พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1354 เคลื่อนไหวก่อกบฎ

บึ้ม! ตรงจุดที่ตำหนักใหญ่ถล่ม จู่ๆ ก็มีฝุ่นควันกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา ในลูกกลมสีแดงขนาดใหญ่ที่มีเสียงต่อสู้ดังไม่หยุดพุ่งขึ้นฟ้า เสียงที่ตื่นตระหนกของเหยาหย่วนชูดังออกมา “รีบมาช่วยข้า!”

วูบ! จากนั้นก็เห็นสัตว์ประหลาดดุร้ายที่สวมเกราะรบพุ่งตามหลังมาอีก ไล่แซงหน้าไป แล้วกระโจนกลับหลังกลางอากาศ โผเข้าโจมตีลูกกลมสีแดงอย่างฉับพลัน

แกร๊ง! เกิดเสียงดังมาก สัตว์ประหลาดดุร้ายกอดลูกกลมสีแดงแล้วสั่นหัวส่ายหาง กดลูกกลมสีแดงกลับไปบนยอดเขาที่มีฝุ่นตลบอบอวล

“เร็วเข้า! เรียกรวมนักพรตบงกชรุ้งทุกคนของทัพกลาง!”

เผยไหลหมิงพลันหันกลับมาตะโกน ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะบอกคังจือลวี่และเหยาหย่วนชูไว้อย่างดี แต่ที่จริงก็ไม่ได้คิดเลยว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือจริงๆ เขาแค่พูดให้ฟังดูดีเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำตามที่พูดเลย สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย ถ้าจะให้กำลังพลทัพกลางเร่งรีบเป็นกังวลเพื่อหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว พวกลูกน้องก็จะต้องคิดว่าเขากลัวหนิวโหย่วเต๋อแน่

แต่เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเหยาหย่วนชูก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเหมียวอี้ลงมือจริงๆ

“เรียกรวมกำลังพลทัพกลาง!” อู๋เฟิงกับเหิงก่วงหลิงตะโกนเสียงสูงอย่างร้อนใจ

พอถ่ายทอดคำสั่งลงไป กำลังพลทัพกลางก็ตอบสนองเร็วมาก กำลังพลนับหมื่นรีบเหาะขึ้นฟ้าอยู่นอกค่ายกลป้องกัน

พรึ่บ! หยางเจาชิงขี่สัตว์เทพพุ่งออกมา ถือทวนบุกเดี่ยวคุมเชิงกับทัพใหญ่กลางอากาศ โบกทวนพร้อมตะโกนถาม “บังอาจ! อยากจะก่อกบฏรึไง?”

เผยไหลหมิงตะโกน “รีบเปิดค่ายกลใหญ่เดี๋ยวนี้ แล้วจะละเว้นชีวิตเจ้า!”

“หยางเจาชิง ที่ปรึกษาของผู้บัญชาการใหญ่อยู่นี่แล้ว คนของทัพกลางมีใครกล้าเร่งรัด!” หยางเจาชิงตะคอกอย่างโมโห

เผยไหลหมิง อู๋เฟิง เหิงก่วงหลิงไม่เปลืองคำพูดอีกต่อไป และสิ้นเปลืองเวลาต่อไปไม่ได้ด้วย ชี้อาวุธไปที่จุดจุดเดียวทันที พร้อมถ่ายทอดคำสั่ง “เตรียมธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์!”

กำลังพลนับหมื่นที่อยู่บนฟ้าช้อนธนูขึ้นมาทันที วางลูกธนูไว้บนสาย บนธนูมีลำแสงหมุนวน ทุกคนเล็งไปเป้าหมายไปยังจุดจุดเดียว

“โจมตีพังค่ายกล ยิง!” ทั้งสามโบกมือออกคำสั่งพร้อมกัน

ซวบๆๆๆ! ธนูดาวตกนับร้อบพลันยิงออกมา พอโจมตีโดนแล้วก็ค้างอยู่กลางอากาศ ตาข่ายครอบโปรงแสงสีขาวเงินขนาดใหญ่โดนโจมตีจนปรากฏรูปร่าง ด้านบนมีกระแสคลื่นลำแสงซัดสาด กำลังลดพลังโจมตีจำนวนมากให้น้อยลง

ซวบๆๆ! ลูกธนูยิงออกไปหนึ่งระลอก ลูกธนูระลอกที่สองก็ตามออกไป ตามติดด้วยระลอกที่สาม แต่ละครั้งยิงออกไปร้อยกว่าดอก แต่ยังคงรุกโจมตีต่อเนื่องไม่หยุด

พวกเขารู้ดีถึงจุดอ่อนของค่ายกลป้องกันนี้ ถ้าหากร่วมกันยิงให้โดน ค่ายกลใหญ่มีความสามารถในการลดพลังโจมตีเยอะมาก ขอเพียงรักษาอานุภาพการโจมตีไว้ประมาณหนึ่ง โจมตีไปที่จุดจุดเดียว ทำให้ความสามารถในการลดพลังโจมตีของค่ายกลใหญ่ตามจังหวะการโจมตีไม่ทัน เมื่อความสามารถในการโคจรภายนอกทำลายตัวเองและโคจรไม่ได้อีก ค่ายกลใหญ่ก็ย่อมพังทลายอยู่แล้ว

นักพรตบงกชรุ้งห้าสิบกว่าคนตั้งธนูรอยิง ภายใต้การยิงอย่างต่อเนื่อง สีของค่ายกลใหญ่ป้องกันเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ตอนที่พวกเขายิงออกไป ก็ทำลายค่ายกลใหญ่ได้ภายในทีเดียว

ในเวลานี้ ตาข่ายโปร่งแสงสีขาวเงินที่ครอบอยู่เหนือท้องฟ้าของสำนักหกนิ้ว มีคลื่นแสงกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด สถานการณ์อันตรายมาก

ศิษย์สำนักหกนิ้ว โดยเฉพาะเจ้าสำนักไป๋หลัน เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็เรียกได้ว่าหน้าซีดเผือด เมื่อถูกทัพกลางโจมตีค่ายกลป้องกัน คนที่ดวงซวยก็ไม่ได้มีแค่พวกหนิวโหย่วเต๋อแล้ว สำนักหกนิ้วจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีแน่นอน ใครใช้ให้พวกเขายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับหนิวโหย่วเต๋อล่ะ เกรงว่าต่อให้ยอมจำนนก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าถูกกดดันจนหมดหนทาง ก็เกรงว่าคงทำได้เพียงสั่งให้ลูกศิษย์นับหมื่นในสำนักร่วมสู้ตายไปพร้อมกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว บางทีอาจจะยังมีทางรอดชีวิตอยู่บ้าง

โชคดีที่ในตอนนี้บนยอดเขาสูงสุดมีเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของเหมียวอี้ดังมา “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”

ศิษย์ทุกคนของสำนักหกนิ้วหันไปมอง เห็นเพียงเงาคนหลายคนพุ่งออกมาท่ามกลางฝุ่นควันที่ตลบอบอวลบนยอดเขา

เหมียวอี้สวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงทั้งตัว ในมือถือทวนเกล็ดย้อน ขี่สัตว์เทพหน้าตาดุร้าย นำพุ่งขึ้นมาเป็นคนแรก ทุกคนที่อยุ่ข้างหลังล้วนสวมเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูง

ไห่ผิงซินตามอยู่ข้างหลัง บนบ่าแบกธงพยัคฆ์ดำที่เสาหักแล้ว ธงใหญ่ปลิวสะบัดรับลม เพียงแต่ธงใหญ่ยาวถึงสามจั้ง กว้างสองจั้ง นางที่แบกเสาธงหักต้นใหญ่หยาบอยู่ข้างล่างดูตัวเล็กจิ๋วไปเลย แต่นางหนูคนนี้ก็แบกธงอย่างฮึกเหิมมาก ดูมีความหวังมาก เพื่อปกป้องคนที่นางบูชานับถือที่สุดในใจ

เหยาหย่วนชูที่สะบักสะบอมเกินทนถูกหิ้วอยู่ในมือสวีถังหราน คังจือลวี่ที่ก้มหน้าห่อเหี่ยวใจถูกหิ้วอยู่ในมือหยางชิ่ง เหยียนซิวที่สองมือว่างเปล่ามีรอยเลือดบนมุมปาก บนเสื้อผ้าตรงหน้าอกยังมีรอยขาดเป้นช่องโหว่

เหยาหย่วนชูกับคังจือลวี่มีวรยุทธ์สูงกว่าเหยียนซิวนั้นไม่ผิด ทว่าสุงกว่าแค่หนึ่งขั้น ยามลงมือสู้กันขึ้นมาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหยียนซิวเลย เหยียนซิวฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางภาคคนกับภาคดินแล้ว ความแตกต่างของวรยุทธ์ขั้นเดียวไม่อยู่ในสายตาเหยียนซิวเลย และนี่ก็เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดที่ทำให้เหมียวอี้กล้าลงมือ คนอื่นไม่รู้ถึงศักยภาพของเหยียนซิว แต่เหมียวอี้กลับรู้ดี

แต่ประเด็นสำคัญก็คือเหมียวอี้ต้องการความเร็ว ต้องการเอาชีวิตสองคนนั้นให้ได้ก่อนที่ทัพใหญ่จะโจมตีพังค่ายกลป้องกัน ไม่อย่างนั้นถ้าทัพใหญ่เข้ามาร่วมด้วย นั่นก็จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว กำลังพลที่สวมเกราะรบอย่างดีพวกนี้ ต่อให้สู้กับนักพรตบงกชกลาย ต่อให้จะเอาชนะไม่ได้ แต่ถ้าร่วมมือกันสู้ขึ้นมาก็ยังพอต้านทานได้ เมื่อดอกธนูนับหมื่นยิงออกมาพร้อมกัน แม้แต่นักพรตบงกชกลายก็ยังต้องหลบคมของมัน แล้วพวกเหมียวอี้ที่มีกำลังน้อยจะต้านไหวได้อย่างไร

เพื่อไม่ให้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูหนีไปได้ตอนเสียเวลาสู้กัน เหยียนซิวจึงจำเป็นต้องเสี่ยงไปโดนคังจือลวี่โจมตีก่อนครั้งหนึ่ง ตอนหลังเพื่อที่จะหยุดยั้งเหยาหย่วนชู ก็ยิ่งอาศัยวรยุทธ์ที่ต่ำกว่าไปปะทะโดยตรง สิ่งนี้ถึงได้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ไม่อย่างนั้นคังจือลวี่ดับเหยาหย่วนชูร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหยียนซิวอยู่ดี

ขณะเดียวกัน เหมียวอี้ก็เสี่ยงอันตรายเช่นเดียวกัน สู้กับเหยาหย่วนชูซึ่งๆ หน้าแล้ว ถ้า ‘ลูกกลมตีไม่พัง’ ไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะมีออกมา แบบนั้นเหมียวอี้ก็จะอยู่ในอันตรายแล้ว แต่เขากล้าเสี่ยงอันตรายนี้ จึงกล้าทำแบบนี้ ดังนั้นจึงทำสำเร็จแล้ว!

เฟยหงและผู้หญิงคนอื่นๆ กำลังมองฉากนี้จากบนฟ้า พอเห็นพวกเหมียวอี้ทำสำเร็จแล้ว ก็เรียกได้ว่าทั้งตกใจทั้งดีใจ ดีใจที่พวกเหมียวอี้สามารถทำสำเร็จได้อย่างปลอดภัย แต่ตกใจว่าจะผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้อย่างไร ต่อให้สามารถเรียกคนของสำนักหกนิ้วมาลงมือด้วยกันได้ แต่จะต้องต้านทานการโจมตีของกำลังพลทัพกลางไม่ไหวแน่นอน แค่นักพรตบงกชรุ้งอย่างเดียวก็มีห้าสิบกว่าคนแล้ว!

พอสวีถังหรานที่แข็งใจตามออกมาเห็นทัพใหญ่จัดกระบวนทัพล้อมโจมตี เหงื่อก็ท่วมหลังก็ด้วยความหวาดกลัว ขาสองข้างอ่อนแรงเล็กน้อย แต่หยางชิ่งเตรียมพร้อมทางด้านสภาพจิตใจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะกังวลว่าเหมียวอี้จะทำอะไรบุ่มบ่าม แต่สวีถังหรานมองไม่ออกสักนิดเลยจริงๆ นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะทำแบบนี้ มารดาเจ้าเถอะ นี่เป็นการเอาชีวิตมาล้อเล่นชัดๆ!

ตอนนี้ต่อให้สวีถังหรานจะโง่แค่ไหนแต่ก็ดูออก ตั้งแต่วางแผนกันคนของทัพกลางออกไปจากค่ายกลใหญ่ ผู้บัญชาการใหญ่ก็เตรียมจะลงมือกับคังจือลวี่และเหยาหย่วนชูแล้ว ที่แยกกำลังพลของทัพกลางออกไปก็เพื่อแยกกองกำลังหนุนของสองคนนั้นออกไป ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่บอกตนสักคำ ตกใจแทบแย่แล้ว

แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว! ขึ้นเรือโจรมากแล้ว ถ้าไม่ทำตามเหมียวอี้ก็ไม่ปล่อยเขาไปแน่ ฝั่งธงพยัคฆ์ดำก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปเหมือนกัน ทำได้เพียงเดินตามเส้นทางตายของเหมียวอี้ไปจนถึงที่สุด

ที่พึ่งเดียวของเขาก็คือท่านนั้นแล้ว สวีถังหรานมองเหยียนซิวที่มีเลือดตรงมุมปากในทันที รู้สึกตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว เขานึกไม่ถึงว่าเจ้าคนที่ทำตัวเหมือนผีจะห้าวหาญขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้กรงเล็บนั่นฉีกเกราะรบผลึกม่วงให้ขาดได้ด้วยมือเปล่า แบบนี้คงแหลมคมถึงขนาดไหนกัน?

แต่เมื่อครู่นี้เหมียวอี้ก็เตือนไว้แล้ว ว่าเรื่องของเหยียนซิวในวันนี้ห้ามเปิดเผยต่อภายนอก

เมื่อเผยธงพยัคฆ์ดำใหญ่ออกมา ก็ดึงดูดสายตาของทุกคนแล้ว พวกเขารู้สึกหวาดเกรงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรทุกคนก็ทำงานรับใช้อยู่ภายใต้ธงผืนนี้มาหลายปี ภายใต้อานุภาพที่สะสมมา ธงใหญ่ตัวแทนตัวแทนผืนนี้ก็คืออำนาจบารมีสูงสุดของธงพยัคฆ์ดำ! ด้วยเหตุนี้เอง ลำแสงที่เป็นลูกคลื่นอยู่บนค่ายกลจึงไม่กระเพื่อมอีกต่อไป กำลังพลของทัพกลางทยอยกันหยุดโจมตี คนคนเดียวคนหยุดก็สามารถส่งผลให้คนอื่นหยุดกันเป็นแถบ พอหยุดไปแถบหนึ่งก็แทบจะทำให้หยุดกันทั้งหมด

นี่ไม่ใช่ความหวาดกลัวเพราะการปรากฏขึ้นของธงพยัคฆ์ดำใหญ่เท่านั้น สาเหตุสำคัญก็คือคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูแพ้แล้ว ถูกผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อจับตัวไว้แล้ว!

เผย อู๋ เหิง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามที่ลอยควบคุมการต่อสู้อยู่บนฟ้าเห็นเหตุการณ์นี้แล้วตกใจ เห็นว่ากำลังจะพังค่ายกลได้แล้วแท้ๆ ทำไมถึงหยุดแล้วล่ะ เผยไหลหมิงมองด้านล่างพร้อมตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ทำไมถึงหยุด! รุกโจมตี! รีบช่วยชีวิตรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสอง!”

“ใครกันที่กล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด เขาไม่รู้จักเผย อู๋ เหิง แต่เดาออกถึงสถานะตัวตนของสามคนนี้แล้ว จึงประกาศฐานะของตัวเองด้วยเสียงดัง “ข้าคือหนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำ วันนี้คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชู รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเคลื่อนไหวก่อกบฏ จะแย่งชิงอำนาจของธงพยัคฆ์ จึงจับไปลงโทษประหาร ไม่ให้คนอื่นเอาเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี! เดิมทีทัพกลางก็ขึ้นตรงต่อผู้บัญชาการใหญ่อยู่แล้ว ฟังแค่คำสั่งของผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ก็พอ สามคนที่ที่กำลังพูดจาอวดดีคงจะไม่ใช่กำลังพลทัพกลางของข้าแน่นอน เป็นใครกันที่มาทำกำเริบเสิบสานอยู่ที่นี่?” เขาโบกทวนชี้ทั้งสามคนอยู่ไกลๆ

ความหมายที่แฝงในคำพูดก็คือ ทัพกลางเป็นกำลังพลของข้า บังอาจจะมาแย่งตัวนักโทษไปจากมือข้า นี่ไม่ใช่การล้อเล่นหรอกเหรอ!

ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นการเคลื่อนไหวก่อกบฏแล้ว สีหน้าของคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเต็มไปด้วยความขื่นขม สัมผัสได้ถึงความรู้สึก ‘ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร[1]’ ตัวเองโดนจับไปแล้ว เหมียวอี้พูดอะไรก็ต้องว่าตามนั้น ตอนนี้นึกเสียใจทีหลังแทบตาย นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะใจกล้าขนาดนี้ ลงมือกับพวกเขาแล้วจริงๆ ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรกก็น่าจะฟังคำเกลี้ยกล่อมของเผยไหลหมิง ถ้าเก็บคนไว้ข้างกายเยอะๆ ก็คงไม่ตกต่ำย่ำแย่จนมีจุดจบแบบนี้

ในบรรดากำลังพลของทัพกลางมีคนไม่น้อยที่มองหน้ากันเลิกลั่ก ในแววตาดูแปลกใจนิดหน่อย ผู้บัญชาการใหญ่กล่าวแบบนี้ก็เท่ากับเตะผู้ช่วยผู้บัญชาการทั้งสามออกจากทัพกลางแล้ว มีตำแหน่งว่าแล้วสามตำแหน่ง!

เป็นปากที่ร้ายกาจจริงๆ !เผย อู๋ เหิง ทั้งสามเดือดร้อนใจแล้ว อู๋เฟิงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าลำเอียงเข้าข้างคนนอก เตะพี่น้องของทัพกลางออกจากสถานที่สุขสบาย เอามาโยนไว้ที่รกร้าง สนใจแต่การเสพสุขของตัวเอง ไม่มองเห็นว่าคนของทัพกลางเป็นคนของตัวเองเลย ตอนนี้ก็ต้องการจะยัดข้อหาความผิดให้รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองอีก ธงพยัคฆ์ดำไม่เคยมีผู้บัญชาการใหญ่อย่างเจ้า หนิวโหย่วเต๋อ ปล่อยรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเดี๋ยวนี้ คำเตือนที่หวังดีมักขัดหู  อย่าโทษว่าพวกเราใช้กำลังทหารข่มขู่!”

เผยกับเหิงตะโกนเสียงสนับสนุนเสียงดัง “ปล่อยรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองเดี๋ยวนี้!”

ทั้งสามร้อนใจแล้วจริงๆ คังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญของของพวกเขาสามคน ถ้าสองคนนั้นตายแล้ว ต่อให้ตอนหลังธงอินทรีสิบกองทัพโค่นล้มหนิวโหย่วเต๋อได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ดำก็มาไม่ถึงพวกเขาอยู่ดี ถ้าเปลี่ยนให้คนอื่นมาเป็น ก็ไม่มีใครอยากเห็นคนอย่างพวกเขาสามคนอยู่ในทัพกลางทั้งนั้น คนทรยศของทัพกลาง แบบนี้ไม่แย่หรอกเหรอ? ไม่ว่าใครจะมาก็ต้องเตะสามคนนี้ออกไปทั้งนั้น ทีสำคัญก็คือ พอคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูตายไป ไม่มีกำลังหลักที่พึ่งพาได้แล้ว ถ้าเหมียวอี้หาทางผูกมัดจิตใจด้วยเล่ห์เพทุบาย ธงอินทรีสิบกองทัพจะสู้ต่อไปหรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหาเลย ถ้าทำให้หนิวโหย่วเต๋อกุมอำนาจกองทัพขึ้นมา ทั้งสามก็มีแต่จะตายสถานเดียว!

ตอนนี้ความปรารถนาสูงสุดของทั้งสามก็คือ ช่วยคังจือลวี่กับเหยาหย่วนชูออกมา ขอเพียงช่วยสองคนนี้ออกมาได้ อำนาจทางทหารก็จะยังอยู่ฝ่ายพวกเขา พวกเขาจะยังมีอำนาจตัดสินใจ

…………………………

[1] ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร 成王败寇 อุปมาว่าคนชนะจะพูดอะไรก็ได้ ไม่ว่าตัวเองจะดีหรือเลว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset