เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สวีถังหรานก็ซาบซึ้งประทับใจ คว้าสองมือของนางไว้โดยไม่รู้ตัว มองนางอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เขาไม่ได้ซาบซึ้งเพราะคำว่าแต่งกับไก่ก็ตามไก่แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข และไม่ได้ซึ้งกับคำว่าจะไม่เสียใจทีหลังด้วย แต่เป็นเพราะคำพูดที่บอกว่า ‘คนอื่นจะว่าร้ายท่านสามียังไงก็ไม่สำคัญสำหรับข้าเลย ขอเพียงท่านสามีคิดว่าดี ข้าก็คิดว่าดี’ ต่างหากที่ทำให้เขาซาบซึ้งใจ
ที่จริงไม่ว่าตำแหน่งฐานะของเขาจะสูงกว่าเสวี่ยหลิงหลงหรือไม่ แต่ก็มีเรื่องบางเรื่อง จะพูดว่ายังไงดีล่ะ เขาเองก็รู้ว่าการที่ตัวเองเป็นคนขี้ประจบนั้นทำให้เกิดคำนินทาว่าร้ายไม่น้อยเลย ถ้าจะบอกว่าไม่สนใจความคิดของเสวี่ยหลิงหลงเลยสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ เขาสงสัยอยู่บ้างว่าเสวี่ยหลิงหลงจะแอบดูถูกเหยียดหยามเขาหรือไม่
จู่ๆ เสวี่ยหลิงหลงก็พูดประโยคนี้ออกมา เรียกได้ว่าฝ่าเข้ามาในหัวใจเขาแล้วจริงๆ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ข้างกายตัวเอง ต่อให้ทั้งชีวิตนี้จะได้รับความไม่ยุติธรรมมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว และสิ่งที่โชคดีก็คือ ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นฮูหยินของตัวเองอีกด้วย ทำให้บ้านนี้กลายเป็นท่าเรือหลบพายุให้เขาได้มองข้ามคำนินทาว่าร้ายจากโลกภายนอก สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบใจ
ความหมายที่เสวี่ยหลิงหลงสื่อก็ชัดเจนมากแล้ว ต่อให้เขาจะทำตัวสงบเสงี่ยมเหมือนหลานชายอยู่ที่นี่ต่อ ได้รับความอัปยศอับอายต่างๆ นานา ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ขอเพียงสวีถังหรานรู้สึกว่าดี นางก็รู้สึกว่าดี ถ้าสวีถังหรานตัดสินใจจะไปเสี่ยงอันตราย นางก็จะตามไปด้วย ไม่ว่าในภายหลังจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่เสียใจทีหลัง
สวีถังหรานรู้ถึงความสามารถของตัวเองดี รู้ว่าตัวเป็นคนประเภทไม่เก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋น ไม่ได้มีความสามารถมาก และไม่มีใครหนุนหลังด้วย แค่ใช้ชีวิตแบบยืดลมหายใจออกไปวันๆ ก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเดินต่อไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ บางครั้งตัวเขาเองก็สับสนกับอนาคตเหมือนกัน ตอนนี้จู่ๆ ก็หาความหมายในการมีชีวิตต่อไปได้แล้ว การมีภรรยามันเป็นแบบนี้นี่เอง รู้สึกเติมเต็มจนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว!
ชั่วพริบตานั้น สวีถังหรานก็ดึงเสวี่ยหลิงหลงเข้ามากอดไว้แรงๆ หอมแก้มนาง แล้วกระซิบพึมพำว่า “หลิงหลง ข้าสวีถังหรานคนนี้ไม่ได้สุภาพบุรุษคนดีอะไร ไม่กล้ารับประกันว่าในภายหลังจะแตะต้องผู้หญิงคนอื่นรึเปล่า แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้ารับรองกับเจ้าได้ ข้าจะไม่พาผู้หญิงคนอื่นกลับบ้านเด็ดขาด ทั้งชีวิตนี้จะไม่รับอนุภรรยา จะดูแลเจ้าเพียงคนเดียว ถ้าผิดคำสาบานนี้ขอให้ฟ้าดินประหัตประหาร!”
เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ในอ้อมกอดเขายิ้มบางๆ กางแขนกอดเขาเอาไว้เช่นกัน
ทั้งสองคนกอดพะเน้าพะนอกันนานมาก สวีถังหรานดันนางออกอย่างช้าๆ อีก จ้องดวงตางามทั้งคู่ของนาง พร้อมกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ฮูหยิน ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ข้าไม่หวังโดดเด่นเหนือใคร แต่หวังฝ่าฟันเพื่ออนาคต!”
เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้า แล้วถามว่า “จะออกเดินทางเมื่อไรคะ?”
สวีถังหรานปล่อยนาง แล้วเดินวนไปวนมาในห้องโถงหลายรอบ พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ฟังจากที่ผู้บัญชาการใหญ่บอก ก็อีกไม่กี่วันนี้แล้ว เจ้าเตรียมตัวไว้สักหน่อย ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายขวาไม่ได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายเหมือนที่นี่ ถ้าต้องซื้ออะไรเจ้าก็รีบเตรียมไว้ ถ้าจะบอกลาใครก็เร็วๆ หน่อย!”
สองสามีภรรยาตกลงเรื่องสำคัญในชีวิตกันแบบนี้แล้ว ก่อนจะต่างคนต่างไปจัดการเรื่องของตัวเอง เสวี่ยหลิงหลงต้องเตรียมตัวสำหรับเรื่องเบ็ดเตล็ดในชีวิตประจำวันในภายหลัง ส่วนสวีถังหรานก็ต้องส่งต่องาน
ในตำหนักประชุม สวีถังหรานเรียกลูกน้องระดับบงกชทองทุกคนมารวมตัว แล้วแจ้งเรื่องที่เหมียวอี้จะต้องไปรับตำแหน่งที่องครักษ์ฝ่ายซ้าย บอกเรื่องที่ตัวเองเตรียมจะติดตามไป สุดท้ายก็กวาดมองด้านล่างพร้อมถามอย่างร่าเริง “ทุกคน มีใครยินดีจะติดตามข้าไปหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมั้ย?”
คนที่อยู่ข้างล่างมองหน้ากันเลิกลั่ก ส่งสายตาให้กันไม่หยุด แต่ละคนยืนเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร
สวีถังหรานรออยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่เห็นพวกเขาพูดอะไรสักคำ ต่อให้จะเป็นคนที่ตัวเองนึกว่าเป็นลูกน้องคนสนิทก็ตาม ในใจแอบรูสึกปลงอยู่บ้าง ข้าล้มเหลวในด้านความประพฤติแล้วจริงๆ
พอนึกถึงสิ่งที่เขาทำในตอนนั้นเพื่อนกำจัดกงอวี่เฟยกับหลี่หวนถัง ตัวเองฆ่าลูกน้องคนสนิทสองคนเพื่อปิดปาก ในใจก็สงบเยือกเย็นแล้วเหมือนกัน
ไม่ต้องพูดอะไรแล้วทั้งนั้น ความเงียบของทุกคนก็คือการแสดงท่าที สวีถังหรานลุกขึ้นโบกมือกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าไม่บังคับ บังคับกันไม่ได้หรอก ถ้ามีใครเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็มาบอกข้าได้ก่อนที่ข้าจะไป เอาตามนี้แล้วกัน ที่เหลือก็รอให้ฝูชิงส่งคนมารับไปเขตเมืองตะวันตก แยกย้ายเถอะ”
ร้านค้าสมาคมวีรชน เสวี่ยหลิงหลงย่อมมาบอกลาหวงฝู่จวินโหรวอยู่แล้ว ตอนนี้นางไม่สะดวกจะไปสถานบันเทิงอย่างหอกลิ่นสวรรค์อีก นางส่งข่าวไปหาท่านแม่สวีแล้ว ให้ท่านแม่สวีมาที่ร้านค้าสมาคมวีรชน
ในศาลากลางทะเลสาบ เมื่อทราบข่าวว่าสวีถังหรานจะติดตามเหมียวอี้ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย หวงฝู่จวินโหรวกับท่านแม่สวีก็แปลกใจอยู่บ้าง เรื่องบางอย่างไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ทั้งสองคนรู้ นั่นก็คือการทิ้งตำแหน่งผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ไปที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย แบบนั้นต้องอาศัยการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน?
“เฮ้อ! ผู้บัญชาการใหญ่หนิวก็จริงๆ เลย ในปีนั้นไม่ต้องหลิงหลงของพวกเรา แต่ดันไปก่อเรื่องเพื่อเฟยหงคนนั้น เฟยหงนั่นมีอะไรดีนักหนา ก็แค่…”
ท่านแม่สวีเพิ่งจะพูดได้ครึ่งเดียว เสวี่ยหลิงหลงก็พูดตัดบทแล้วว่า “ท่านแม่ ข้ามีสามีแล้วนะคะ ต่อไปอย่าพูดอะไรแบบนี้เลยค่ะ” ตอนนี้นางไม่ใช่นางระบำเหมือนในปีนั้นแล้ว เวลาไม่พอใจก็แสดงลักษณะท่าทางที่น่าเกรงขามบ้างเหมือนกัน
หวงฝู่จวินโหรวสีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย รำคาญเวลามีคนเอ่ยถึงนางจิ้งจอกเฟยหงนั่นต่อหน้านาง
เพี้ยะ! พอท่านแม่สวีเห็นทั้งสองฝ่ายไม่พอใจ ก็ตบปากตัวเองเบาๆ ทันที ก่อนจะหัวเราะแห้งแล้วบอกว่า “ดูปากข้าสิ ช่างพูดไม่เป็นเลย หลิงหลงเอ๊ย เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าแค่จะบอกว่าแม่เฒ่าลวี่นั่นสมองมีปัญหา เฟยหงกับผู้บัญชาการใหญ่กลายเป็นแบบนั้นไปแล้ว แต่การที่นางกลั่นแกล้งผู้บัญชาการใหญ่แบบนี้ ไม่ใช่การทำให้ลูกสาวบุญธรรมของตัวเองได้รับความทุกข์หรอกเหรอ”
เสวี่ยหลิงหลงถอนหายใจ “มีบางอย่างที่ท่านแม่ยังไม่รู้ เดิมทีคงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้นหรอก แต่หลังจากแม่เฒ่าลวี่ไปที่ตำหนักคุ้มเมือง ก็ต้องการให้ผู้บัญชาการใหญ่รับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก แต่ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ทำตาม ยอมโดนย้ายไปอยู่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ยอมทำลายอนาคตตัวเอง ยอมปล่อยให้ตำแหน่งฮูหยินว่างไว้ ไม่ยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ถึงได้ทำให้แม่เฒ่าลวี่โมโหจนทำแบบนี้ บอกว่าจะให้บทเรียนกับผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อย จะได้ให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้จักถึงความร้ายกาจ ไม่อย่างนั้นในภายหลังอาจจะรังแกลูกสาวนาง”
เกิดเรื่องอะไรขึ้นในตำหนักคุ้มเมือง จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวแพร่ออกไปข้างนอก นอกจากคนที่อยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองในเวลานั้น ก็มีเพียงบุคคลระดับสูงไม่กี่คนของตลาดสวรรค์ที่รู้ เสวี่ยหลิงหลงก็รู้มาจากปากสวีถังหรานเช่นกัน แต่ถ้ารอหลังจากเหมียวอี้ไปแล้ว ในไม่ช้าความจริงก็จะแพร่ออกไปเช่นกัน
หวงฝู่จวินโหรวที่ไม่ค่อยพูดเยอะพลันเงยหน้า ในดวงตาฉายแววงุนงงตกตะลึง ถามว่า “เจ้าบอกว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่ยอมรับเฟยหงเป็นฮูหยินเอก ถึงได้ยั่วโมโหให้แม่เฒ่าลวี่ทำแบบนี้เหรอ?”
เสวี่ยหลิงหลงพยักหน้าร “เฮ้อ! ข้าก็ได้ยินสามีข้าบอกมา แค่เพื่อตำแหน่งฮูหยินเอกนี่แหละ ตอนนั้นผู้บัญชาการใหญ่ชี้หน้าด่าแม่เฒ่าลวี่ว่ายายปีศาจเฒ่าด้วย ไม่ยอมถอยเลยสักนิด ถึงขั้นเรียกรวมกำลังพลแล้ว เกือบจะปะทะกับคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายและแม่เฒ่าลวี่ในตำหนักคุ้มเมือง ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไงล่ะ”
หวงฝู่จวินโหรวแอบกัดฟัน เอียงหน้าช้าๆ มองไปทางตำหนักคุ้มเมือง ในดวงตาฉายแววเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย พึมพำในใจว่า อย่าบอกนะว่าเขาตกต่ำถึงขั้นนี้ก็เพื่อข้า? ทำไมเจ้าโง่นี่ดื้อรั้นหัวแข็งขนาดนั้น เป็นห่วงข้าแท้ๆ แต่กลับอาศัยปากเซี่ยโห้วหลงเฉิงเพื่อสืบข่าว ตอนนี้ก็วุ่นวายจนถึงขั้นนี้แล้ว จะยอมเอ่ยปากสักครั้งจะตายรึไง ใช่ว่าข้าจะไร้เหตุผลเสียเมื่อไร ตอนแรกเจ้าพูดจาตัดสัมพันธ์แบบนั้น แล้วจะให้ข้ายอมก้มหัวได้ยังไง…
“เจ้ายังรู้จักกลับมาด้วยเหรอ?”
เหมียวอี้กลับมาที่ร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน พอเข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวก็ได้แต่หันหลังให้เขา ดูแลต้นไม้ใบหญ้าอยู่อย่างนั้น คำพูดที่กล่าวออกมาก็ไม่เกรงใจเช่นกัน
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “น้องชิว สถานการณ์ของข้าในตอนนั้นทำให้ข้าทำตามใจตัวเองไม่ได้”
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ข้าว่าอะไรเจ้าแล้วเหรอ? ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ และไม่ได้โทษเจ้าด้วย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแต่กลับไม่โผล่หน้ามาเลย ไม่ให้คำอธิบายสักคำด้วย ตอนนี้ถ่อมาบอกว่าทำตามใจตัวเองไม่ได้ เห็นข้าเป็นอะไรไปแล้วล่ะ? อย่าบอกนะว่าในสายตาเจ้า ข้าเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้ารู้สึกผิด “เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลังจากจบเรื่องแล้ว ข้าก็แค่ไม่รู้ว่าจะมาเผชิญหน้ากับเจ้ายังไง จะบอกว่าไม่กล้ามาเจอเจ้าก็ได้”
อวิ๋นจือชิววางบัวรดน้ำและปัดมือ หันตัวมาจ้องเหมียวอี้ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ตอนนี้ข้าขอถามเจ้าสักคำ ข้ายังมีอำนาจตัดสินใจเรื่องภายในบ้านอยู่หรือเปล่า?”
“ยังมีสิ!” เหมียวอี้ตอบ
“ดี!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่ข้านะที่ไม่พอใจ อนุภรรยาคนอื่นๆ ในบ้านก็ไม่พอใจเหมือนกัน และไม่กล้าไปรบกวนอารมณ์อันสุนทรีย์ของเจ้าด้วย พวกนางพากันมาถามข้าว่าเรื่องเป็นยังไง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พวกนางมาขอคำอธิบายจากคนที่ดูแลบ้านอย่างข้า เจ้าจะให้นายหญิงของบ้านอย่างข้าทำยังไงล่ะ? ข้าเป็นฮูหยินคนหนึ่ง ปกติวางมาดต่อหน้าพวกนางเต็มที แต่ผลปรากฏว่าควบคุมไม่ได้แม้แต่เรื่องแบบนี้ แล้วบารมีความน่าเชื่อถือของข้าจะเหลือมั้ย ต่อไปเจ้าจะให้ข้าควบคุมดูแลบ้านได้ยังไง? แล้วอีกอย่าง เจ้าเคยคิดบ้างรึเปล่า อำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกนางน่ะ ถ้าทำให้พวกนางเอาใจออกห่างจริงๆ หนีไปขอพึ่งพาอำนาจฝ่ายตัวเอง เจ้าเคยคิดบ้างมั้ยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”
“ฮูหยินพูดถูก” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม
อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “เรื่องนี้ไม่ได้ผ่านความยินยอมจากใครทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ถ้าทำผิดกฎระเบียบแล้ว ในภายหลังเจ้าทำซี้ซั้วได้ คนอื่นก็ทำซี้ซั้วได้เหมือนกัน ทุกเรื่องล้วนต้องมีขีดจำกัด ครอบครัวใหญ่ขึ้นแล้ว มีคนเยอะขึ้นแล้ว กฎระเบียบจึงสำคัญเป็นพิเศษ ถ้าไม่มีกฎระเบียบในบ้านแบบนี้ ก็จะควบคุมใครไม่ได้ทั้งนั้น พวกนางต้องการคำอธิบาย ข้าก็ต้องการคำอธิบายเหมือนกัน เจ้าว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าชื่นชมอย่างเต็มที่ ถามว่า “ฮูหยินว่าจะทำยังไงดีล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “เจ้าถามข้าว่าจะให้ทำยังไงเหรอ ท่าทีของข้าไม่เคยเปลี่ยนไป เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนมาตลอด ข้ายังยืนยันคำเดิม ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ก็ห้ามพาผู้หญิงข้างนอกเข้าบ้านหลังนี้ เรื่องนี้เจ้าก็ตอบตกลงข้าแล้วเหมือนกัน ตอนนี้ข้าไม่สนหรอกว่าผู้หญิงคนนั้นจะสวยขนาดไหน จะมีความสามารถขนาดไหน จะเต้นเก่งร้องเก่งขนาดไหน หรือเจ้าชอบนางมากเท่าไร แต่ในสายตาข้ารับนางไว้ไม่ได้ จะต้องกำจัดผู้หญิงคนนี้ทิ้ง ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ข้าต้องการให้นางตาย เจ้ารับปากได้มั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ตอบอย่างลังเลนิดหน่อย “ข้ารับปาก เพียงแต่ตอนนี้ยังแตะต้องนางไม่ได้ ผ่อนผันให้หน่อยได้มั้ย รอให้ข้าจัดดการเรื่องนี้ให้เหมาะสมก่อน”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ได้! ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว ตอนนี้พวกอนุภรรยาอารมณ์ไม่ดีกันทั้งนั้น ข้าต้องให้คำตอบกับพวกนาง จะให้คนในบ้านจิตใจแตกแยกไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะกลับไปบอกพวกนาง ว่าตอนนี้เฟยหงนั่นยังมีค่าให้ใช้ประโยชน์ หลังจากจบเรื่องนายท่านจะกำจัดนางทิ้ง! ข้าจะบอกกับพวกนางแบบนี้ เจ้าไม่มีความเห็นแย้งอะไรใช่มั้ย?”
“ไม่มีความเห็นแย้งอะไร!” เหมียวอี้ตอบ
เขารู้ว่าการรับปากตกลงนี้ ไม่ใช่แค่การให้คำอธิบายกับอวิ๋นจือชิวอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการให้คำอธิบายกับเหล่าอนุภรรยาในบ้านด้วย
“นำน้ำชามาให้นายท่าน!” สีหน้าอวิ๋นจือชิวผ่อนคลายลงแล้ว เหมือนคนไม่เป็นอะไร ยิ้มอย่างเป็นกันเองและเป็นฝ่ายเข้ามาคล้องแขนเหมียวอี้ แล้วพาเข้าไปนั่งในศาลาเย็น จากนั้นก็ยืนข้างหลังเขา บีบนวดไล่ให้เขา พร้อมกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้า ทางด้านแดนอเวจีรู้เรื่องแล้ว กำลังหาโอกาสยุงยงสร้างปัญหา”
………………………