พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1347 สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน

“สถานที่ก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่อากาศไม่เลวเลย”

เหมียวอี้ที่เงยหน้ามองฟ้ากล่าวประโยคที่ทำให้คนรู้สึกงุนงง เขาไม่ยืนรออยู่ตรงประตูอย่างโง่ๆ อีก เดินตรงไปอยู่ใต้ร่มไม้ด้านข้าง โบกมือออกคำสั่ง ให้พวกเฟยหงเตรียมโต๊ะงานเลี้ยงสุรา บอกว่ายังเข้าประตูไปไม่ได้ชั่วคราว ก็เลยจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณหูโกวอวี้ตรงนี้ก่อน

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีโต๊ะงานเลี้ยงสุรา หูโกวอวี้ยิ้มบางๆ อย่างไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ รู้ว่าท่านนี้ก็ไม่ได้โง่เลอะเลือนเช่นกัน มองออกแล้วว่ารอประเดี๋ยวเดียวจะยังไม่มีใครมาแน่นอน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้รีบ และไม่ใช่เรื่องของเขาด้วย เขามาเพื่อส่งคนเฉยๆ จัดงานเลี้ยงสุราก็จัดไปเถอะ นั่งลงเพื่อดูเอาสนุกแท้ๆ เลย

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ด้วยการร่วมมือกันของผู้หญิงหลายคน ไม่นานก็มีสุราอาหารเลิศรสวางบนโต๊ะใต้ร่มไม้แล้ว โต๊ะเก้าอี้ที่นำมาเองนั้นงดงามหรูหรา

นอกจากสาวใช้สี่คน คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสถานะนายบ่าว เหมียวอี้เรียกทุกคนมานั่งโต๊ะด้วยกัน นั่งกินดื่มและพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มอยู่ตรงนั้น

ในสำนักหกนิ้วที่ปิดสนิท มีคนยื่นหน้าออกมาแอบมองอย่างลับๆ ล่อๆ เป็นระยะ มองฉากใต้ร่มไม้แล้วแอบรู้สึกขำ ขอเพียงไม่ใช่คนโง่ก็ล้วนดูออก รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองกำลังแสดงอำนาจบารมีต่อผู้บัญชาการใหญ่ที่มาใหม่ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ ไม่ใช่ว่าใครจะมาเป็นก็เป็นได้

ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่เห็นคนออกมา ผ่านไปสองชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นคนออกมา ในกำไลเก็บสมบัติของเหมียวอี้มีระฆังดาราส่งข่าวมา

เป็นโค่วเหวินหลานนั่นเอง เหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีธุระอะไร ระหว่างเขากับโค่วเหวินหลานติดต่อกันด้วยเรื่องงานของตำหนักสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นจะโดนมองออกถึงรายละเอียกได้ง่าย เขาจึงหลบเลี่ยงชั่วคราว อ้อมไปด้านข้างแล้วหยิบระฆังดาราออกมา

โค่วเหวินหลานไม่มีธุระเรื่องอื่น แค่บอกเหมียวอี้ให้รู้ถึงสาเหตุว่าทำไมไปอยู่ที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้ บอกว่าราชันสวรรค์ถูกใจเจ้าแล้ว ตั้งใจจะลับคมและฝึกเลี้ยงเจ้า โค่วเหวินหลานแสดงความยินดี หวังว่าเหมียวอี้จะยืนที่หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายได้อย่างมั่นคง ในอนาคตราชันสวรรค์จะต้องใช้ให้ทำงานสำคัญแน่นอน!

เหมียวอี้ที่ได้ยินข่าวกลับตะลึงงัน ก่อนหน้านี้หยางชิ่งเคยเดาว่ามีความเป็นไปได้นี้ เพียงแต่ตอนหลังทั้งสองก็รู้สึกอีกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะเข้าตาราชันสวรรค์เข้าแล้ว รู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ

ตอนนี้ย่อมเข้าใจแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ราชันสวรรค์จะใช้คนแบบมั่วซั่วไร้ที่มา ถ้าคนที่ราชันสวรรค์ใช้งานสร้างปัญหาอะไรขึ้น แบบนั้นจะไม่เป็นการตบหน้าราชันสวรรค์หรอกเหรอ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเฟยหงจึงทำแบบนี้

คิดไปคิดมาก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก อาจจะเป็นเพราะสำหรับคนอื่นๆ เมื่อได้ยินข่าวนี้จะต้องดีใจมากแน่นอน แต่เขากลับดีใจไม่ออก ถ้าให้ราชันสวรรค์รู้ว่าเขาพัวพันกับโจรกบฏ ทั้งยังอาจจะพัวพันไปถึงประมุขไป๋ด้วย เกรงว่าคนแรกที่จะเล่นงานเขาให้ตายคงจะเป็นราชันสวรรค์

ถ้าพูดในทางกลับกัน ยิ่งราชันสวรรค์ใช้ให้เขารับหน้าที่สำคัญ เขาก็ยิ่งพบปัญหายุ่งยาก ยิ่งเขาอยู่ในตำแหน่งสูงของตำหนักสวรรค์ ทางโจรกบฏก็จะยิ่งตื่นเต้นดีใจ ต่อให้ไม่ใช่สายลับที่โจรกบฏฝั่งนั้นส่งมา แต่ก็จะกลายเป็นสายลับของโจรกบฏฝั่งนั้นอยู่ดี ทั้งยังเป็นสายลับที่มีความสำคัญมากด้วย

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ก้าวสู่เส้นทางนี้แล้วไม่มีทางย้อนกลับจริงๆ เขาส่ายหน้าพลางเก็บระฆังดารา แล้วก็กลับมาแล้ว

หลังจากเก็บอาหารที่กินเหลือไปแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นดื่มน้ำชา รองผู้บัญชาการใหญ่สองคนที่ควบคุมเครื่องมือค่ายกลยังไม่มา ทุกคนทำได้เพียงรอต่อไป

จนกระทั่งดวงอาทิตย์อยู่ทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าเป็นสีแดงส้ม บนท้องฟ้าถึงมีชายวัยกลางคนสองคนเหาะมา เมื่อเห็นคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ก็รีบส่งสายตาให้กัน หลังจากเหยียบลงพื้นก็กุมหมัดคารวะหูโกวอวี้ “พี่หู ไม่ทราบว่าท่านไหนคือผู้บัญชาการใหญ่คนใหม่ของธงพยัคฆ์ดำ?” ทั้งสองล้วนเป็นแม่ทัพสองแถบ สวมเกราะรบสีม่วงทั้งตัว

“ทั้งสองให้ข้ารอนานจริงๆ” หูโกวอวี้ลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปทางเหมียวอี้ “ท่านนี้คือหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำของพวกเจ้า”

“อ๋อ!” ทั้งสองกุมหมัดคารวะพร้อมกัน คังจือลวี่ยื่นมือไปหาเหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงข้าม แล้วกล่าวขอคำชี้แนะ “คาดไม่ถึง ได้โปรดแสดงบัตรขุนนางเพื่อตรวจสอบตัวตน”

“ได้อยู่แล้ว จะทำลายกฎระเบียบไม่ได้!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วหยิบบัตรขุนนางออกมายื่นให้

หลังจากรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองตรวจสอบตัวตนแล้ว ก็ยื่นบัตรขุนนางคืนให้ แล้วกุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ข้าน้อยคังจือลวี่ เหยาหย่วนชูคารวะผู้บัญชาการใหญ่”

“ทั้งสองไม่ต้องมากพิธี” เหมียวอี้ผายมือเล็กน้อย

หูโกวอวี้ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ! คนก็มาแล้ว ข้าควรจะกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงานแล้ว ไม่รบกวนการปรับปรุงจัดระเบียบของผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ขอตัวลาตรงนี้”

“ยังไม่ได้แสดงไมตรีของเจ้าบ้านให้เต็มที่เลย ทำไมพี่หูรีบกลับนักล่ะ อยู่ต่อสักสองสามวันก็ได้” เหมียวอี้พูดรั้งให้อยู่ต่อพอเป็นพิธี

“คราวหลังยังมีโอกาส ตอนนี้การกลับไปรายงานผลคือเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นกฎระเบียบกองทัพจะไม่ปรานี จะกล้าชักช้าได้ยังไง” หูโกวอวี้ตอบ

“เหอะๆ! พี่หูเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่อย่างเต็มที่จริงๆ ด้วย รบกวนให้พี่หูมาส่งตั้งไกล นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ โปรดรับไว้ “เหมียวอี้พลิกมือโยนแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งไปให้

ใครจะคิดว่าหูโกวอวี้ที่รับของมาไว้ในมือจะไม่ดูเลยว่าข้างในคืออะไร โยนกลับมาโดยตรง “ผู้บัญชาการใหญ่เกรงใจแล้ว หน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายกับตลาดสวรรค์ไม่เหมือนกัน ไม่คุ้นชินกับธรรมเนียมแบบนี้ หูผู้นี้เป็นคนในทัพกลางของแม่ทัพภาค ถ้ารับของไว้ซี้ซั้ว เกรงว่าจะอยู่ที่ทัพกลางได้ไม่นาน”

“อ๋อ!” เหมียวอี้ที่เก็บแหวนเก็บสมบัติกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็เป็นหนิวที่บุ่มบ่างเอง”

“เดี๋ยวต่อไปนี้ผู้บัญชาการใหญ่ก็ย่อมเข้าใจชัดเจน” หูโกวอวี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วไม่พูดอะไรมากอีก หยิบหนังสือส่งคนมาให้คังและเหยา เมื่อตรวจสอบแล้วว่าไม่ผิดพลาด ทั้งสองก็มอบหนังสือลงนามรับตัวให้เช่นกัน เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หูโกวอวี้ก็ส่งสายตาที่สื่อความหมายว่า ‘ข้ารู้อยู่แก่ใจ’ ให้ทั้งสอง แล้วก็กล่าวอำลาเหาะขึ้นฟ้าไป

หลังจากมองคล้อยหลังเขาหายไป เหมียวอี้ก็หันกลับมาถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าเข้าไปในกองบัญชาการของผู้บัญชาการใหญ่ได้หรือยัง?”

“ผู้บัญชาการใหญ่ล้อเล่นแล้ว ที่นี่จะมีใครกล้าขวางท่าน ก่อนหน้านี้แค่มีธุระขึ้นมากะทันหันจนชักช้าเสียเวลา”

ทั้งสองพูดกลั้วหัวเราะหลอกลวงสองสามประโยค แล้วรีบหยิบเครื่องมือออกมาเปิดค่ายกลที่ปิดไว้

เหมียวอี้เดินตรงไปข้างหน้า พอเดินไปถึงใต้ป้ายประตูใหญ่ก็หยุดฝีเท้าอีก มองดูทหารยามที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวา

ทหารยามทั้งสองทำท่าเหมือนไม่สนใจใยดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลย กุมหมัดคารวะ “คารวะผู้บัญชาการใหญ่”

“พวกเจ้าเป็นคนของหน่วยงานไหน?” เหมียวอี้ถาม

เหยาหย่วนชูตอบว่า “สามารถเฝ้าอยู่ที่นี่ได้ก็ย่อมเป็นกำลังพลในทัพกลางกองบัญชาการธงพยัคฆ์ดำของผู้บัญชาการใหญ่อยู่แล้ว”

“กำลังพลของกองบัญชาการของข้า…” เหมียวอี้พยักหน้าเล็กน้อย กวาดสายมองทั้งสอง แล้วเอียงหน้าเรียก “สวีถังหราน”

“ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ” สวีถังหรานรีบก้าวขึ้นมารอฟังคำสั่ง

เหมียวอี้ชี้ไปที่ทหารยามสองคน พร้อมบอกว่า “ต่อไปนี้ตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลาง ข้าต้องการมอบให้เจ้า สองคนนี้ทำได้ไม่เลวเลย เจ้าตั้งใจเรียนรู้ไว้สักหน่อย”

ผู้บัญชาการทัพกลาง สวีถังหรานแอบดีใจ ระบบของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวากับตำหนักคุ้มเมืองไม่เหมือนกัน ทัพกลางของธงพยัคฆ์ดำก็เท่ากับกองทัพองครักษ์ของธงพยัคฆ์ดำ รับหน้าที่พิทักษ์ผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าไม่ใช่ลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่ ก็ไม่สามารถรับตำแหน่งนี้ได้ การที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบตำแหน่งสำคัญแบบนี้ให้ตน ก็เท่ากับมองว่าตนเป็นลูกน้องคนสนิทอย่างแท้จริงแล้ว

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ โดยทั่วไปทัพกลางจะเฝ้าประจำอยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่ ส่วนเรื่องรบราฆ่าฟัน ถ้าไม่ถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อตอนสุดท้าย ก็จะไม่ถึงคราวให้ใช้งานทัพกลาง หรือพูดได้อีกอย่างว่า เพื่อเทียบกับคนอื่นแล้วมีความปลอดภัยสูงกว่ามาก ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ ด้วย!

สวีถังหรานรีบเหล่ตามองทหารยามสองคนนั้น ในด้านนี้เขาไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้พูดอะไรมากก็เข้าใจความหมายแล้ว ทัพกลางที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขามีคนที่ต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าเข้าจัดการลงโทษไม่ได้ เขาก็ไม่ต้องรับหน้าที่ผู้บัญชาการทัพกลางแล้ว จึงกุมหมัดเอ่ยรับทันที “ขอรับ!”

ในตอนนี้ ถ้าไม่ใช่คนโง่ก็จะรู้ว่าคำพูดของเหมียวอี้หมายความว่าอะไร ทหารยามทั้งสองรีบเหลือบมองคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู เมื่อเห็นรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองส่งสายตาสื่อความหมายว่าไม่ต้องห่วง พวกเขาก็สงบใจทันที

คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาข้างในอีกครั้ง เมื่อเดินขึ้นมาบนทางคดเคี้ยวระหว่างหมู่ภูเขา เหมียวอี้ก็ไม่รีบเดินขึ้น แต่ถามถึงสถานการณ์ของที่นี่

นี่คือเรื่องที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู ทัพใหญ่อยู่ข้างนอก สถานการณ์ทางทหารที่เกี่ยวข้องกับฐานประจำการ ทั้งสองไม่ถึงขั้นต่อต้านเจ้านายโดยการโกหกสถานการณ์ของกองทัพ แบบนั้นมีโทษตาย ทั้งสองรับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว เมื่อมองจากจุดนี้ กำลังพลของตลาดสวรรค์ยังห่างไกลกับหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายมาก

เมื่อเล่าสถานการณ์ของดาวหกนิ้วโดยละเอียดแล้ว ก็บอกสาเหตุโดยละเอียดเช่นกันว่าทำไมต้องมาประจำการที่สำนักหกนิ้ว

เมื่อถามถึงสถานการณ์ของธงพยัคฆ์ดำ ทั้งสองก็ย่อมรายงานอย่างละเอียดเช่นกัน

เบื้องล่างของธงพยัคฆ์คือธงอินทรี ใต้ธงอินทรีคือธงหมาป่า ธงพยัคฆ์ย่อมแทนระดับของผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้ ธงอินทรีแทนระดับผู้บัญชาการ ธงหมาป่าแทนระดับผู้ช่วยผู้บัญชาการ ระดับที่อยู่ต่ำกว่านั้นก็มีผู้บังคับการกองร้อยและผู้บังคับการกองห้า ไม่มีธงสัญลักษณ์

ผู้บังคับการกองห้าคุมสิบคน ผู้บังคับการกองร้อยคุมหนึ่งร้อยคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการธงหมาป่าคุมผู้บังคับการกองร้อยจำนวนสิบเอ็ดกอง มีหนึ่งกองเป็นทัพกลางข้างกาย ผู้บัญชาการธงอินทรีคุมธงหมาป่าสิบเอ็ดกอง มีหนึ่งกองเป็นทัพกลาง ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์คุมธงอินทรีสิบเอ็ดกอง มีหนึ่งกองเป็นทัพกลาง ส่วนกอง ทัพโต้ว หน่วยองครักษ์ที่อยู่ระดับบนก็เรียงขึ้นไปแบบนี้เช่นกัน จนกระทั่งอำนาจของสิบเอ็ดหน่วยไปรวมอยู่ในมือโพ่จวินที่เป็นผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย นี่ก็เป็นที่มาของชื่อ ‘หน่วยองครักษ์’

จากนั้นก็เริ่มแบ่งจากกอง มีฟ้า ม่วง ขาว ทอง เขียวเงิน ดิน ดำ แดง เขียว น้ำเงิน กองมังกรดำก็เป็นหนึ่งในนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ใต้สังกัดของเหมียวอี้มีรองผู้บัญชาการใหญ่คังจือลวี่ดูแลธงพยัคฆ์ฟ้า ธงพยัคฆ์ม่วง ธงพยัคฆ์ขาว ธงพยัคฆ์ทอง ธงพยัคฆ์เขียวเงิน ทั้งหมดห้าธงพยัคฆ์ ส่วนรองผู้บัญชาการใหญ่เหยาหย่วนชูก็ดูแลธงพยัคฆ์ดิน ธงพยัคฆ์ดำ ธงพยัคฆ์แดง ธงพยัคฆ์เขียว ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ทั้งหมดห้าธงพยัคฆ์ แต่ทั้งสองก็มีเพียงอำนาจในการแบ่งกันดูแลจัดการเท่านั้น ส่วนอำนาจใช้งานหรือบัญชาการก็ยังเป็นของเหมียวอี้ที่คุมทัพกลาง  กฎระเบียบนี้เรียงขึ้นไปจนถึงผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์โพ่จวินของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย

บางสิ่งบางอย่าง เหมียวอี้พอจะเข้าใจอยู่บ้างตั้งแต่ก่อนมาแล้ว

จุดที่ไม่เข้าใจก็คือ ตำแหน่งสำคัญในทัพกลางที่ขึ้นตรงกับเขา มีผู้บัญชาการหนึ่งคน รองผู้บัญชาการสองคน ผู้ช่วยผู้บัญชาการเจ็ดคนถูกผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนพาตัวไปแล้ว เหลือเพียงผู้ช่วยผู้บัญชาการสามคนไว้ให้เขา ในด้านนี้หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาควบคุมอย่างเข้มงวดมาก จะมาจะไปล้วนพาไปด้วยได้เพียงสิบคน ไม่ให้มากกว่านี้ ไม่ให้มีโอกาสในการดึงพรรคพวกในหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา

สิ่งเหล่านี้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูสามารถพูดได้ แต่สิ่งที่ไม่ได้บอกเหมียวอี้ก็คือ เดิมทีผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนเตรียมจะพาพวกเขาสองคนกับผู้บัญชาการใหญ่แปดคนไปด้วยกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เบื้องบนไม่ยอมปล่อยคนพวกนี้ไป เหตุผลก็คือหนิวโหย่วเต๋อไม่มีประสบการณ์ในการบัญชาการกำลังพลหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย จึงทิ้งผู้ชำนาญเอาไว้ช่วยหนิวโหย่วเต๋อ อนุญาตให้พาไปเพียงบุคคลสำคัญของทัพกลาง

ในมุมมองของคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู เหตุผลนี้ฟังไม่ขึ้นเลย ในธงพยัคฆ์ดำมีผู้ชำนาญเยอะเกินไป พอพาคนไปแล้วสิบคน ก็หาใครมาเติมให้เต็มก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงกลับกลายเป็นดูเหมือนไม่ให้โอกาสเหมียวอี้ผูกมัดจิตใจคน เมื่อไม่ให้โอกาสเหมียวอี้เลื่อนขั้นให้ลูกน้อง ก็ย่อมลดโอกาสในการซื้อน้ำใจคนแล้ว กลุ่มผู้บัญชาการเบื้องล่างล้วนเป็นลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อน ถ้าไม่มีเหตุผลที่ฟังขึ้น เจ้าก็ลองถอดคนทิ้งอย่างส่งเดชดูสิ คนที่เป็นทุกข์ร้อนกับชะตากรรมของพวกเดียวกันจะต้องรวมตัวกันมาเล่นงานเจ้าแน่นอน

หยางชิ่งที่ทำการบ้านมาเต็มที่ สืบเรื่องสถานการณ์ของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายอย่างละเอียดก่อนมา พอได้ฟังแบบนี้แล้วก็ขมวดคิ้ว พบว่าแบบนี้ไม่สอดคล้องกับหลักการปกติในการโยกย้ายคนของหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทิ้งลูกน้องคนสนิทของผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนไว้แบบนี้ ถ้าพูดให้ฟังดูแย่หน่อยก็คือ ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้อำนาจทางทหารอยู่ในมือผู้บัญชาการคนก่อน ทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะอยากจะให้ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนกลับมารับตำแหน่งเดิมได้ทุกเมื่อหรอกเหรอ ชัดเจนว่ากำลังเพิ่มความยุ่งยากให้เหมียวอี้ พอมาถึงก็ให้เหมียวอี้รอที่ประตูครึ่งค่อนวัน แค่สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้แล้ว สถานการณ์ค่อนข้างซับซ้อน!

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset