พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 929

หนึ่งสองสาม

พูดจากใจจริง เขาไม่อยากช่วยฉินเวยเวยรับสินเดิมเจ้าสาวส่วนนี้ไว้เลย เพราะในสายตาเขา แต่ไหนแต่ไรมาผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เคยสนใจลูกสาว ทว่าพอนึกถึงก่อนหน้านี้ที่นางเคยช่วยชีวิตฉินเวยเวยที่สำนักงามวิจิตร แปลว่าผู้หญิงคนนี้ใช่ว่าจะไม่มีฉินเวยเวยอยู่ในใจเลย อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตฉินเวยเวยไว้ครั้งหนึ่ง จะเห็นได้ว่ายังมีไมตรีระหว่างแม่กับลูกสาว น้ำใจเล็กน้อยของคนเป็นแม่นี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะช่วยฉินเวยเวยปฏิเสธหรือไม่

ชิงจวี๋กลับมาแล้ว รายงานว่า “นายท่าน นางไปแล้วเจ้าค่ะ… เหมือนจะร้องไห้ด้วย!”

หยางชิ่งสูดหายใจลึกแล้วลืมตาสองข้าง ขยับฝ่ามือย้ายกำไลเก็บสมบัติเลื่อนออกมา “พวกเจ้านับแล้วจดบันทึกไว้ เดี๋ยวข้าจะใส่รวมไว้ในสินเดิมเจ้าสาวของเวยเวย อย่าลืมตรวจดูให้ละเอียดนะ อย่าทิ้งอะไรที่ทำให้เวยเวยสงสัยว่าตัวเองกับผู้หญิงคนนั้นมีความเกี่ยวข้อง” พูดจบก็เดินออกไป

ชิงเหมยกับชิงจวี๋สบตากันแล้วถอนหายใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่า ‘ฮูหยิน’ ท่านนั้นจะมีที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพียงแต่ฐานะแบบนี้ เกรงว่าคงไม่สะดวกจะบอกให้ฉินเวยเวยรู้ไปทั้งชีวิต

ทั้งสองเริ่มนับของที่อยู่ในกำไลเก็บสมบัติ สินเดิมเจ้าสาวส่วนนี้อุดมสมบูรณ์มาก มากมายมหาศาล อย่างน้อยพวกนางทั้งสองก็ยังไม่เคยเห็นของมากมายขนาดนี้ ลูกแก้วพลังปรารถนามีไม่เยอะ มีเพียงสองพันล้านลูก แต่ของมีค่าอย่างอื่นเยอะมาก…

วันมหามงคลมาถึงอย่างรวดเร็ว ยอดเขาหยกนครหลวงประดับผ้าและโคมไฟหลากสีสัน ประตูของห้างร้านบ้านเรือนทั้งเมืองหลวงต่างก็แขวนประดับด้วยโคมไฟสีแดง ชาวบ้านทั้งเมืองหลวงได้เว้นการเสียภาษีเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อให้ชาวบ้านทุกคนในเมืองหลวงได้เฉลิมฉลองด้วย ทำเอาพวกชาวบ้านอยากจะให้เหมียวอี้แต่งงานอีกหลายๆ ครั้ง ดังนั้นจึงมีโคมไฟสีแดงแขวนประดับเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพวกร้านค้าปลีก พวกเขายิ่งทุ่มเทสุดความสามารถ ถึงอย่างไรพวกเขาก็คือกลุ่มคนที่ได้ยกเว้นภาษีรายใหญ่ เป็นคนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ทั้งเมืองหลวงจึงคึกคักกว่าปีที่ผ่านมา ภูเขาและแม่น้ำสว่างไสวไม่เหมือนตอนกลางคืน เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเฉลิมฉลอง

บ้านพักที่อยู่ตรงตีนเขาของยอดเขาหยกนครหลวง สมาคมร้านค้าแดนเซียนได้ปฏิเสธรับแขกไว้ล่วงหน้าแล้ว บ้านพักทั้งหมดล้วนเตรียมไว้รับรองแขกที่มาแสดงความยินดี นี่คือการแสดงน้ำใจจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน ย่อมไม่คิดเงินเพิ่ม

ฉินเวยเวยที่สวมชุดสีแดงทั้งตัวกำลังนั่งทำผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง วันนี้นางสวยสดใสน่าประทับใจเป็นพิเศษ บนใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้มเขินอายบางๆ นางที่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์เสียส่วนใหญ่ วันนี้เค้าโครงใบหน้าสวยละมุนกว่าปกติ

ชิงจวี๋ยืนยืนอยู่ข้างๆ ฉินเวยเวย กำลังเตือนอีกครั้งว่าตอนเข้าห้องหอควรจะรับมืออย่างไร กลัวว่าฉินเวยเวยจะไม่เข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิง ทำให้ฉินเวยเวยหน้าแดงเพราะเขินอาย แต่กลับยังพยักหน้าตอบเสียงเบา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชิงจวี๋บอกแบบนี้ หงเหมียน ลู่หลิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังจนหน้าแดงเช่นกัน แต่กลับหูผึ่งจดจำเอาไว้ เผื่อในภายหลังจะได้ใช้

ลูกสาวของคุณชายรองแห่งแดนโพ้นสวรรค์จะแต่งงาน ฮูเหยียนไท่เป่า จงเจิ้น ถังจวิน หงเฉินก็มากันหมด แต่เยว่เหยาไม่ได้มา บอกว่าข้างกายท่านอาจารย์จะขาดคนไม่ได้ ต้องการจะอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์

ท่านทูตสายต่างๆ ของแดนเซียนมากันครบ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเหมียวอี้ สำหรับเหมียวอี้ที่เอาชีวิตของพวกเขาไปต่อรอง พวกเขาไม่ได้รู้สึกดีด้วยสักเท่าไร มาเพราะไว้หน้าคุณชายรองอันหรูอวี้กับโอวหยางกวงเพื่อร่วมงานแท้ๆ

ประมุขปราสาทของสายมะโรงก็มากันหมด ส่วนระดับที่ต่ำกว่านั้น หยางชิ่งไม่อยากกระพือข่าวให้รู้กันทั่ว เขาไม่อยากให้ทำให้ใหญ่โตเกินหน้าเกินตาอวิ๋นจือชิวในปีนั้น จึงโน้มน้าวไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นสหายของเหมียวอี้ ถ้าไม่เชิญมาก็จะฟังดูเหลวไหล

ส่วนคนจากแดนอื่นๆ นอกจากไต้ซือศีลเจ็ดกับศีลแปดที่เป็นลูกศิษย์ ก็ไม่มีคนอื่นมาเข้าร่วมแล้ว พวกนั้นไม่ฆ่าเหมียวอี้ทิ้งก็ดีเท่าไรแล้ว จะมาแสดงความยินดีได้อย่างไร แม้แต่แดนมารก็ไม่มีมาสักคน เหมียวอี้แต่งงานรับอนุภรรยา ในความคิดของพวกเขา นี่คือเรื่องที่ไม่เป็นธรรมสำหรับอวิ๋นจือชิว ย่อมไม่มาประสมโรงด้วยอยู่แล้ว

ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรก็ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่กลุ่มราชาปีศาจก็พามาด้วย

เจ้าสำนักของสำนักใหญ่ๆ ในสายมะโรงก็มาแทบจะหมด

ถึงแม้จะจัดงานอย่างเรียบง่าย แต่กลับยังคงคึกคัก ถึงอย่างไรเมื่อเทียบอาณาเขตหนึ่งปราสาทกับอาณาเขตหนึ่งสาย ฐานะก็ไม่เหมือนกันแล้ว

มีคนสนิทคุ้นเคยไม่น้อยที่โวยวายต้องการจะพบเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้กลับไม่โผล่มาแม้แต่เงา ก็ช่วยไม่ได้ เพราะอายไงล่ะ แต่งงานอนุภรรยาก็ว่าอายแล้ว นี่ยังแต่งเข้ามาทีเดียวสามคน ถ้าวนไปเล่นด้วยทุกคนเขาก็ไม่ไหวเหมือนกัน จึงหลบไปก่อนดีกว่า

เกี้ยวเจ้าสาวจากสายชวดมาแล้ว ไม่ได้ทำให้ฮือฮาเลยจริงๆ เป็นเกี้ยวหนึ่งหลังสองที่นั่ง ประดับด้วยผ้าสีแดง พากองทหารมานิดหน่อย เหาะลงมาจากฟ้าโดยอันหรูอวี้และโอวหยางกวงที่สวมชุดสีแดงคุ้มกันมาส่ง

เกี้ยวลงมาจอดตรงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า หญิงงามคู่หนึ่งที่คลุมศีรษะด้วยผ้าแดงถูกเชิญลงมา หญิงรับใช้ของแต่ละคนเข้ามาประคองเข้าไปอยู่ในห้องเพื่อรอฤกษ์ยาม ฉินเวยเวยที่มาถึงก่อนนั่งรออยู่บนเก้าอี้แล้ว โดยมีหงเหมียน ลู่หลิ่วยืนอยู่เป็นเพื่อนทางซ้ายและขวา

พอโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนเข้ามา เจ้าสาวทั้งสามมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์ภายนอก แต่แววตาของหญิงรับใช้ทั้งหกกลับแทบจะมีประกายไฟออกมา เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาเป็นศัตรู

หญิงรับใช้ทั้งสองของโอวหยางหลางชื่อว่า จือฉิน จือฉี ส่วนหญิงรับใช้ของโอวหยางหลางชื่อว่า จือซู จือฮว่า ทั้งสี่คนหน้าตาสวยโดดเด่น ด้วยฐานะวงศ์ตระกูลของฝาแฝด ย่อมไม่เลือกคนธรรมดาสามัญมาเป็นหญิงรับใช้ประจำตัวอยู่แล้ว ต่างก็เลือกมาอย่างพิถีพิถัน ชื่อของหญิงรับใช้สี่คนนี้ เมื่อรวมกันแล้วก็จะได้ฉินฉีซูฮว่า[1] จะว่าไปแล้วก็ต้องแต่งเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่จนใจที่ฉินฉีซูฮว่าเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ไม่ถนัดเลย แต่คนชื่อนี้กลับมากันครบ ช่างเป็นการเยาะเย้ยเสียดสีเขาจริงๆ

อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงไม่ได้เข้ามา พวกเขายังมีธุระของตัวเองอีก

เมื่อถึงเวลาตามฤกษ์ ด้านนอกก็เสียงดนตรีของสรวงสวรรค์ เหมียวอี้ที่หลบจนถึงตอนสุดท้าย ในที่สุดก็ออกมาแล้ว ประดับด้วยผ้าสีแดงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เขามาพร้อมเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ และมีเหยียนซิวเดินนำหน้าเพื่อคอยชี้แนะขั้นตอน

แต่งงานรวดเดียวสามคน การเตรียมการก่อนหน้านี้ช่างน่าปวดหัวจริงๆ สถานการณ์สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นตอนนี้ เหมียวอี้เข้ามารับเจ้าสาวทั้งสามคน ตัวเองเดินนำหน้าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เข้ามา ส่วนเจ้าสาวสามคนนั้น ต่างคนก็ต่างก็มีหญิงรับใช้สองคนคอยประคองอยู่ข้างหลัง คลุมผ้าแดงที่ศีรษะและยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ข้างหลัง

เมื่อภาพประหลาดแบบนี้ปรากฏอยู่ในพิธีมงคล ก็มีแขกไม่น้อยที่กลั้นขำ บางคนกัดริมฝีปากจนเหนื่อยมาก กัดจนแทบเลือดไหล เกือบจะหลุดขำออกมาแล้ว ศีลแปดที่กำลังดูพิธีกำลังประนมมือกล่าวว่าอามิตตาพุทธไม่หยุด ในใจเขาขำกลิ้งไปหลายตลบ แต่ใบหน้ายังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี นิสัยแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติด ทั้งงานนี้หาใครมาเทียบเขาไม่ได้แล้ว ใครกล้าบอกว่าเขาแค่วางมาดภูมิฐาน

ไต้ซือศีลเจ็ดก็กลั้นยิ้มเล็กน้อยเช่นเดียวกัน พอหันกลับมามองลูกศิษย์ตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ลูกศิษย์คนนี้ช่างเป็นคนอัปมงคลจริงๆ ไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อนเลย!

แขกที่ยืนอยู่สองฝั่งของพรมแดงแอบส่งสายตาหยอกล้อ เหมียวอี้รู้สึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนี วาสนาแบบนี้เขารับไม่ไหวจริงๆ

มีบางคนกำลังแอบถ่ายทอดเสียงคุยกัน “การแต่งงานรับอนุภรรยารอบนี้ บอกว่าแต่งสามคน พอนับรวมหญิงรับใช้เข้าไปด้วย ก็เท่ากับได้รวดเดียวเก้าคน ใช้ได้เลย”

อวิ๋นจือชิวยืนมองบรรยากาศภายนอกอยู่ริมหน้าต่างบนตึกปราสาททอง ใบหน้าอมยิ้มเล็กน้อย ความรู้สึกที่แท้จริงมีแค่ตัวนางที่รู้ ในเวลานี้นางจะปรากฏตัวหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว นางเลือกที่จะหลบอยู่หลังม่าน

ภายใต้เสียงประกาศในพิธีการ เหมียวอี้นำเจ้าสาวทั้งสามคำนับฟ้าดินและคำนับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ย่อมเป็นอันหรูอวี้ โอวหยางกวงและหยางชิ่งนั่งเรียงกัน เดิมทีนี่คือเรื่องมงคล เพียงแต่เมื่อมีการคำนับพร้อมกันมากกว่าสองคน รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาจึงดูฝืนทน

มีเพียงตอนสุดท้ายที่สามีภรรยาคำนับกัน เหมียวอี้เพียงโค้งตัวคำนับเท่านั้น ตอนที่คำนับฟ้าดินกับผู้ใหญ่ก็โค้งตัวเหมือนกันหมด ตอนแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวถึงจะเรียกว่าเป็นการคุกเข่าคำนับที่แท้จริง ภรรยาเอกกับอนุภรรยายังมีความแตกต่างในด้านพิธีอยู่บ้าง เป็นการแบ่งแยกลำดับความสำคัญจริงๆ

สุดท้ายก็ส่งตัวเข้าห้องหอ ทั้งหมดรวมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แบ่งเป็นห้องหอสามห้อง เมื่อส่งเข้าประตูบ้านก็ถือว่าส่งตัวเข้าห้องหอแล้ว หญิงรับใช้ทั้งหกประคองเจ้าสาวทั้งสามเข้าไปในห้อง ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้มีแค่คนเดียว ไม่สามารถแยกเป็นสามร่างได้

จากนั้นเหมียวอี้ก็ออกจากบ้านมารับแขก ส่วนเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ทำภารกิจเสร็จแล้วก็ถอยกลับไปอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว ตอนที่เหมียวอี้กลับมาอีกครั้ง ก็มีหญิงรับใช้ของเจ้าสาวทั้งสามคนคอยรับใช้อยู่แล้ว

ในงานเลี้ยง ท่านขุนนางเหมียวยังมีหน้าตามีตา เพราะไม่ได้ดื่มสุราจนเมามาย แต่คำพูดหยอกล้อกลับทำให้เขามึนแทน

ยกตัวอย่างเช่น มีบางคนตะโกนว่า “คุณชายห้า เข้าห้องหอคนเดียวไหวรึเปล่า?”

ทุกคนหัวเราะลั่น เหมียวอี้อับอายมาก รีบดื่มสุราฉลองทีละโต๊ะอย่างรวดเร็วแล้วหนีไป แทบจะหนีหัวซุกหัวซุน รับไม่ไหวแล้วจริงๆ

มีบางคนตะโกนว่า “เจ้าบ่าวอย่าหนีสิ ไม่ต้องรีบเข้าห้องหอ คิดให้ดีก่อนว่าจะเข้าห้องไหนแล้วค่อยไป”

เหมียวอี้จะกล้าหันกลับมาได้อย่างไร หลังจากเข้าเขตลานบ้านของเรือนหอมาแล้ว เขาถึงได้โล่งใจ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากคำพูดฉีกหน้าพวกนั้นเสียที ช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดผ่านไปแล้ว ส่วนเรื่องการเข้าห้องหอที่เหลือ เขาก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร

แต่พอกวาดสายตามอง เหมียวอี้ก็ปวดหัวทันที หงเหมียน จือฉิน จือซู แต่ละคนยืนอยู่หน้าประตูห้อง ต่างก็กำลังมองเหมียวอี้ตาปริบๆ ดูจากท่าทางแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะเสียมารยาท ก็คงแทบจะฉุดเหมียวอี้เข้าไปในห้องเจ้านายตัวเองแล้ว

เหมียวอี้หันกลับมามองแวบหนึ่ง พบว่าเหยียนซิวที่เดินตามหลังมาได้หนีไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ กับเรื่องแบบนี้ แม้แต่คนจัดงานอย่างเหยียนซิวก็ไม่มีทางเตรียมการล่วงหน้าได้เช่นกัน

หลังจากไตร่ตรองเงียบๆ สักพัก เหมียวอี้ก็หันตัวเดินไปยังห้องที่จือซูยืนอยู่ สีหน้าของจือซูดูตื่นเต้นประหลาดใจขึ้นมาทันที รีบหันตัวไปเปิดม่าน แล้วตะโกนเข้าไปในห้อ “ท่านเขยมาแล้ว!”

เมื่อเห็นเหมียวอี้เข้าไปในห้องของโอวหยางหวนก่อน หงเหมียนก็ทำสีหน้าผิดหวัง ส่วนจือฉินที่เฝ้าอยู่อีกห้อง ถึงแม้จะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ก็ยังเชิดหน้าท้าทายใส่หงเหมียนได้ ถึงอย่างไรนางกับฝ่ายนั้นก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องร่วมมือกันสู้กับคนนอก

เทียนสีแดงในห้องหอสว่างมาก ช่วยขับผ้าแพรสีแดงให้เด่นชัดขึ้น โอวหยางหวนนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างสงบนิ่งเรียบร้อย พอเหมียวอี้ใช้สองมือเปิดผ้าคลุมศีรษะสีแดงของอีกฝ่าย ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็เด่นสง่ามีราศีขึ้นมา ภายใต้ฤทธิ์สุรา สาวงามตรงหน้ากลับทำให้เหมียวอี้ตาเป็นประกายเล็กน้อย นึกถึงภาพวาบหวิวที่ทะเลทรายม่านเมฆาขึ้นมาโดยจิตใต้สำนึก

แววตาของโอวหยางหวนดูอึดอัดมาก เห็นได้ชัดว่าความตื่นเต้นกังวลได้ข่มความเขินอายไปแล้ว จือฮว่าประคองนางให้ลุกขึ้น แล้วจือซูก็ยกสุราเข้ามา หลังจากทั้งสองคล้องแขนดื่มสุรากันแล้ว โอวหยางหวนก็คำนับเสี่ยงสั่น และเรียกเขาว่าท่านสามี

“เอ่อคือ เจ้าคือ…” ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าจัวเองเข้ามาในห้องหอของใคร เพราะสองพี่น้องหน้าตาเหมือนกันมาก เขาแยกไม่ออกจริงๆ ว่าใครเป็นใคร

จือซูที่อยู่ข้างๆ เข้าใจที่เขาสื่อ จึงรีบเตือนว่า “เป็นหวนฮูหยินเจ้าค่ะ”

จากนั้นหญิงรับใช้ทั้งสองก็เชิญให้คู่บ่าวสาวนั่งลง แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะบอกโอวหยางหวนที่อยู่ข้างๆ ว่า “ข้าจะไปที่ห้องพี่สาวเจ้าสักหน่อย”

“ค่ะ” โอวหยางหวนตอบเสียงต่ำ

เมื่อเห็นเหมียวอี้ออกจากห้องโอวหยางหวน แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในห้องโอวหยางหลางอีก หงเหมียนก็เม้มริมฝีปากแน่น หันไปมองห้องที่อยู่ข้างหลังตัวเอง นางรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเจ้านาย ตอนนี้ตาแดงก่ำแล้ว

โชคดีที่เหมียวอี้ไม่ได้ทำให้นางผิดหวังนานเกินไป ไม่นานก็ออกจากห้องโอวหยางหลาง แล้วมุ่งตรงมาทางนี้ หงเหมียนใช้มือปาดตาครั้งหนึ่ง แล้วรีบเปิดประตูต้อนรับเขาทันที

ตรงหน้าต่างบนตึกของปราสาททอง อวิ๋นจือชิวสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ของบ้านที่อยู่รอบๆ ได้ นางเฝ้าสังเกตห้องหอและหลุดขำออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าถอนหายใจ หันกลับไปมองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลัง แล้วพูดหยอกว่า “แค่เข้าห้องหอก็ต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว งานยุ่งจริงๆ อย่าเหนื่อยเสียก่อนล่ะ!”

…………………………

[1] ฉินฉีซูฮว่า 琴棋书画 คือศิลปะสี่แขนงที่เหล่าปัญญาชนต้องเรียนรู้ ได้แก่ กู่ฉิน หมากล้อม พู่กันจีนและการวาดภาพ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset