เมื่อหยางชิ่งอธิบายแบบนี้ เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้แล้ว ในปีนั้นเหมือนจะมีฉากแบบนี้เกิดขึ้น สตรีที่สวมชุดแดงเช่นเดียวกันลอยลงมาจากบนตึกศาลา แต่เป็นเพียงสาวน้อยวัยแรกรุ่นเท่านั้น ใบหน้ารูปงดงามน่าทึ่ง ถึงแม้จะยังไม่เติบโต แต่กลับทำให้มองออกแล้วว่าเป็นไข่ที่จะฟักตัวไปเป็นยอดหญิงงาม
ตอนนั้นในอ้อมอกเขาก็กอดสาวงามอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน ยังคงจำสิ่งที่สาวงามคนนั้นบอกได้ อย่าไปมองเชียวว่าเฟยหงอายุน้อย เพราะชื่อเสียงของนางสามารถกดดันเสวี่ยหลิงหลงได้แล้ว มีแนวโน้มว่าจะแย่งตำแหน่งกับเสวี่ยหลิงหลง แต่จนใจที่ภูมิหลังสู้เสวี่ยหลิงหลงไม่ได้ เกรงว่าถ้าไม่ได้โด่งดังมีชื่อเสียงก็คงจะโดนผู้ชายเก็บไว้ครอบครองเป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเองแล้ว
ตอนหลังเกิดเงากระบี่แสดงสะท้อนคมดาบ เลือดน้องกลายเป็นแม่น้ำ สาสงามในอ้อมกอดโดนเขาวางยาพิษในสุราจนตาย สาวน้อยชุดแดงคนนั้นก็ตกใจหมอบพื้นตัวสั่นเช่นกัน
สาเหตุที่เขาเรียกภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำนี้ขึ้นมาได้ ก็เป็นเพราะชุดสีแดงที่สาวน้อยคนนั้นใส่ออกเวที ทำให้เขามองปราดเดียวแล้วนึกถึงภาพที่เจอเทพธิดาหงเฉินครั้งแรกในปีนั้น เขาจึงมองดูหลายรอบ มีภาพติดอยู่ในความทรงจำจริงๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อผ่านไปหลายปีแล้วจะมาปรากฏตรงหน้าอีก เสน่ห์ความงดงามก็ยิ่งเหนือกว่าในปีนั้น เสวี่ยหลิงหลงที่เป็นยอดพธูในปีนั้นเทียบไม่คิด
จะพูดอย่างนี้ก็แล้วกัน ในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดที่เหมียวอี้เคยเจอมา ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้มีเพียงจู๋เก๋อชิงที่เทียบติด ส่วนพวกหวงฝู่จวินโหรวก็ทำได้เพียงอับอายที่ตนเองสวยสู้ไม่ได้
แต่ชื่อ ‘เฟยหง’ ที่ติดอยู่ในความทรงจำของเขาไม่เหมือนกับตอนแรก ในตอนนั้นตัวของนางติดอยู่ในความทรงจำแค่จางๆ เท่านั้น แต่หลังจากชื่อนี้ผ่านหูก็ลืมไปตั้งนานแล้ว สาเหตุที่มีภาพติดอยู่ในความทรงจำจริงๆ ก็เป็นเพราะ ‘แม่เฒ่าลวี่’ ในปีก่อนๆ เขาก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่านางระบำดาวรุ่งที่ชื่อว่าเฟยหงในอาณาเขตของเขาถูกแม่เฒ่าลวี่รับเป็นบุตรสาวบุญธรรม บางครั้งเวลาพวกลูกน้องจัดงานเลี้ยงก็เชิญให้เขาไปเข้าร่วมงาน บอกว่าเฟยหงจะมาทำการแสดงศิลปะให้ดู บอกว่าคุ้มค่าแก่การดู ทว่าตอนนั้นใจเขาจดจ่ออยู่กับการฝึกตน การเข้าสังคมทั้งหมดถูกเขาผลักออกไป ตอนหลังจึงไม่เคยเจอเฟยหงคนนี้เลย
แม่เฒ่าลวี่เป็นผู้ดูแล ‘สวนบรรณาการ’ ให้ตำหนักสวรรค์ สวนบรรณาการคือสถานที่สำหรับปลูกผลไม้เซียนให้ตำหนักสวรรค์โดยเฉพาะ ปลูกผลไม้เซียนส่งให้วังสวรรค์โดยเฉพาะ สวนท้อที่เหมียวอี้เคยปล้นในปีนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของสวนบรรณาการเช่นกัน ถึงแม้แม่เฒ่าลวี่จะไม่มีอำนาจอะไรที่ตำหนักสวรรค์ แต่กลับเป็นคนในสังกัดของวังสวรรค์โดยตรง ถามหน่อยว่าจะมีใครที่กินอิ่มแล้วว่างงานไปล่วงเกินบุตรสาวบุญธรรมของนาง ยั่วโมโหคนของวังสวรรค์สนุกนักเหรอ?
“จากเรือนสีชาด สาดสู่หน้าต่าง แสงจันทร์แยง หลับมิลง ควรไร้โกรธเกลียด เหตุใดให้พรากก่อน ค่อยเต็มดวง? คนมีทุกข์สุขร่วมและจาก จันทร์มีมืดสว่าง เต็มและพร่อง เรื่องนี้ไร้ความสมบูรณ์แบบมาตั้งแต่โบราณ ขอเพียงชีวิตยืน ร่วมชมจันทร์ห่างพันลี้…”
เสียงเพลงนุ่มนวลอ่อนหวาน ลักษณะงดงามเหนือมนุษย์ธรรมดา ท่วงท่าระบำของสาวงามเนิบนาบเป็นธรรมชาติ พลิกแพลงได้หลาดหลายอย่างไม่ขัดแย้งกัน เข้ากันได้ดีกับใบหน้าที่งามเลิศล้ำ ราวกับดอกกล้วยไม้ในหุบเขากำลังรับสายลมเย็นสดชื่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานตกอยู่ในภวังค์
สามารถทำให้คนทั้งงานเงียบงันและจดจ่อมองการแสดงของนางคนเดียวได้ สิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายปัญหาได้แล้ว
นี่คือเพลงใหม่ที่เฟยหงยังไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน หลังจากฝึกดีแล้วก็นำมาแสดงที่นี่เป็นครั้งแรก แม้แต่คณะระบำใหญ่จากที่ต่างๆ ที่อยู่บนตึกก็ทำสีหน้าตั้งใจเงี่ยหูฟัง สิ่งที่สามารถดึงดูดคนในอาชีพเดียวกันได้ก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว
ในห้องบนตึกที่หอมงกุฎงามใช้งานชั่วคราว พอท่านแม่เฝิงที่กำลังแต่งหน้าชำเลืองมองปฏิกิริยาของด้านล่าง บนใบหน้าก็ยิ้มเริงร่าราวกับดอกไม้บานแล้ว
“เฮ้อ…” อีกด้านหนึ่ง ท่านแม่สวีกำลังยืนแอบมองอยู่ตรงซอกหน้าต่าง จู่ๆ นางก็ถอนหายใจ กินถั่วไม่ลงแล้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความขื่นขม ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะรู้สึกมไยอมแพ้ แต่ตอนนี้ก็ต้องกลืนน้ำลายเช่นกัน แค่บทเพลงเพลงนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หอกลิ่นสวรรค์จะสร้างสรรค์ออกมาได้แล้ว ถึงแม้จะเป็นเสวี่ยหลิงหลงในปีนั้น ก็เกรงว่าจะโดนข่มดับแล้วเช่นกัน จึงทำได้เพียงแอบถอนหายใจ ทุกยุคสมัยของแผ่นดินย่อมปรากฏอัจฉริยบุคคล
ท่านสามีคนปัจจุบันของเสวี่ยหลิงหลง ในตอนนี้ผู้บัญชาการสวีถังหรานจ้องมองเฟยหงทำการแสดงเดี่ยวอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าหลังจากเสวี่ยหลิงหลงได้เห็นแล้วจะรู้สึกอย่างไร
เหมียวอี้จ้องมองจอกสุราที่ยกขึ้นมา ปรากฏว่าในนั้นว่างเปล่า จึงวางกลับลงไปใหม่อีกครั้ง แล้วเอียงหน้ามองไห่ผิงซินที่คอยรินสุราอยู่ข้างๆ ทำให้เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที พบว่าเด็กสาวก็มองจนใจลอยแล้วเช่นกัน มีผู้ติดตามรับใช้ที่ไม่ทุ่มเทแบบนี้ด้วยเหรอ?
“นางหนู!” เป็นหยางชิ่งที่ถ่ายทอดเสียงเร่งไห่ผิงซิน นางถึงได้สติกลับมาและรินสุราให้เหมียวอี้
ถึงแม้เพลงและระบำจะดี แต่หยางชิ่งกลับไม่มีอารมณ์จะดู ค่อยระวังสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนในงานอยู่ตลอด การปรากฏตัวของเหมียวอี้ท่ามกลางฝูงชนในงานใหญ่ได้ทำให้เขาตึงเครียดในใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนหูหนวกตาบอด ของดีก็ยังเป็นของดีอยู่วันยังค่ำ ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ต่อไป ชมว่า “ว่ากันว่าหลังจากเฟยหงโด่งดังแล้ว ทุกเพลงที่นางร้องล้วนเป็นเพลงที่นางแต่งเอง ว่ากันว่ากู่ฉิน หมากล้อม วากภาพ เขียนพู่กัน ร้องเพลงเต้นระบำ ไม่มีอะไรที่นางไม่เชี่ยวชาญ มีฝีมือหลากหลาย เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถ เดิมทีเป็นคนบรรเลงเครื่องเป่า วันนี้ได้ยินว่าประโยค ‘ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว’ ได้บรรยายเสียงในใจของยอดพธูทั้งหมดแล้ว เรียกได้ว่าเพลงกินใจคน เกรงว่าจะเป็นผลงานของนางจริงๆ ชื่อเสียงของยอดพธูคนนี้ไม่ใช่ของปลอม ไม่รู้เหมือนกันว่าหอมงกุฎงามใช้พลังความคิดไปมากเท่าไรเพื่อผลักดัน ‘เทพีแห่งบุปฝา’ นี้ขึ้นมา!”
“ในปีนั้นเทพีแห่งบุปฝานี้เกือบจะโดนข้าสั่งประหารแล้ว” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
หยางชิ่งเข้าใจ ในปีนั้นเป็นเวลาช่วงชิงอำนาจในการครอบงำตลาดสวรรค์ กระแสคลื่นพัดกระพือฮือโหม แสงดาบเงากระบี่ สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย คนที่เดินมาถึงขั้นนี้ได้ ใครจะไปสนใจความเป็นความตายของนางระบำคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ก็เหมือนเวลาเบื้องบนก่อเรื่องแล้วไม่สนใจใยดีความเป็นความตายของคนเบื้องล่าง ยามกลุ่มลูกพี่ใหญ่งัดข้อกัน ก็มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรที่กลายเป็นเครื่องสังเวย ถ้าไม่ใช่เพราะความใจอ่อนชั่ววูบ เกรงว่าแม้แต่เสวี่ยหลิงหลงที่เป็นฮูหยินของสวีถังหรานก็คงจะโดนประหารตายไปพร้อมกันแล้ว
“จันทร์กระจ่างมีมาตั้งแต่ยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามฟ้า มิอาจรู้ว่าวิมานบนสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีใด ข้าใคร่โดยสารวายุกลับไป แต่เกรงกลัววิมานหยกอันงดงาม ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ร่ายรำเพื่อสร้างเพียงเงาเสมือน ไหนเลยเทียบได้กับโลกมนุษย์…”
เสียงบทเพลงค่อยๆ หยุดตามเสียงดนตรีบรรเลงที่เบาลง ผ้าแพรสีแดงสองเส้นที่กำลังหมุนวนหายไปอย่างช้าๆ ถูกเก็บเข้าไปในกำไลเก็บสมบัติแล้ว เฟยหงย่อเข่าให้เหมียวอี้ซึ่งเป็นแขกผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่เบื้องบน คำนับอย่างนิ่มนวล จากนั้นก็หันตัวเดินที่ลานระบำและสะพานหยกที่เชื่อมต่อกับรอบด้าน เตรียมจะถอยออกจากเวที
“ดี!”
ในงานเงียบงันนานมาก ไม่ง่ายเลยกว่ากลุ่มแขกในงานจะดึงตัวเองออกจากเสียงดนตรีที่วนเวียนอยู่ในหูได้ เสร็จแล้วถึงได้สติกลับมา เสียงตะโกนชมดังฮือฮาอยู่พักหนึ่ง มีคนไม่น้อยปรบมือตะโกน
มีบางคนที่ไม่ได้ดื่มแล้วจะรู้สึกอารมณ์ไม่ดี จับจอกสุราได้ก็กรอกลงปาก สายตาเหม่อค้างอยู่ตามท่วงท่าของเฟยหง พอก้มหน้ามองจอกสุราที่ว่างเปล่าของตัวเอง สีหน้าก็เปลี่ยนทันที หันซ้ายหันขวาอยากจะคายอกมา…
จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง “เฟยหง! ผู้บัญชาการใหญ่ให้เกียรติมาร่วมงานด้วยตัวเอง จะไม่ไว้หน้าได้ยังไง ควรจะไปรินสุราให้ด้วยตัวเองสิ!”
“ใช่แล้ว ๆ!”
พอคนแรกพูดแบบนี้ ก็ทำให้กลุ่มคนประจบเอาใจตามทันที เป็นนิสัยไม่ดีของผู้ชายที่คุ้นชินกับการไปที่ยวสถานบันเทิง
คนที่คอยจัดลำดับการแสดงก็อ่านสถานการณ์ออกเช่นกัน ยกมือให้สัญญาณเล็กน้อย หยุดระบำที่กำลังจะขึ้นเวทีเอาไว้ก่อน ให้แขกได้สนุกสนานอย่างเต็มที่ก่อน
บรรยากาศคึกคะกอบอุ่นมาก แม้แต่เหมียวอี้เองก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีอะไรไม่เหมาะสม
คนอื่นอาจจะไม่สังเกตเห็นอะไร อาจจะคิดว่าเป็นแค่การประจบสอพลอเท่านั้น แต่หยางชิ่งกลับเป็นคนที่ความคิดปลอดโปร่งกว่าคนอื่น แค่มีจุดที่ไม่ชอบมพากลนิดเดียวก็ทำให้เขาระวังตัวแล้ว ปัญหาเกิดตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้มาถึงภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ทุกคนต่างก็เชื่อฟังและรับปากอย่างเดียว ตอนนี้กลับมีคนเป็นฝ่ายโยงเรื่องนี้มาที่ตัวเหมียวอี้…หยางชิ่งรีบกวาดตามองคนที่เอ่ยออกมาก่อน
เมื่อได้ยินเสียงคนยุยงเอ็ดตะโรมากขนาดนี้ เฟยหงที่เดินไปถึงข้างสะพานเล็กแล้วก็หยุดนิ่ง นางลังเลเล็กน้อย ท่าทางเหมือนลำบากใจ เงยหน้ามองชั้นลอยตรงเพดานด้านบนแวบหนึ่ง หลังจากโด่งดังมีชื่อเสียงแล้ว นางก็มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเรื่องแบบนี้ได้ เมื่อดังแล้วก็ไม่ต้องทำเรื่องประเภทยกจอกสุราเอาใจใครแบบนี้
หน้าต่างบนชั้นลอยเปิดออกครึ่งหนึ่งทันที ท่านแม่เฝิงแห่งหอมงกุฎงามโผล่ออกมาครึ่งตัว โบกมือถ่ายทอดเสียงให้เฟยหงที่อยู่ด้านล่าง “แม่ทูนหัวของข้า ไปรับแขกสักหน่อยเถอะ เจ้าเองก็เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นแล้ว เขาตัดหัวคนไปเยอะเชียวนะ! ท่านนั้นไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะมีใครหนุนหลัง คนที่มีภูมิหลังใหญ่กว่าเจ้าก็ฆ่าทิ้งไปแล้วเป็นกอง ถ้าไม่ไว้หน้าจนทำให้เขาไปต่อไม่ถูก เจ้าก็จะมีปัญหาแล้ว แม่ทูนหัวรีบไปเถอะ
ทุกคนก็เงยหน้ามองตามเฟยหงเช่นกัน พอเห็นปฏิกิริยาของท่านแม่เฝิง ก็มีคนเริ่มคิดอยากจะดูละครสนุกๆ แล้ว ดูว่าเฟยหงจะไว้หน้าเหมียวอี้หรือไม่
เฟยหงที่หยุดอยู่ข้างสะพานกัดริมฝีปาก แล้วหันตัวช้าๆ เปลี่ยนทิศทาง นางเดินมาทางเหมียวอี้ ข้ามสะพานขึ้นบันไดมาแล้ว
ขณะมองดูนางเดินขึ้นมา ไห่ผิงซินก็เหมือนจะตาเป็นประกายเล็กน้อย เรียกได้ว่าตาลุกวาวแล้วจริงๆ ให้ความรู้สึกเหมือนจะคลั่ง นางมองดูจอกสุราของเหมียวอี้ แล้วรีบโค้งตัวเติมสุราในกาให้เต็มก่อน เต็มปริ่มเป็นพิเศษ!
สตรีสวมชุดนางในที่อยู่ด้านข้างรีบเดินเข้ามา ยกถาดสุรารออยู่ เฟยหงที่เดินมาถึงด้านล่างโต๊ะยาวของเหมียวอี้หยิบถ้วยสุราจากถาดนั้น ใช้สองมือที่เรียวยาวยกจอกสุราอยู่ตรงข้ามเหมียวอี้ คำนับอย่างสุภาพและเยือกเย็น ดูสบายตาสบายใจ พร้อมกล่าวด้วยเสียงไพเราะดุจเสียงนกขมิ้น “ผู้บัญชาการใหญ่มาเยือนด้วยตัวเอง เฟยหงไม่มีอะไรจะแสดงความกตัญญู ทำได้เพียงรินสุราแสดงน้ำใจค่ะ หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะไว้หน้า”
เหมียวอี้ที่นั่งสงบนิ่งอยู่เบื้องสูงจ้องประเมินนางศีรษะจรดเท้า สายตาเย็นชาไร้อารมณ์ เขาไม่ได้มีเจตนาความคิดอะไร ยื่นมือไปคว้าจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมาชูแสดงน้ำใจเล็กน้อย
เฟยหงยกแขนเสื้อขึ้นมาป้องใบหน้าทันที เงยหน้าดื่มอึกเดียวหมดจอก แล้วเผยจอกสุราที่ดื่มไปจนหมดถึงก้น
เหมียวอี้ก็ดื่มหมดในอึกเดียวเช่นกัน แล้วกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ในงาน เผยจอกสุราที่ดื่มจนแห้งให้ทุกคนเห็น บอกใบ้ให้รู้ว่าข้าดื่มสุราจอกนี้ไปแล้ว
“ดี!”
คน้ด้านล่างส่งเสียงชมฮือฮาอีกครั้ง
เฟยหงวางจอกสุรากลับไว้บนถาด แล้วโค้งตัวคำนับเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขอตัว “ขอบคุณผู้บัญชาการใหญ่ค่ะ!”
นางหันตัวกำลังจะเดินลงบันได แต่ใครจะคิดว่าท่ามกลางกลุ่มคนจะมีเสียงตะโกนอีกว่า “ดื่มสุราจอกเดียวจะสนุกเต็มที่ได้ยังไง ถ้ามีความตั้งใจจริง ก็ไม่สู้อยู่สนุกกับผู้บัญชาการใหญ่ไปเลยสิ ข้าว่าไม่ต้องขึ้นเวทีแสดงแล้วล่ะ ไม่สู้คอยอยู่รินสุราข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เสียเลย”
หยางชิ่งกวาดสายตามอง พบว่ามีเพิ่มมาอีกคนแล้ว
“เป็นความคิดที่ดี!”
ในงานมีเสียงโห่ร้องอีกแล้ว ทำให้เฟยหงที่ยกกระโปรงเดินลงถูกกดดันอีกแล้ว นางยืนอยู่บนบันได ไม่รู้ว่าจะลงหรือจะขึ้นดี
อวิ๋นจือชิวที่นั่งอยู่ในศาลาไกลๆ ได้ยินแล้วมองมา นางด่าในใจว่า ผู้ชายก็ชอบทำเรื่องแบบนี้กันทั้งนั้น ไม่มีใครดีสักคน
หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในงานทำสีหน้าเรียบเฉย เหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เพียงแต่แววตาที่มองเฟยหงค่อนข้างล้ำลึก
เฟยหงทำท่าทางลำบากใจมาก เงยหน้ามองบนชั้นลอยอีกครั้ง เห็นเพียงท่านแม่เฝิงเปิดหน้าต่างออกมาครึ่งหนึ่ง นางถ่ายทอดเสียงพร้อมทำท่าประนมมือ “แม่ทูนหัว ล่วงเกินเขาไม่ไหวหรอก ลำบากเจ้าสักครั้งเถอะ”
วันนี้อารมณ์ความคิดของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่ที่ความงามของผู้หญิง เขาสนใจแต่มองสำรวจโดยรอบอย่างเงียบๆ มาตลอด ดังนั้นจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องให้สาวงามอยู่ด้วย และไม่จำเป็นต้องทำให้นางระบำคนหนึ่งลำบากใจด้วย จึงเป็นฝ่ายโบกมือก่อน ขณะกำลังจะบอกให้ทุกคนหยุด ใครจะคิดว่าหยางชิ่งที่อยู่ข้างหลังจะหัวไวพูดตามสัญญาณมือของเขา ให้คำอธิบายอีกแบบกับสัญญาณมือของเขาแล้ว บอกไห่ผิงซินว่า “นางหนู ยังไม่รีบออกไปอีก มารบกวนอารมณ์สุนทรีของนายท่านได้ยังไง”
เหมียวอี้แอบอึ้ง วางมือลงแล้วเช่นกัน หางตาเหล่มองไปข้างหลังเล็กน้อย รู้ว่าการที่จู่ๆ หยางชิ่งพูดแบบนี้จะต้องมีสาเหตุแน่นอน”
…………………………