในปีนั้น ทำให้อำนาจฝ่ายต่างๆ หยุดทะเลาะกันและอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เกิดความสงบสุขสามพันกว่าปีอย่างที่หาพบได้ยาก เขาแทบจะตัดขาดการเข้าสังคมกับทุกคน เอาแต่ตั้งใจฝึกตน เพราะในใจเขารู้อย่างชัดเจน ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ความสงบสุขนี้จะคงอยู่ตลอดไป วรยุทธ์ของเขาคือจุดอ่อนที่สามารถทำให้เขาเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ สองพันปีก่อนตอนที่ไปส่งเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าวรยุทธ์ของจ้านหรูอี้อยู่ในระดับบงกชรุ้ง
ไม่ใช่แค่จ้านหรูอี้เท่านั้น ที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวในตอนนี้ มีผู้บัญชาการใหญ่ที่วรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งจำนวนสามคนแล้ว มีข่าวรายงานมาว่าเหยียนซู่กับเกาโย่วก็มีวรยุทธ์ถึงระดับบงกชรุ้งขั้นหนึ่งแล้วเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสร้างผลงานที่เรื่องยิงนักพรตบงกชรุ้งตายเอาไว้ กอปรกับเบื้องบนมีปี้เยว่คุมอยู่ เกรงว่าคนพวกนั้นคงจะเริ่มมาหาเรื่องเขาตั้งนานแล้ว
เขารู้อย่างแจ่มแจ้ง ตอนยังไม่เกิดเรื่องขึ้นก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา คนพวกนั้นจะต้องมาหาเรื่องตนแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องเร่งเพิ่มวรยุทธ์ของตัวเองแข่งกับเวลาเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงแทบจะเก็บตัวฝึกตนอยู่ตลอดเวลา ทางจวนแม่ทัพภาคตงหัวมีปี้เยว่คอยแบกรับให้ ต่อให้เขาไปไม่บ่อยก็แทบจะไม่เป็นไรเลย ตลาดสวรรค์ก็ถูกควบคุมไว้อย่างดีมาก แทบจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ทั้งข้างล่างข้างบนสงบมั่นคงมาก นอกจากจะไปนอนค้างกับพวกอนุภรรยาผ่านทางใต้ดินเป็นบางครั้ง นอกนั้นพวกลูกน้องก็แทบจะไม่ได้เห็นหน้าเขาเลย
ในตอนนี้เขาโบกมือเรียกยาแก่นเซียนออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ระเบิดพลังจิตวิญญาณที่ขาวข้นเหมือนน้ำนมออกมา
หลังจากดูดซับจนหมด เขาก็นับนิ้วคำนวณ ความเร็วในการย่อยยาแก่นเซียนสูงถึงสามร้อยหกสิบเม็ดต่อวันแล้ว แต่ถ้าอยากจะบรรลุถึงระดับบงกชรุ้ง อย่างน้อยก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนอีกสี่ร้อยล้านกว่าเม็ด แค่ระยะห่างของขั้นนี้ก็ต้องใช้เวลาสามพันสามร้อยกว่าปีแล้ว
ตอนนี้การจะเพิ่มวรยุทธ์สักขั้นก็ต้องใช้เวลาเป็นพันปีแล้ว เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขื่นขม การเก็บตัวฝึกตนหลายพันปีรอบนี้ เกรงว่าคงจะใช้ชีวิตได้ไม่เต็มอิ่มเท่าเวลาหลายวันของมนุษย์ธรรมดา เวลาของคนในแดนฝึกตนผ่านไปเหมือนความฝันจริงๆ เวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับอดทนอย่างเงียบๆ เพื่อเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้น
เหมียวอี้หย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง เดินออกมาจากห้องสมาธิ ไม่สะดวกจะเก็บตัวฝึกตนต่ออีก ก่อนหน้านี้เขาได้ข่าวมา ว่าฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังจะลับมาจากการทดสอบแล้ว ต้องเตรียมการเรื่องของพวกเขา
ไห่ผิงซินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในโถงหลักด้านนอก พอได้ยินเสียงประตูหินเปิดออก นางก็หยุดฝึกตนแล้วลุกขึ้นยืน ไม่รู้ว่าเหมียวอี้สั่งอะไรไว้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยถามเลย เหมียวอี้จะเอ่ยปากพูดก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่เอ่ยปากพูดนางก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่
ขณะมองดูภาพมายาดอกบัวสีทองห้ากลีบตรงกว่างคิ้วของนาง เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ ขนาดนางหนูคนนี้ก็บรรลุระดับบงกชทองขั้นห้าแล้ว
อันที่จริงลูกน้องของเขาในตอนนี้ ขอแค่เป็นคนที่พามาจากพิภพเล็ก ต่อให้เคล็ดวิชาฝึกตนแย่ขนาดไหน วรยุทธ์ต่ำสุดก็คือบงกชทองขั้นสามแล้ว วันเวลาช่างไม่ปรานีใครเลยจริงๆ
พอเดินออกมาจากตำหนักหลัก ไห่ผิงซินก็หันกลับมามองโดยจิตใต้สำนึก เป็นอย่างที่นางคาดไว้ เหยียนซิวโผล่มาจากไหนอีกแล้วก็ไม่รู้ กำลังตามอยู่ข้างหลังเหมียวอี้อย่างเงียบๆ
เหมียวอี้ก็หันกลับมาเช่นกัน ทั้งตำหนักคุ้มเมืองในตอนนี้ คนที่วรยุทธ์สูงสุดเกรงว่าจะเป็นเหยียนซิวแล้ว
เหยียนซิวใช้โคลนซ่อนจิตปิดบังวรยุทธ์ของตัวเองไว้ ตอนนี้นอกจากเหมียวอี้แล้ว ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเหยียนซิวมีวรยุทธ์เท่าไร ตั้งแต่เหยียนซิวฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง ความเร็วในการฝึกตนก็เรียกได้ว่าก้าวหน้าไวมาก ขนาดอวี้หนูเจียวที่ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางเหมือนกันก็ยังเทียบไม่ติดเลย แม้แต่ความเร็วในการฝึกตนของเหมียวอี้ก็ยังเทียบกับเหยียนซิวไม่ติดเช่นกัน ตอนนี้เหยียนซิววรยุทธ์สูงกว่าเขาแล้ว บรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นหนึ่งตั้งแต่หนึ่งร้อยปีก่อนแล้ว
จากข่าวที่ส่งมาจากทางแดนอเวจี ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวที่ได้รับทรัพยากรจากลัทธิผี ตอนนี้ก็มีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชทองขั้นแปดเอง ล้าหลังกว่าเหยียนซิวที่เริ่มฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางทีหลังเช่นกัน
และในตอนนี้ ในบรรดาคนทั้งหมดที่ฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง เหยียนซิวก็เป็นคนเดียวที่ได้ฝึกเคล็ดวิชาภาคดิน เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคดินนี้ แม้แต่อวี้หนูเจียวที่เป็นอนุภรรยาของตัวเอง เหมียวอี้ก็ไม่ได้มอบให้นางด้วยซ้ำ ซือถูเซี่ยวก็ย่อมไม่ได้เช่นกัน ให้เหยียนซิวเพียงแค่คนเดียว ถ้าเหยียนซิวต้องการทรัพยากรฝึกตน เหมียวอี้ก็มีให้อย่างเพียงพอเช่นกัน และไม่ให้เหยียนซิวออกไปทำงานอะไรด้วย ให้เขาฝึกตนอย่างสงบใจเฉยๆ
ในสวนดอกไม้ภายใต้ม่านราตรี หลังจากเดินเล่นช้าๆ อยู่ไม่กี่รอบ หยางชิ่งกับหยางเจาชิงก็มาคำนับพร้อมกัน
เหมียวอี้หันกลับมาพูดกับไห่ผิงซินว่า “นางหนู ตรงนี้ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว เจ้ากลับไปฝึกตนเถอะ”
ไห่ผิงซินเบะปากแล้วหันหน้าเดินจากไป ทำท่าเหมือนบอกว่า ‘ข้าก็ไม่อยากอยู่กับเจ้าเหมือนกัน’ ในใจกลับพึมพำว่า จะพูดคุยเรื่องน่าอับอายกันจนต้องหลบเลี่ยงข้าอีกแล้ว เชอะ!
หยางชิ่งเดินตามอยู่ข้างๆ พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ครั้งนี้นายท่านเก็บตัวฝึกตนสิบกว่าปีโดยไม่ได้ออกมาเลย”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ก็ช่วยไม่ได้ จ้านหรูอี้ เหยียนซู่และเกาโย่วต่างก็บรรลุระดับบงกชรุ้งหมดแล้ว สักวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องมาหาเรื่องข้า ข้าต้องเร่งทำเวลา”
หยางชิ่งพยักหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้ เมื่อก่อนอำนาจท้องถิ่นควบคุมตลาดสวรรค์ หลังจากวรยุทธ์ของผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์สูงถึงระดับบงกชรุ้งแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องย้ายกลับไปรับตำแหน่งที่อาณาเขตตัวเอง ตำแหน่งที่รายได้เยอะแบบนี้ก็จะเปลี่ยนให้นักพรตบงกชทองคนอื่นมาทำแทน เป็นไปไม่ได้ที่คนคนเดียวจะครอบครองผลประโยชน์ไปทั้งหมด ต้องให้คนในพรรคพวกเดียวกันมาผลัดกันรับตำแหน่ง แต่ตอนนี้ตลาดสวรรค์แยกระบบออกมาจากอำนาจท้องถิ่นแล้ว สามารถเลื่อนตำแหน่งและโยกย้ายเองได้ทั้งระบบ พอวรยุทธ์ของพวกเขาถึงระดับบงกชรุ้ง ก็ไม่ต้องย้ายออกไป ในภายหลังก็จะมีโอกาสคบค้ากับนายท่านเยอะขึ้นมาก”
เหมียวอี้โบกมือ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “เวยเวยยังสบายดีใช่มั้ย ไม่ได้กลับไปหานางหลายปีแล้ว”
“สบายดีมากขอรับ! เพียงแต่คิดถึงนายท่านมาก ก่อนที่จะมาเวยเวยก็บอกข้าน้อยเอาไว้ ว่าให้ข้าน้อยตั้งใจทำงานอยู่ข้างกายนายท่าน” หยางชิ่งตอบ
เหมียวอี้ไม่เชื่อหรอกว่าฉินเวยเวยจะพูดอะไรแบบนี้ได้ ถามว่า “เจ้าเตรียมจะกลับไปพักหลายๆ ปีไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
“เจาชิงส่งข่าวมาหาข้า ข้าก็เลยขอคำแนะนำฮูหยิน ฮูหยินก็เลยส่งกูกูน้อยไปรับข้าน้อยมาที่นี่ขอรับ” หยางชิ่งกล่าว
“อ้อ!” เหมียวอี้หันกลับมามองหยางเจาชิง “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“จากเบาะแสต่างๆ ในปีนั้น ข้าน้อยสงสัยมาตลอดว่ามีคนจงใจจะเข้าใกล้นายท่าน ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไร เคยหยั่งเชิงหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล ถึงขั้นจ้างกำลังพลมาช่วยจับกุมก็ยังไม่ได้เรื่องอะไรเช่นกัน ตอนหลังก็เลยวางกับดัก แต่อีกฝ่ายระวังตัวดีมาก พอสังเกตได้ก็ปลีกตัวหนีไป พวกเขาลงมือได้อย่างไม่ธรรมดา ข้าน้อยวางกับดักติดต่อกันแต่ไม่ได้อะไรเลย เพิ่งจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน แหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว หลังจากเงียบไปหลายปีขนาดนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามือนั้นเหมือนจะโผล่มาอีกแล้ว ข้าน้อยถึงได้รีบกลับมาจะดูว่าจะสามารถกดดันให้อีกฝ่ายปรากฏตัวได้มั้ย” หยางชิ่งกล่าว
…………………………