พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1348 ทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกร

ต่อให้ลูกน้องจะมีเยอะกว่านี้ แต่ถ้าไม่มีคนของตัวเอง แม้แต่ผายลมก็ไม่ดัง หลังจากเหมียวอี้ออกจากมือใหม่มาเป็นคนเลี้ยงม้า แทบจะไต่ตขึ้นมาเป็นประมุขปราสาทตลอดทาง เขาบัญชาการทหารมาหลายปี มีหรือที่จะไม่เข้าใจหลักการนี้ คนที่อยู่ในตำแหน่งหลักมานานจนคุ้นชินย่อมรู้ถึงความสำคัญของกุมอำนาจ

พอได้ฟังสถานการณ์ ในใจเขาก็มีแผนการแล้ว เพียงแต่ภายนอกยังคงไม่แสดงสีหน้าท่าทางอะไรเท่านั้นเอง

เขาเอ่ยถามตลอดทาง คนกลุ่มหนึ่งเดินช้าๆ ขึ้นไปถึงหน้าตำหนักใหญ่บนยอดเขาหลัก ภาพตรงหน้านี้ สถานที่ไม่ได้สวยงามสักเท่าไร ความภูมิฐานของสำนักหกนิ้วยังมีอยู่ ตำหนักสูงตระหง่านสูงโดดเด่นมีชายคาโค้งและประดับตกแต่งอย่างงดงาม มีสง่าราศีมาก นอกตำหนักมีธงพยัคฆ์ดำโบกสะบัดอยู่บนเสาต้นหนึ่ง บนธงผ้าไหมปักลายเสือดำคำราม แสดงกำลังอำนาจอยู่ท่ามกลางสายลม

เมื่อยืนอยู่ตรงนี้แล้วหันกลับไปมองรอบๆ ก็จะพบว่ามีพื้นที่สีเขียวล้อมรอบพื้นที่รกร้าง มีเสน่ห์ไปอีกแบบ

พอเข้ามาในตำหนักหลัก ก็พบว่าในตำหนักกว้างโล่ง เก็บกวาดได้อย่างสะอาดเอี่ยมอ่อง บนแท่นด้านบนมีรูปสลักหยกของบุคคลที่สูงประมาณหนึ่งจั้ง เป็นชายชราผู้มีสง่าราศีเหมือนเทพเซียนที่กำลังใช้มือลูบเคราและทอดสายตามองไปไกล เสื้อผ้าปลิวพลิ้วไหว ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเทพ สิ่งที่สะดุดตาก็คือบนมือมีหกนิ้ว

เบื้องล่างรูปสลักมีร่องรอยการจุดธูปบูชาในกระถางธูปอย่างชัดเจน ไม่มีเครื่องสังเวย เห็นได้ชัดว่าถูกคนที่ยึดครองที่นี่เก็บทำความสะอาดไปหมดแล้ว ด้านบนมีบัลลังก์สูงเพิ่มมาที่หนึ่ง

เหมียวอี้ที่มองสำรวจกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูท่าแล้วคนของธงพยัคฆ์ดำก็ไม่ถือว่าเผด็จการเกินไปนัก ไม่ได้ทิ้งรูปสลักนี้ไป”

คังจือลวี่ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ถึงยังไงหกนิ้วก็ได้รับการสรรเสริญจากตำหนักสวรรค์ ถ้าทำเกินไปนัก ข่าวที่แพร่ออกไปจะไม่ค่อยน่าฟัง ถึงยังไงพวกเราก็พักที่นี่แค่ชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเกินไปนัก ถ้าผู้บัญชาการใหญ่ไม่ชอบที่รูปสลักนี้ขัดตา จะโยนทิ้งไปก็ไม่เป็นไรขอรับ”

เหมียวอี้โบกมือปฏิเสธ เรื่องไร้คุณธรรมที่แม้แต่คนก่อนหน้ายังไม่ทำ มีหรือที่เขาจะทำ เขาหันตัวมาบอกว่า “สวีถังหราน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่งต่อตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางธงพยัคฆ์ดำให้เจ้าแล้ว รีบไปรับงานต่อ”

“ข้าน้อยเอ่ยรับคำสั่ง” สวีถังหรานกุมหมัดคารวะอย่างแอบดีใจ

ทว่าคังจือลวี่กลับถามว่า “ขอบังอาจถามผู้บัญชาการใหญ่ ไม่ทราบว่าน้องสวีถังหรานมีวรยุทธ์เท่าไร?”

“บงกชทองขั้นแปดแล้ว มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” เหมียวอี้ตอบ

เหยาหย่วนชูส่ายหน้า “น้องสวีเป็นผู้บัญชาการทัพกลาง เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสม นายท่านได้โปรดไตร่ตรองอีกที ข้าน้อยแนะนำว่าให้เลือกคนมีประสบการณ์ความสามารถอีกคนจากทัพกลางมาเป็นผู้บัญชาการทัพกลาง”

สวีถังหรานรีบหันกลับไปมอง มีคนทำลายอนาคตของเขา เขาย่อมแค้นจนกัดฟันกรอด

ผู้บัญชาการทัพกลางที่ปกป้องความปลอดภัยของตน ถ้าส่งมอบตำแหน่งนี้ให้คนที่ตนไม่คุ้นเคย แบบนั้นไม่ใช่การล้อเล่นหรอกเหรอ ถ้าวันไหนมีคนคลำมาถึงข้างเตียงตอนข้านอนหลับข้าคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ! เหมียวอี้หน้าบึ้งเล็กน้อย ไม่กลัวว่าจะมีคนสังเกตเห็น ตะคอกบอกตรงๆ เลยว่า “ตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางทำหน้าที่พิทักษ์ข้า ถ้าไม่ให้คนสนิทรู้ใจของข้ามาทำ จะไม่เป็นการทำให้ข้ากินนอนลำบากหรอกเหรอ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเจ้าสองคนจะอยากขัดขวาง มีเจตนาอะไรกันแน่?”

คังจือลวี่ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว พวกเราก็ไตร่ตรองเพื่อผู้บัญชาการใหญ่เช่นกัน ไม่ได้มีเจตนาจะห้ามแน่นอน เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่ทำแบบนี้แล้วจะเกิดเรื่อง ใช่แล้ว นี่คือทะเบียนรายชื่อของทุกคนในธงพยัคฆ์ดำ กำลังจะมอบให้นายท่าน หลังจากนายท่านอ่านแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ไม่อย่างนั้นถ้าในทัพกลางเกิดเรื่องอะไรที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของนายท่าน แบบนั้นก็จะไม่ดีแล้ว” แผ่นหยกสิบเอ็ดแผ่นวางซ้อนบนฝ่ามือสองข้างเพื่อยื่นให้

พอเหมียวอี้เอียงหน้า หยางเจาชิงก็ก้าวขึ้นมารับไว้ในมือ

ตอนนี้พวกเขาให้เหมียวอี้ดูสมุดรายชื่อ เหมียวอี้เดาว่าจะต้องมีเหตุผลแน่นอน ตอนนี้เขาดันไม่ดู กลับเตือนว่า “ข้าว่าทั้งพวกเจ้าสองคนก็คงไม่อยากเห็นข้าเข้าไม่ได้แม้แต่ประตูบ้านของตัวเองหรอกใช่มั้ย?”

นี่คือการเตือนให้ส่งมอบเครื่องมือในการควบคุมค่ายกลป้องกันออกมา เดิมทีหยางชิ่งอาจจะเตือนเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นเหมียวอี้เหมือนมีกระจกสะท้อนในใจก็ไม่พูดอะไรแล้ว

คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแอบส่งสายตาให้กัน เดิมทีอยากจะอาศัยเรื่องนี้เพื่อหลอกตบตา แต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่สับสนวุ่นวายเพราะเรื่องนี้ แม้เรื่องของผู้บัญชาการทัพกลางก็วางไว้ก่อน หันไปคว้ากุญแจสำคัญโดยตรง ทว่าพวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธการส่งมอบของสิ่งนี้ ของที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของกองบัญชาการธงพยัคฆ์ดำ เดิมทีก็ต้องให้ผู้บัญชาการใหญ่ควบคุมอยู่แล้ว

ทั้งสองหยิบเครื่องมือชิ้นหนึ่งส่งให้ทันที ชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องมือค่ายกลหลัก ชิ้นหนึ่งเป็นเครื่องมือเปิดทางเข้าออก

เหมียวอี้เหลือบมองแวบหนึ่ง ยังไม่ได้รับไว้ แต่ถามว่า “จากที่ข้ารู้มา เครื่องมือที่ใช้ควบคุมค่ายกลป้องกันมีหนึ่งชิ้นหลักและสามชิ้นรอง มีทั้งหมดสี่ชิ้นไม่ใช่เหรอ?”

“อีกสองชิ้นปกติให้พวกเราควบคุมคนละชิ้น จะได้เข้าออกเพื่อจัดการธุระได้สะดวกขอรับ” คังจือลวี่ตอบ

ในเรื่องแบบนี้ไม่มีทางเหลือให้เหมียวอี้เจรจาต่อรองเลย เขากล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “นำของทั้งหมดออกมาก่อนเถอะ ข้าต้องตรวจนับสิ่งของของกองบัญชาการสักหน่อยว่าขาดไปหรือเปล่า ต้องตรวจสอบกับเบื้องบนเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นถ้ามีของอะไรหายไปแล้วไม่รู้ เดี๋ยวจะอธิบายกับเบื้องบนไม่ได้ ทั้งสองไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น เดี๋ยวค่อยปรึกษากับทั้งสองเรื่องแบ่งสรรอีกที ทั้งสองล้วนเป็นคนเก่าคนแก่ของธงพยัคฆ์ดำ ข้าจะไม่เคารพความเห็นของพวกเจ้าได้ยังไง”

พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว อีกฝ่ายต้องการตรวจสอบกับเบื้องบนทันที เขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธสักนิดเลย ทำได้เพียงมอบใบแสดงรายการสิ่งของรวมทั้งสิ่งของที่สอดคล้องกันในธงพยัคฆ์ดำให้อย่างซื่อสัตย์

ที่จริงการส่งมอบนี้ควจะให้ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนมาส่งด้วยตัวเอง แต่ท่านนั้นไม่พอใจ จึงโยนไว้ให้ลูกน้องเสียเลย ส่วนตัวเองก็ไปก่อนแล้ว ขี้คร้านจะพูดมากกับเหมียวอี้ แล้วอีกอย่าง ถ้าผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนยังรออยู่ที่นี่ การจะปล่อยให้ลูกน้องกันเหมียวอี้ไม่ให้เข้าประตู ก็จะฟังดูเหลวไหลเหมือนกัน ถ้าไม่มีผู้บังคับบัญชาคอยคุมอยู่ด้วย พวกลูกน้องก็จะพูดมั่วได้ง่ายมาก

ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนจะสนใจส่งต่องานให้ตัวเองหรือไม่ เหมียวอี้ไม่สนใจหรอก ตัวคนไม่อยู่ ก็ต้องรู้จำนวนของให้ชัดเจน เพราะไม่มีใครชอบการเป็นแพะรับบาป

ในตำหนักนั้นเอง ตรงนั้นเลย หยางเจาชิงกับสวีถังหรานตรวจนับตรงนั้น ส่วนหยางชิ่งก็ถือใบแสดงรายการตรววจเทียบทีละชิ้น

นอกจากสิ่งของจำเป็นที่ต้องจัดวางในธงพยัคฆ์ดำ พวกทรัพย์สินเงินทองก็ว่างเปล่า ถูกผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนหาข้ออ้างจ่าย นำไปด้วยและแจกจ่ายซ้ำไปซ้ำมาจนหมดแล้ว ไม่เหลือไว้ให้เหมียวอี้เลยสักนิด ส่วนที่ควรจะนำไว้ใช้ซื้อใจคน ผู้บัญชาการคนก่อนช่วยทำแทนเหมียวอี้แล้ว ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเหมียวอี้แล้ว สำหรับเรื่องนี้เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องส่งต่อตำหนักคุ้มเมืองให้ฝูชิง เขาก็จะทำแบบนี้เช่นกัน

หลังจากทำเครื่องหมายไว้บนรายชื่อของแต่ละชิ้นแล้ว หยางชิ่งก็หันกลับมาพยักหน้าให้เหมียวอี้ บอกเป็นนัยว่าไม่มีปัญหา ภายใต้การบอกใบ้ของเหมียวอี้ เขาให้คังจือลวี่ เหยาหย่วนชูลงนามบนใบแสดงรายการแผ่นใหม่ทันที เพื่อพิสูจน์ว่าของที่ส่งมอบให้มีเท่านี้ เหมียวอี้รับไว้มีแค่ของพวกนี้ ไม่ใช่ว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้วโดนเหมียวอี้ทุจริตฮุบไว้

จากนั้นเหมียวอี้ก็อ้างว่าต้องการตรวจสอบกับเบื้องบน จึงต้องกันคังจือลวี่ เหยาหย่วนชูออกไป พอทั้งสองออกไป เหมียวอี้ก็โยนแผ่นหยกให้หยางชิ่งตรวจสอบทันที ก่อนที่จะมาที่นี่ เบื้องบนได้ส่งรายชื่อสิ่งของของธงพยัคฆ์ดำที่ต้องส่งมอบมาให้เหมียวอี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้รายงานขึ้นไปตรวจสอบอีก อย่างไรเสียก่อนที่ผู้บัญชาการใหญ่คนก่อนจะออกจากตำแหน่งไป ก็ต้องถ่ายทอดงานให้กองมังกรดำอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เจ้าตัวม้วนเก็บของทุกอย่างหนีไป ธงพยัคฆ์ดำยังมีของอะไรเหลืออยู่บ้าง กองมังกรดำย่อมมีข้อมูลอยู่แล้ว

เมื่อหยางชิ่งหยิบใบแสดงรายการสิ่งของอีกฉบับมาดู ก็เข้าใจในทันที นี่เป็นแค่ข้ออ้างที่เหมียวอี้ใช้เพื่อฉวยโอกาสเก็บรวบสิ่งของไว้ก็เท่านั้นเอง แต่กลับกดดันจนอีกฝ่ายไม่มีทางเกาะแกะพัวพันได้ เขาอดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชม ชื่นชมที่เหมียวอี้จัดการเรื่องเล็กแบบนี้ได้ราวกับเมฆเหินน้ำไหล รวดเร็วฉับไวมาก ไม่เห็นการสะดุดเลยสักนิด รัวดาบฟันเชือกแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

ในสายตาผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เฟยหงกับเสวี่ยหลิงหลงได้เห็นเหมียวอี้ทำงานราชการอย่างจริงจัง พวกนางย่อมมองออกว่าคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูกำลังกลั่นแกล้งด้วยวิธีการอ่อนนอกแข็งใน แต่เวลาเหมียวอี้แก้ไขปัญหาขึ้นมา ก็ไม่ให้คนอื่นมากลั่นแกล้งเพียงเพราะเป็นคนมาใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ เขาลงมือแก้ปัญหาไร้อย่างราบรื่นที่สุด

ถึงแม้ภายนอกพวกนางจะไม่มีสถานะขุนนาง แต่ก็รู้ว่าไม่ว่าใครที่มารับตำแหน่งใหม่ เมื่อไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด ก็จะต้องเลือกรอให้รู้สถานการณ์แน่ชัดก่อนแล้วค่อยตัดสินใจจัดการอย่างระมัดระวัง จะไม่บุ่มบ่ามทำอะไรซี้ซั้วแน่นอน แต่ดูจากท่าทางเหมียวอี้แล้ว กลับเหมือนไม่มีความกังวลในด้านนี้เลย ยามมาถึงที่นี่ก็มีความมั่นใจราวกับมาถึงบ้านของตัวเอง ควรจะจัดการอย่างไรก็จัดการอย่างนั้น ถ้ามองจากอีกฐานะหนึ่ง นี่คือการแสดงความมั่นใจและเสน่ห์ของเหมียวอี้ออกมาอย่างชัดเจน เป็นบุคลิกน่านับถือเวลาที่จัดการเรื่องยากให้ดูเหมือนง่าย ดูสง่างามในสายตาของเพศตรงข้าม

คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูที่ออกจากตำหนักใหญ่สบตาและถ่ายทอดเสียงคุยกัน

คังจือลวี่บอกว่า “จากจุดเล็กๆ ก็มองเห็นภาพรวมได้ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ไม่ธรรมดา ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว พอวันนี้ได้เห็นตัวจริง ข้าว่าชื่อเสียงอันโด่งดังของเขาไม่ใช่ข่าวดคมลอยแน่ เขาเหมือนคนที่ผ่านอุปสรรคมาเนิ่นนาน ออกสังคมบ่อยจนชินแล้ว มาที่นี่ครั้งแรกแต่สุขุมเยือกเย็นมาก เหมือนไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา”

เหยาหย่วนชูบอกว่า “แต่เป็นแค่นักพรตบงกชทอง ทั้งยังไม่ได้สร้างผลงานอะไร จะคุมคนได้ยังไง? เจ้ากับข้าควรจะบอกต่อลงไปเดี๋ยวนี้ ให้พวกลูกน้องระวังเอาไว้หน่อย บอกทุกคนว่าต้องสามัคคีกันไว้ ถ้าให้เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่บนหัวพวกเราจริงๆ ให้นักพรตบงกชทองคนหนึ่งสามารถมาครอบหัวพวกเราได้ พวกเราจะทนความรู้สึกได้ยังไง อย่างน้อยๆ ก็อย่าให้เขาคิดจะเปลี่ยนใครก็เปลี่ยนได้ ผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว ธงพยัคฆ์ดำยังไม่ถึงคราวให้นักพรตบงกชทองมามีอำนาจตัดสินใจไร ฉวยโอกาสทำให้เขาไสหัวไปเร็วๆ หน่อยดีกว่า!”

ในตำหนัก ตอนนี้เหมียวอี้หยิบสมุดรายชื่อของธงพยัคฆ์ดำมาจากมือหยางเจาชิงแล้ว เขาเดินขึ้นไปบนบัลลังก์ผู้บัญชาการใหญ่แล้วนั่งลงอ่าน สาเหตุที่เขาไม่ดูก่อนหน้านี้ ก็เพราะไม่อยากโดนคนอื่นคุมจังหวะและจูงจมูก

หยางชิ่งที่ตรวจสอบใบแสดงรายการสองฉบับนี้เสร็จเดินมาทีตีนบันได แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “นายท่าน ของที่ส่งมอบไม่มีปัญหา…หรือว่าสมุดรายชื่อจะมีปัญหาอะไร?” จู่ๆ เขาก็พบว่าสีหน้าของเหมียวอี้ดูจริงจังนิดหน่อย

เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ รวมสมุดรายชื่อสิบเอ็ดเล่ม แล้วโบนลงไป “เป็นทหารที่เข้มแข็งเกรียงไกรอย่างที่คาดไว้ พวกเจ้าดูเอาสิ”

พวกหยางชิ่งรับสมุดรายชื่อมาผลัดกันอ่านทันที ตอนยังไม่ดูก็ไม่เป็นไร แต่พอดูแล้วสีหน้าก็อึดอัดไม่เป็นธรรมชาติ สวีถังหรานก็ยิ่งน่ายับจนเหมือนมะระ แทบจะร่ำร้องออกมาอย่างขื่นขม

ทั้งธงพยัคฆ์ดำมีกำลังพลประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นสามพันกว่า ที่น่ากลัวก็คือหานักพรตที่วรยุทธ์ต่ำกว่าบงกชทองไม่เจอสักคน ทั้งหมดล้วนมีวรยุทธ์ระดับบงกชทองขึ้นไป ธงอินทรีที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็มีกำลังพลกองละหนึ่งหมื่นสองพันกว่า ผู้บัญชาการแต่ละคนมีลูกน้องระดับบงกชรุ้งสิบกว่าคน ลูกน้องของผู้บัญชาการทัพกลางก็ยิ่งน่าตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคนอยู่ในทัพกลาง

หรือพูดได้อีกอย่างว่า ทั้งธงพยัคฆ์ดำมีนักพรตบงกชรุ้งเกือบสองร้อยคน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อเนื่องไปทุกระดับ คาดว่าทั้งหน่วยองครักษ์ฝ่ายซ้ายคงมีนักพรตระดับบงกชรุ้งขึ้นไปเกือบสองล้านคน

เหมียวอี้ยังดีหน่อย เขาเคยเจอเรื่องที่น่ากลัวว่านี้มาแล้ว โจรกบฏหกลัทธิที่โดนขังอยู่ในแดนอเวจีเรียกตัวเองว่าทัพใหญ่สี่สิบล้าน แต่ความจริงมีอำลังพลประมาณแปดล้านกว่าเท่านั้น แต่แปดล้านกว่าคนนี้ล้วนเป็นคนที่เหลือรอดจากคลื่นชะทราย[1]หลายปี เป็นคนที่ฮึกเหิมเกรียงไกนกลุ่มสุดท้ายของโจรกบฏหกลัทธิ ในทัพใหญ่แปดล้านกว่ามีนักพรตบงกชรุ้งเกินสามล้าน เท่ากับท่ามกลางนักพรตทุกๆ แปดคนจะมีสามคน นี่ยังอยู่ในสภาพขาดทรัพยากรฝึกตนด้วย ไม่อย่างนั้นผ่านมาหลายปีขนาดนี้คงไม่ได้มีจำนวนแค่เท่านี้แน่

สวีถังหรานกลับหวาดกลัวมาก เผชิญหน้ากับลูกน้องที่เป็นนักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคน แล้วจะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการทัพกลางอย่างมั่นคงได้อย่างไร? ขอเพียงอีกฝ่ายหาข้ออ้างที่เหมาะสมมาเสนอความคิดเห็นที่ขัดแย้ง เจ้าก็บัญชาการอีกฝ่ายไม่ได้เลย ถ้าเจ้าจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวก็ลองดูสิ!

ที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ เห็นได้ชัดว่าคนของธงพยัคฆ์ดำไม่ต้อนรับพวกเขา จะต้องไม่ให้พวกเขาได้อยู่สบายแน่ แล้วจะเป็นผู้บัญชาการทัพกลางได้อย่างไร?

…………………………

[1] คลื่นชะทราย 大浪淘沙 บุคคลโดดเด่นที่เหลือรอดจากการคัดเลือกทางธรรมชาติ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset