โค่วเจิงพี่ชายคนโตเข้าใจในฉับพลัน ถามว่า “อย่าบอกนะว่าเป็นประสงค์ของฝ่าบาท? เพียงแต่ฝ่าบาทจะสิ้นเปลืองความคิดเพื่อตัวละครเล็กๆ อย่างนั้นเหรอ?”
อ๋องสวรรค์โค่วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “ฉวยโอกาสได้ดีเชียวล่ะ! เจ้าเด็กนั่นตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจในราชสำนักครั้งแล้วครั้งเล่า ประขวบเหมาะกับการงัดข้อของเบื้องล่างและเบื้องบนครั้งก่อน เกรงว่าจะเข้าตาประมุขชิงเข้าแล้ว กอปรกับมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ที่ต้องการโยนไปให้หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายก็เพราะจะลับคม ถ้ายืนในตำแหน่งนั้นได้อย่างมั่นคงและสร้างผลงานการรบอีกสักหน่อย ในภายหลังเมื่อวรยุทธ์สูงขึ้น ถ้าประมุขชิงต้องการจะใช้ให้ไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญก็จะเรียกได้คล่องปากแล้ว เพียงแต่มีอยู่จดหนึ่งที่อาจจะมีลับลมคมใน ผ่านไปสักระยะแล้วหลังจากเกิดเรื่องนั้น ทำไมถึงถ่วงเวลามาจนตอนนี้กว่าจะโยนเจ้าเด็กนั่นไปไว้ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายล่ะ?”
ผู้เฒ่าถังที่อยุ่ข้างกันพูดเสริมส่วนที่ขาด “ท่านยังไม่รู้จักประพฤติตัวของประมุขชิงอีกหรือ คาดว่าช่วงนี้วรยุทธ์ของเจ้าเด็กนั่นคงใกล้จะบรรลุแล้ว หรือไม่ประมุขชิงก็อยากจะให้เขาตักตวงทรัพยากรฝึกตนอีกสักหน่อย ตอนนี้ความร้อนคงใกล้จะได้ที่แล้ว”
เป็นคนที่คลุกคลีกับประมุขชิงมานานจริงๆ ด้วย เดาเจตนาของประมุขชิงได้บ้างแล้วจริงๆ เพียงแต่เดาได้ไม่ถูกทั้งหมด เพราะประมุขชิงคิดว่าเหมียวอี้ตักตวงทรัพยากรฝึกตนได้เยอะตั้งนานแล้ว ถ้ารู้ว่าเป็นเพราะซือหม่าเวิ่นเทียนชักช้าลงมือไม่ได้เสียที ก็ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะคิดอย่างไร
“ประมุขชิงจะสนใจตัวละครเล็กๆ ต่อเนื่องนานขนานดี้เชียวเหรอ?” อ๋องสวรรค์โค่วลังเล
ผู้เฒ่าถังยิ้มพร้อมบอกว่า “ประมุขชิงเอ่ยคำเดียวก็พอ เบื้องล่างย่อมปฏิบัติตามคำสั่ง เขาได้สิ้นเปลืองความคิดเสียที่ไหนกัน”
อ๋องสวรรค์โค่วพยักหน้าเล็กน้อย “ข้างบนกับข้างล่างห่างกันมากเกินไป ทั้งยังเล่นบทนั้นอีก ใช้ชั้นเชิงลึกลับเข้าใจยาก เจ้าเด็กนั่นคงเลอะเลือนไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่” เขายกมือขวาเล็กน้อย แล้วพูดต่อว่า “ลูกชายทั้งสาม คนวัยหนุ่มสาวก็ควรจะมีเครือข่ายของตัวเองเหมือนกัน ต้องรีบคบค้ากับคนมีอนาคตตั้งแต่ตอนยังไม่ร่ำรวย ให้เหวินหลานซื้อน้ำใจเขาไว้ บอกเจ้าเด็กนั่นสักหน่อย ให้เจ้าเด็กนั่นมีข้อมูลอยู่ในใจ จะได้รู้ว่าควรทำอย่างไร อย่าให้เมื่อถึงเวลานั้น พอตายแล้วก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร”
“ขอรับ!” โค่วเหมี่ยนเอ่ยรับอย่างเคารพ
ดาวจูจื่อ หน่วยองครักษ์เจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำซึ่งอยู่ใต้สังกัดหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายประจำการอยู่ที่นี่ชั่วคราว
ตรงจุดที่ห่างไกลจากความเจริญของโลกมนุษย์ ยอดเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายยาวติดกันเป็นพืด บนยอดเขาที่สูงที่สุดมีเสาธงใหญ่ต้นหนึ่งตั้งอยู่ บนธงผ้าไหมปักรูปมังกรดำที่ดุร้าน่ากลัวไว้หนึ่งตัว สมจริงทั้งยังดูมีพลังอำนาจไม่ธรรมดา ตั้งตรงสูงตระหง่าน โบกสะบัดรับลม
มีธงใหญ่ด้ามนี้เป็นสิ่งนำทาง พวกเหมียวอี้สังเกตเห็นมาแต่ไกล ทว่าก็ถูกทหารยามขวางไว้ตั้งแต่ไกลๆ เช่นกัน “ใครกันที่มาบุกที่นี่!”
“หนิวโหย่วเต๋อถือคำสั่งโยกย้ายมาที่นี่!” เหมียวอี้นำหน้าขึ้นมาตอบคำถาม ยื่นแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่งแล้ว
หลังจากทหารยามสงอคนตรวจสอบตัวตนของเหมียวอี้แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าได้ยืนชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมานานมาก มองประเมินเขาศีรษะจดเท้าอย่างตั้งใจมาก จากนั้นถึงได้ปล่อยไป โดยให้คนคนหนึ่งนำทาง
แล้วก็ผ่านการตรวจสอบอีกสามด่าน พวกเหมียวอี้ถึงได้มาหยุดอยู่บนพื้นราบตรงตีนเขาที่มีธงมังกรดำปักอยู่ มารอเนี่ยอู๋เซี่ยวแม่ทัพภาคกองมังกรดำเรียกพบ เฟยหงและคนในครอบครัวถูกค้นเรียกออกมา พวกนางมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ที่พักของกองมังกรดำนั้นเลือกได้ไม่เลวเลย เขาสวยน้ำใส ยอดเขาประหลาดงดงาม ขุดเป็นทางหินคดเคี้ยวขึ้นไปตลอดทาง ในซอกเขาทั้งสองฝั่งมีน้ำตกที่ไหลตรงลงมาราวกับตกลงมาจากฟ้า ละอองหมอกพลิ้วไหวตามแรงลมอยู่ตรงตีนเขา เปลี่ยนแปลงเป็นแสงสีรุ้งราวกับภาพมายา
เมื่อสำรวจสภาพแวดล้อมคร่าวๆ ครู่หนึ่ง พวกเหมียวอี้ก็หันหน้าไปทางด้านขวา แล้วก็ค้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
ฝั่งขวามีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ตอนแรกคนที่อยู่หน้าสุดยืนหันหลังให้จึงเห็นไม่ชัด รอจนกระทั่งอีกฝ่ายหันหน้ามา ทุกคนถึงได้พบว่าเพิ่งแยกกับอีกฝ่ายไม่นาน
อีกฝ่ายสวมชุดกระโปรงสีขาว เอามือไขว้หลังยืนด้วยความภูมิใจ กำลังเหล่ตาจ้องมาทางนี้พลางแสยะยิ้ม จ้านหรูอี้นั่นเอง!
ข้างหลังนางทางซ้ายและขวามีหญิงรับใช้สองคน ข้างหลังมีทั้งชายทั้งหญิงยืนอยู่กลุ่มหนึ่ง รวมๆ แล้วหลายสิบคน
เหมียวอี้แปลกใจอยู่บ้าง ผู้หญิงพวกนี้มาโผล่ที่นี่หมายความว่าอย่างไร?
จ้านหรูอี้ที่ยกมุมปากยิ้มถากถางหันกลับไปแล้ว ดูท่าแล้วเหมือนจะรอเข้าพบเหมือนกัน เหมียวอี้หันกลับมาส่งสายตาให้พวกหยางชิ่ง ในดวงตาฉายแววโดดเดี่ยว ไม่เข้าใจสถานการณ์แน่ชัด
ตั้งแต่เช้าตรู่จนเที่ยงตรง รอตั้งนานไม่เห็นแม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยวเรียกพบสักที เห็นได้ชัดว่าคนฝั่งจ้านหรูอี้มาเร็วกว่าฝ่ายนี้ มีบางคนทนรอไม่ไหวแล้ว อยากจะเดินไปดูสักหน่อย ใครจะคิดว่าเพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทหารยามที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่อีกด้านก็ตะโกนบอกแล้วว่า “ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างซื่อสัตย์ อย่าวิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว”
เมื่ออยู่ใต้ชายคาของเขาก็จำเป็นต้องก้มหัว ถึงแม่จะมีจ้านหรูอี้หนุนหลัง แต่ถ้าอยากเคลื่อนไหวสักหน่อยก็จำเป้นต้องถอยกลับมา มิหนำซ้ำจ้านหรูอี้ก็หันกลับมาบอกใบ้ด้วยว่าไม่ให้เขาทำซี้ซั้ว
ผ่านไปไม่นานนัก บนทางขึ้นภูเขาก็มีชายวัยกลางคนที่สวมเกราะม่วงยศแม่ทัพสี่แถบเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบลงมา เดินวนคนทั้งสองฝั่งสองรอบ มายืนตรงหน้าเหมียวอี้แล้วมองสำรวจศีรษะจดเท้า “เจ้าเองเหรอหนิวโหย่วเต๋อ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ใช่ขอรับ ขออนุญาตถาม…”
อีกฝ่ายขี้คร้านจะสนใจเขา หันตัวเดินตรงไปข้างๆ จ้านหรูอี้ แล้วมองประเมินจ้านหรูอี้ศีรษะจรดเท้าอย่างไม่เกรงกลัวอะไร ทั้งยังตั้งใจเอียงซ้ายทีขวาทีเพื่อมองหน้าอกที่ตั้งตระหง่านของจ้านหรูอี้ ทำให้คนรู้สึกเหมือนอยากจะใช้นิ้วจิ้ม ‘หมั่นโถว’ ดูสักหน่อย ทำเอาจ้านหรูอี้อึดอัดมาก บนใบหน้าฉายแววแค้นเคือง ถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
สามารถแน่ใจได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่แม่ทัพภาคเนี่ยอู๋เซี่ยว เนี่ยอู๋เซี่ยวมียศแม่ทัพห้าแถบ แต่คนคนนี้ยังมียศสี่แถบ ฐานะที่กองมังกรดำไม่ต่ำแน่นอน
คนคนนั้นไม่สนใจ ถามกลับว่า “เจ้าคือจ้านหรูอี้เหรอ?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “ใช่! ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพภาคจะเรียกพวกเราเข้าพบเมื่อไร”
“รอไปเถอะ! ท่านแม่ทัพภาคบอกไว้แล้ว เขากำลังนอนหลับอยู่ ให้พวกเจ้ารอไปก่อน” คนคนนั้นตอบอย่างสุขุมหนักแน่น
ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเหมียวอี้ หรือฝั่งของจ้านหรูอี้ ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วมุ่น ถ้านอนหลับแล้วยังพูดได้อีกเหรอว่าตัวเองหลับแล้ว ชัดเจนว่ากำลังปั่นพวกเขาเล่น
เพียงแต่อาศัยคำพูดนี้ก็ทำให้กลุ่มคนที่มาใหม่ได้รับรู้ถึงความหยิ่งผยองของกองมังกรดำแล้ว แม้แต่หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ยังกล้าละเลย
จ้านหรูอี้สีหน้าค่อนข้างแย่ ถามว่า “ถ้าท่านแม่ทัพภาคไม่พอใจอะไรพวกเรา ก็บอกว่าตรงๆ ได้เลย ทำไมต้องล้อเล่นแบบนี้?”
คนคนนั้นหัวเราะแห้งๆ ทันที ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าจ้านหรูอี้ แล้วถามว่า “ล้อเจ้าเล่นแล้วจะเป็นไรไป?” เขาเอามือชี้ไปด้านนอก “ถ้าไม่พอใจก็ไสหัวไปตอนนี้เลย ที่นี่ไม่มีใครรั้งเจ้าหรอก! รีบไสหัวไปตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ไม่อย่างนั้นตอนหลังถ้าอยากจะไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว กฎระเบียบกองทัพของกองมังกรดำไม่ได้มีไว้เฉยๆ นะ!”
จ้านหรูอี้กัดริมฝีปาก กำหมัดสองข้าง สุดท้ายก็อดทนไว้ และยกมือห้ามคนข้างหลังที่จะช่วยออกหน้าแทนนางเช่นกัน
คนคนนั้นมองกลุ่มคนข้างหลังจ้านหรูอี้ที่กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด แล้วก็ถ่มน้ำลายทันที พูดเหยียดหยามอีกว่า “ตัวปัญหา!”
ด่าเสร็จก็เอามือไขว้หลังเดินลงเขาไป
เหมียวอี้มองจ้านหรูอี้ที่กล้ำกลืนความโมโหเอาไว้ เขารู้สึกบันเทิงแล้ว พูดกับทางนี้ว่า “หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋ง!”
เห็นได้ชัดว่าคำเรียกนี้กำลังเยาะเย้ยถากถาง กำลังหยอกล้อว่าบารมีของหลานสาวอ๋องสวรรค์อิ๋งก็ไม่น่าเกรงขามสักเท่าไรหรอก จ้านหรูอี้กำหมัดสองข้างเอาไว้แน่น ไม่หันหน้ากลับมา เก็บกลั้นไฟโกรธไว้เต็มอกแล้ว นางกลัวว่าถ้าได้เห็นปากกับหน้าที่น่ารังเกียจของใครบางคนแล้วจะอดใจไม่ไหวพุ่งเข้าไปตบ
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเปลี่ยนคำเรียกอีก “จ้านคนสวย คนเมื่อครู่นี้คือใครเหรอ ทำไมไม่อ้างชื่อท่านตาของเจ้าขู่เขาให้ตกใจตายไปเลยล่ะ?”
จ้านหรูอี้หันขวับกลับมา แล้วตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าแซ่หนิว อย่าลำพองใจเร็วเกินไปนักเลย อีกเดี๋ยวได้ถึงคราวที่เจ้าร้องไห้แน่!”
ลูกน้องคนอื่นๆ ก็จ้องมาทางนี้ด้วยสายตาโมโหเช่นกัน สวีถังหรานที่อยู่ทางนี้เบิกตากว้างทันที ช่วยถลึงตาจ้องกลับแทนผู้บัญชาการใหญ่ ราวกับกำลังสู้กับคนกลุ่มหนึ่งด้วยตัวคนเดียว
ใครจะคิดว่าทหารยามที่อยู่ข้างๆ จะตะโกนถามว่า “เอะอะโวยวายอะไรกัน! เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อกันแล้วรึไง?”
เหมียวอี้หัวเราะอย่างร่าเริง ไม่พูดอะไรแล้ว แต่กลับเล่นหูเล่นตาใส่จ้านหรูอี้อยู่อย่างนั้น
หยางชิ่งที่อยู่ข้างกันแอบส่ายหน้า แค่มองปราดเดียวเขาก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้กำลังจงใจยั่วโมโหจ้านหรูอี้ อยากจะยืมดาบฆ่าคน
แต่เห็นได้ชัดว่าจ้านหรูอี้ก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นางจะมาพาลเกเรได้ จึงกัดฟันแล้วหันกลับไป ฝืนอดกลั้นเอาไว้
แล้วก็เป็นแบบนี้ คนกลุ่มหนึ่งอดทนอยู่ที่นี่ต่อไป
เหมียวอี้เงยหน้ามองสีของท้องฟ้าเป็นระยะ กำลังคำนวณว่ารอมานานเท่าไรแล้ว จู่ๆ ก็ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “เนี่ยอู๋เซี่ยวคนนี้มีเจตนาอะไรกันแน่?”
“เกรงว่าจะแสดงอำนาจบารมี นายท่านชื่อเสียงโด่งดังไปถึงข้างนอก เป็นไปได้ว่าอาจจะกำลังทรมานจิตใจอันทระนงองอาจของนายท่าน ทำลายลักษณะอันน่าเกรงขามของนายท่าน” หยางชิ่งตอบว่า
เหมียวอี้ถามอีกว่า “แล้วพวกจ้านหรูอี้มาที่นี่หมายความว่าอะไร?”
หยางชิ่งตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ ถ้าไม่ใช่เพราะมีธุระแล้วบังเอิญเจอกันพอดี ก็อาจจะพุ่งเป้ามาที่นายท่าน ครั้งแรกตระกูลอิ๋งทดสอบแพ้ นางก็มาเข้าร่วมการทดสอบครั้งที่สองเพื่อกู้หน้าให้ตระกูลอิ๋งทันที ในการทดสอบตอนหลังนางเสียเปรียบให้นายท่าน จึงเป็นฝ่ายขอย้ายมาที่จวนแม่ทัพภาคตงหัวเพื่อหาเรื่องนายท่าน จะเห็นได้ถึงความหยิ่งทระนงของผู้หญิงคนนี้ ตอนหลังก็เสียเปรียบให้นายท่านครั้งแล้วครั้งเล่า จึงเป็นไปได้สูงว่าการมาครั้งนี้จะพุ่งเป้าไปที่นายท่าน นายท่านต้องระวังไว้หน่อย”
เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ
ดวงอาทิตย์เคลื่อนลงจากท้องฟ้าทีละนิด ตอนที่เวลาผ่านมาจนถึงครึ่งบ่าย จู่ๆ บนภูเขาก็มีทหารคนหนึ่งเหาะลงมา มองดูคนทั้งสองกลุ่ม แล้วประกาศว่า “ท่านแม่ทัพภาคประกาศให้หนิวโหย่วเต๋อ จ้านหรูอี้ขึ้นไปคารวะ”
คนทั้งสองกลุ่มกล่าวขึ้นปข้างหน้าทันที แต่ทหารคนนั้นตะโกนอีกว่า “คนที่ไม่ได้บอกให้ขยับก็อย่าขยับซี้ซั้ว”
พวกหยางชิ่งชะงักทันที จากนั้นก็หยุดฝีเท้า ทั้งสอฝั่งล้วนทำแบบนี้ สุดท้ายทหารคนนั้นก็นำเพียงเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ขึ้นเขาไป
จะบอกว่าเป็นฐานของกองมังกรดำชั่วคราวก็ไม่ผิดเลยสักนิด บนภูเขาไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไร มีเพียงเรือนมั่นคงแข็งแรงหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นจากไม้ซุง เหมือนเป็นตำหนักที่สง่างาม ไม่ฉูดฉาด หยาบเถื่อน เผยให้เห็นความองอาจน่าเกรงขามอีกแบบ ข้างกันเป็นธงมังกรดำทีสูงเสียดฟ้ากำลังปลิวสะบัดรับลม
พอเข้ามาข้างใน ด้านบนของตำหนักหลังก็เป็นบันไดสามขั้น มีโต๊ะยาวและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัว ชายรูปร่างผอมสูงไว้หนวดสั้นคนหนึ่งกำลังใช้เท้าสองข้างไขว้วางพาดอยู่บนโต๊ะยาว ใบหน้าขาวทว่าเงียบขรึม บนตัวสวมเครื่องแบบเกราะรบยศแม่ทัพห้าแถบ กำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือผลไม้ มืออีกข้างถือมีดเล็กปอกเปลือกอย่างช้าๆ หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใช้ปลายดาบจิ้ม ป้อนเนื้อผลไม้เข้าในปากอย่างช้าๆ แล้วปอกเปลือกต่อไป ไม่เหลือบตามองคนที่เดินเข้ามาแม้แต่น้อย ไม่เห็นใครในสายตา
และคนที่ยืนอยู่ข้างกายของเขา ก็คือทหารยศแม่ทัพสี่แถบที่เพิ่งลงเขาไปก่อนหน้านี้
“ท่านแม่ทัพภาค พาตัวหนิวโหย่วเต๋อกับจ้านหรูอี้มาแล้ว” ทหารที่นำคนเข้ามากุมหมัดคคาระ
รองเท้ายาวที่พาดไว้บนโต๊ะกระดิกเล็กน้อย คนที่อยู่หลังโต๊ะขานรับ “อืม” แสดงออกว่ารู้แล้ว จากนั้นทหารที่นำคนเข้ามาก็ถอยออกไป
จ้านหรูอี้กับเหมียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกัน แล้วกุมหมัดคาระวพร้อมกันว่า “หนิวโหย่วเต๋อ จ้านหรูอี้ คารวะท่านแม่ทัพภาค”
คนที่เอนกายอยู่ข้างบนไม่พูดอะไรตอบ มีมีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ จัดการปอกกินผลไม้ในมืออย่างช้าๆ ต่อไป
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ที่ก้มหน้ารออยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองหันกลับมาสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ข้างบนไม่ได้บอกให้ยืนตรง ทั้งสองจึงทำได้เพียงรออยู่ในท่านี้ต่อไป
…………………………