เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นเชียนเอ๋อร์ก็รีบตอบทันทีว่า “ใช่เจ้าค่ะ พวกนางจะมีวาสนาเหมือนฮูหยินได้อย่างไร”
อวิ๋นจือชิวกวาดตามองทั้งสองอย่างไม่ใส่ใจ รู้ว่าทั้งสองคิดอะไรอยู่ พวกนางกลัวตนจะหึงหวง จึงรับยิ้มบางๆ ก่อนจะทอดสายตามองเมืองหลวงที่สว่างพร่างพราวอยู่ภายใต้ความมืดยามราตรี แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “คืนนี้ทิวทัศน์ยามราตรีช่างงดงามยิ่งนัก!”
นางใจกว้างจริงหรือไม่ มีแต่นางเท่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ความรู้สึกในตอนนี้ ไม่คุ้มที่จะบอกให้คนอื่นรู้ ไม่ต้องพูดอะไรมากเกินความจำเป็น นางเองก็ไม่อยากใช้คำพูดสวยหรู ขอแค่เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้ชายคนนั้น นางล้วนเต็มใจทำให้
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ในงานกลับมีคนสองกลุ่มที่ที่สนใจสถานการณ์ทางห้องหอเป็นพิเศษ
อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงกำลังทักทายแขกด้วยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่นานก็มีคนมาถ่ายทอดเสียงรายงานเงียบๆ ว่า “ท่านเขยเข้าห้องคุณหนูรองก่อนขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น สองสามีภรรยาก็โล่งใจ รอยยิ้มบนใบหน้าชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
ผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานอีกว่า “ท่านเขยเข้าไปที่ห้องของคุณหนูใหญ่อีกขอรับ”
สองสามีภรรยาเรียกได้ว่ายิ้มหน้าบานด้วยความปีติยินดี ต้อนรับแขกอย่างอบอุ่นและดื่มฉลองหลายจอก
รายงานแบบเดียวกันมาถึงหูหยางชิ่งติดต่อกัน ทำให้มือที่ถือจอกสุราสั่นเล็กน้อย ยากจะบรรยายอารมณ์คับแค้นเศร้าโศกในใจ แค่เป็นอนุภรรยาก็ไม่ยุติธรรมกับลูกสาวแล้ว ตอนนี้ก็ยิ่ง… เขาเพียงแค้นใจที่ตัวเองมีอำนาจไม่มากพอ ทำให้ลูกสาวตัวเองได้รับความอัปยศเช่นนี้ ละอายใจที่เกิดมาเป็นพ่อคน!
ในสายตาเขา เหตุผลนั้นชัดเจนเกินไปแล้ว แค่เพราะตนมีอำนาจอิทธิพลไม่มากพอ เหมียวอี้ถึงได้มองข้ามลูกสาวของตนแบบนี้!
“มา! ดื่ม!” จู่ๆ เสียงของหยางชิ่งดังขึ้นหลายส่วน เขาบอกลูกน้องด้วยท่าทางสบายใจ ถึงขั้นแย่งกาสุราจากมือลูกน้องมาไว้ในมือตัวเอง แล้วกรอกลงปากอย่างดุดัน
ทว่าคนอื่นไม่รู้ว่าในใจเขารู้สึกอย่างไร ยังคงกู่ร้องด้วยความยินดี!
จนกระทั่งได้รับรายงานว่าเหมียวอี้เข้าไปอยู่ที่ห้องของสองคนนั้นไม่นาน แล้วสุดท้ายก็ไปที่ห้องของฉินเวยเวย หยางชิ่งจึงสุขุมเยือกเย็นขึ้นหลายส่วน ไม่ได้ดื่มมากจนเมามายเสียอาการ…
ผ้าคลุมศีรษะสีแดงถูกเปิดออกเบาๆ ฉินเวยเวยนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างสงบนิ่งเหมือนหญิงสาวบริสุทธิ์ แพขนตายาวของนางขยับเล็กน้อย เมื่อช้อนสายตาขึ้นประสานกับสายตายิ้มหยอกของเหมียวอี้ นางก็เขินอายจนทำอะไรไม่ถูก หน้าแดงจนถึงคอ ดูสวยหยาดเยิ้มไร้ที่สิ้นสุด
ก่อนหน้านี้นางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกแล้วเช่นกัน รู้ว่าเหมียวอี้ไปที่ห้องของอีกสองคนก่อน ถ้าจะบอกว่าในใจไม่คิดอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่ในตอนนี้นางโยนความคิดทุกอย่างทิ้งไว้ข้างหลังหมดแล้ว แม้แต่การประพฤติตัวในห้องหอที่ชิงจวี๋สอนไว้ก่อนหน้านี้ นางก็ลืมหมดแล้วแล้วเช่นกัน เหลือเพียงความเขินอายและหวานชื่นที่เต็มเปี่ยม รู้เพียงว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะได้กลายเป็นผู้หญิงของคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ลู่หลิ่วก็ประคองนางให้มานั่งตรงข้ามกับเหมียวอี้ หยิบจอกสุราที่หงเหมียนถือมาให้ แล้วคล้องแขนดื่มด้วยกัน ตอนที่สายตาของทั้งสองประสานกัน บอกไม่ถูกว่าเป็นรสชาติอย่างไร
สำหรับคำว่า “ท่านสามี” เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านอะไร แต่ในใจฉินเวยเวยกลับหวานชื่นมาก รู้สึกเหมือนเผชิญความลำบากยากแค้นมาเป็นเวลายาวนาน แล้วสุดท้ายก็ได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุเสียที
หงเหมียน ลู่หลิ่วกลับเป็นกังวลมาก ก่อนหน้านี้เห็นเหมียวอี้เข้าๆ ออกๆ สองห้องนั้น ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะหนีไปอีกหรือเปล่า ถ้าปฏิบัติตามขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไม่ครบ จะนับว่าเป็นการเข้าห้องหอที่สมบูรณ์แบบได้อย่างไร
โชคดีที่เหมียวอี้ยิ้มแล้วบอกว่า “ถอดเครื่องประดับให้หรูฮูหยินเถอะ”
ที่เรียกว่า ‘หรูฮูหยิน’ ก็หมายถึงอนุภรรยา หมายถึง ‘ราวกับฮูหยิน’ หรือจะเข้าใจได้ว่า ‘ไม่เทียบเท่ากับฮูหยินที่เป็นภรรยาเอก’ นี่ก็คือความแตกต่าง
หญิงรับใช้ทั้งสองพยักหน้าซ้ำๆ รีบมาถอดมงกุฎให้ฉินเวยเวย
ผมงามที่เคยถูกเกล้าม้วนขึ้นห้อยตกลงมาประบ่าของฉินเวยเวย หญิงรับใช้ทั้งสองรีบเข้ามาช่วยนางจัดให้เป็นระเบียบ กลัวว่าจะไม่น่ามอง
ภายใต้แสงเทียนที่สั่นไหว ขณะมองฉินเวยเวยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย นี่เป็นครั้งแรกที่เหมียวอี้เห็นนางตอนปล่อยผม ภาพที่ถ้ำล่องนิภายังอยู่ในความทรงจำ นางทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ แล้วตอนหลังก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาหลายครั้ง ตอนนั้นเรียกได้ว่าเกลียดผู้หญิงคนนี้จนอยากฆ่าทิ้ง แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปตามวันเวลาที่ผันผ่าน ใครจะคิดว่าวันหนึ่งนางจะได้มาร่วมห้องหอกับเขา เรื่องบางเรื่องก็มหัศจรรย์มากจริงๆ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่คนเรียกกันว่าบุพเพสันนิวาส
“คืนนี้ไม่ไปไหนแล้ว ค้างที่นี่แล้วกัน พวกเจ้าออกไปเถอะ!” เหมียวอี้หันกลับมาสั่ง
หงเหมียน ลู่หลิ่วทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจทันที พวกนางคำนับอำลาพร้อมกัน ตอนที่ออกไปก็ปิดประตูให้อย่างดี
ไม่ต้องอธิบายแล้วว่า ‘คืนนี้ไม่ไปไหนแล้ว’ หมายความว่าอย่างไร ใช่ว่าฉินเวยเวยจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย หน้าก้มหน้าก้มตาทันที
เหมียวอี้ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปตรงหน้านาง ฉินเวยเวยอึ้งไปครู่หนึ่ง เงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ ความคิดในหัวเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ชิงจวี๋เหมือนจะไม่เคยสอนว่าตอนเข้าห้องหอจะมีการทำแบบนี้ แล้วจะให้นางตอบสนองอย่างไรล่ะ? นางรู้สึกลนลานขึ้นมาทันที
เหมียวอี้ยิ้มตาหยีพร้อมถามว่า “เวยเวย จะเป็นสหายของข้าต่อไป หรือจะเป็นผู้หญิงของข้า?”
ฉินเวยเวยรู้ตัวทันที ว่าเขากำลังล้อนางเล่น เจตนาที่แท้จริงของการแปะมือเป็นสหายในปีนั้น เห็นได้ชัดว่าถูกเปิดโปงแล้ว ยิ่งทำให้นางเขินอายสุดๆ จึงเอ่ยเรียกเสียงเบาว่า “ท่านสามี!” แบบนี้เพียงพอที่จะแสดงที่จะแสดงท่าทีแล้ว
“จะให้หงเหมียน ลู่หลิ่วเข้ามาช่วยข้าถอดเสื้อผ้า หรือเจ้าจะทำเอง?” เหมียวอี้กางแขนสองข้างด้วยสีหน้าหยอกล้อ
เวลาแบบนี้จะให้คนอื่นช่วยได้ย่างไร ฉินเวยเวยกัดริมฝีปากด้วยความเขินอาย ยื่นมือเรียวงามทั้งคู่ที่สั่นเล็กน้อยออกไป เริ่มช่วยถอดเสื้อผ้าให้เหมียวอี้อย่างเก้ๆ กังๆ นางไม่เคยช่วยผู้ชายทำเรื่องแบบนี้มาก่อน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ชิงจวี๋ฝึกสอนนางอย่างรวบรัด ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหน
นางถอดเสื้อผ้าไปแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบตามขั้นตอน แล้วกลับมานั่งคุกเข่าช่วยถอดรองเท้าให้เหมียวอี้ ท่าทางที่ตื่นเต้นกังวลจนตัวสั่นแบบนั้น เหมียวอี้เห็นแล้วรู้สึกตลกมาก
ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่ได้เข้าห้องหอเป็นครั้งแรก แต่เขากับอวิ๋นจือชิวเคยทำเรื่องน่าอับอายกันตั้งแต่ก่อนเข้าห้องหอแล้ว ดังนั้นย่อมมองไม่เห็นความตื่นเต้นกังวลใดๆ จากตัวอวิ๋นจือชิว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าน่าสนุกมาก
ต่อมาพอเห็นฉินเวยเวยตัวสั่นตอนถอดเสื้อผ้าให้ตัวเอง ก็ยิ่งทำให้เหมียวอี้แทบจะหัวเราะออกมา
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถอดเสื้อผ้าให้ตัวเองอย่างไร สุดท้ายก็สวมแค่เสื้อผ้าชั้นในสีขาวบางมานั่งลงที่ขอบเตียงอย่างช้าๆ คลานขึ้นเตียงอย่างงุ่มงาม แล้วนอนเอนร่างกายที่เกร็งทื่ออยู่ข้างกายเหมียวอี้ หลับตารอให้ช่วงเวลานั้นมาถึง ไม่กล้าหันไปมองเหมียวอี้เลย
เหมียวอี้ที่กำลังนอนเอามือยันศีรษะมองนางหลุดขำอย่างอดไม่ได้ “เวยเวย ปกติเวลาเจ้าเข้านอน ตอนปีนขึ้นเตียงมือไม้อ่อนปวกเปียกแบบนี้ตลอดเลยเหรอ?”
“ข้ากังวลและหวาดกลัวค่ะ!” ฉินเวยเวยลืมตาสองข้าง แล้วพึมพำตอบเบาๆ
“พอผ่านคืนนี้ไป เจ้าก็ไม่กลัวแล้ว” เหมียวอี้ใช้มือลูบใบหน้าของนาง ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่านางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
นางกังวลหวาดกลัว แต่เขากลับช่ำชอง พอจูบเบาๆ ลงบนริมฝีปากแดงสวย ฉินเวยเวยก็รู้สึกแทบหยุดหายใจทันที หลับตาแน่นสนิท รู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าถูกถอดออกชิ้นแล้วชิ้นเล่า ตอนที่ผิวกายทั้งหมดสัมผัสกับอากาศ นางก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ภายใต้แสงเทียน เรือนร่างที่งามประณีต ผิวขาวบอบบางน่าทะนุถนอม เกลี้ยงเกลามีส่วนเว้าส่วนโค้ง หน้าอกอิ่มเอิบเต่งตึงคือจุดเด่นของนาง ยามร่างงามดุจหยกแสดงอยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ก็ควบคุมตัวเองไม่ไหวเช่นกัน
“ท่านสามี ข้ากลัว เห็นใจหน่อย…” ในช่วงเวลาสำคัญ เสียงเพ้อของของฉินเวยเวยถูกตัดด้วยเสียงครางแห่งความเจ็บปวด
ประตูของบ้านที่แร้นแค้นมีบุรุษมาเยือนเป็นครั้งแรก ดอกท้อเล็กๆ ผลิบานแดงฉานเป็นพิเศษ…
ที่ด้านนอกประตู หงเหมียน ลู่หลิ่วหูผึ่งฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้อง ทั้งสองได้รับคำสั่งจากชิงจวี๋ให้มา ‘แอบฟังหน้าห้องหอ’ เมื่อเสียงที่น่าอับอายดังขึ้น ทั้งสองก็หน้าแดงเช่นกัน รีบยืนตรงด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง เฝ้าหน้าประตูไว้ให้ดี ป้องกันไม่ให้มีคนบุกรุกเข้าไป
เมื่อเห็นประตูห้องนี้ปิด และเห็นหงเหมียน ลู่หลิ่วออกมาพร้อมกัน จือฉินกับจือซูที่เฝ้าอยู่อีกสองห้องก็สีหน้าเปลี่ยน หงเหมียนเองก็เชิดคางท้าทายอีกสองคน นับว่าเป็นการแก้เผ็ดเมื่อครู่นี้ สีหน้าของนางค่อนข้างอิ่มอกอิ่มใจ ทำเหมือนคนที่อยู่ในห้องหอเป็นตัวนางเองอย่างนั้นแหละ
ฮูหยินมีได้เพียงคนเดียว แต่อนุภรรยากลับมีสามคน ในฐานะที่เป็นคนข้างกายของเจ้านาย พวกนางย่อมหวังให้เจ้านายได้รับความเอ็นดูอยู่แล้ว การแย่งชิงความโปรดปรานคือธรรมชาติของผู้หญิง
หลังจากคลื่นลมพายุในห้องสงบลง เสียงสนทนาพึมพำที่ดังมาจากในห้องก็ยิ่งทำให้หงเหมียนกับลู่หลิ่วกลั้นขำ สองคนข้างในกำลังคุยกันเรื่องถ้ำล่องนิภา นายหญิงเหมือนจะถูกหยอกล้อหนักมาก พอนางแก้ตัวไปคำเดียว เสียงความเคลื่อนไหวที่ทำให้คนหน้าแดงก็ดังขึ้นอีก มีเสียงคนขอร้องให้ยกโทษให้…
พอถึงเที่ยงคืนแล้วยังไม่เห็นเหมียวอี้ออกมา จือฉินกับจือซูก็สีหน้าแย่มาก
จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง หงเหมียนมองดูสีของท้องฟ้า แล้วก็เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวในห้องอีกนิดหน่อย หลังจากกำชับลู่หลิ่วแล้ว ถึงได้ทำตัวเหมือนไก่ตัวผู้ที่ลำพองใจ เงยหน้าเชิดอกเดินออกจากบ้านไป ปล่อยให้ลู่หลิ่วเฝ้าอยู่คนเดียว
จือฉินพยักหน้าให้จือซู จากนั้นก็รีบเดินออกไปเช่นกัน
งานเลี้ยงเลิกราตั้งนานแล้ว ในจวนผู้การใหญ่ หยางชิ่งกำลังหนังถือหนังสืออยู่หลังโต๊ะยาว ส่วนจะอ่านเข้าหัวหรือไม่นั้น มีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่รู้ ชิงเหมยยืนเป็นเพื่อนอยู่จ้างๆ หันมองไปทางข้างนอกเป็นระยะ
ในลานบ้านด้านนอก ชิงจวี๋นั่งๆ ยืนๆ อยู่ในศาลา แล้วก็เดินไปเดินมาอย่างร้อนรนอยู่เป็นระยะ รอจนกระทั่งหงเหมียนมาถึง นางก็เดินเข้าไปรับทันที ดวงตาฉายแววสอบถาม
“ท่านสามีกับคุณหนูได้ร่วมห้องเป็นสามีภรรยากันแล้วเจ้าค่ะ” หงเหมียนถ่ายทอดเสียงตอบทันที
ชิงจวี๋โล่งใจแล้ว จากนั้นก็รีบนำนางเข้ามาในห้อง
หยางชิ่งที่กำลังถือหนังสืออ่านอยู่หลังโต๊ะยาวรีบเงยหน้า ชิงจวี๋พยักหน้าบอกเขา สีหน้าที่หยางชิ่งแบกความเครียดมาทั้งคืน ในที่สุดก็ผ่อนคลายลงแล้ว
หลังจากหงเหมียนคำนับแล้ว ก็รายงานว่า “ในคืนที่เข้าห้องหอ ท่านเขยค้างคืนกับคุณหนูค่ะ ไม่ได้จากไปไหน เมื่อคืนนี้คุณหนูผ่านไปได้ด้วยดีเจ้าค่ะ”
หยางชิ่งโล่งใจมาก ที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้เขาโมโหแทบแย่ นึกว่าตัวเองมีอำนาจไม่เท่าอันหรูอวี้จนทำให้ลูกสาวได้รับความอับอาย พอมาดูตอนนี้แล้ว กลับเป็นตัวเองที่คิดมากไป เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าเมื่อคืนนี้เหมียวอี้จะอยู่กับลูกสาวเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ได้ไปร่วมห้องกับอีกสองคนที่เหลือ ด้วยฐานะของอนุภรรยาทั้งสามคน แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็รู้แล้วว่าควรให้ความสำคัญกับใคร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้กระทั่งในคืนที่สำคัญขนาดนี้ เหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำให้ลูกสาวตนน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนคนอื่นจะพอใจหรือไม่พอใจ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัวพิจารณา อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาพิจารณาเมื่อคืนนี้
“ตบรางวัล!” หยางชิ่งวางหนังสือในมือแล้วเอียงหน้าพูดขัด ความหมายก็คือให้ตบรางวัลหนักๆ
ชิงเหมยนำแหวนเก็บสมบัติสองวงยื่นให้หงเหมียน แล้วสั่งว่า “อีกวงหนึ่งให้ลู่หลิ่ว”
หยางชิ่งบอกอีกว่า “หงเหมียน เจ้าจำไว้นะ ถ้าคุณหนูมีชีวิตที่ดี เจ้ากับลู่หลิ่วถึงจะมีชีวิตที่ดีได้ เข้าใจที่ข้าบอกมั้ย?”
หงเหมียนย่อมเข้าใจอยู่แล้ว นี่เป็นการบอกให้พวกนางทุ่มเทกายใจช่วยเหลือคุณหนูเมื่อไปอยู่ในสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตใหม่ นางเอ่ยรับทันที “เจ้าค่ะ!”
“ฟ้าสว่างแล้ว คุณหนูกับท่านเขยคงใกล้จะตื่นแล้ว รีบไปปรนนิบัติอาบน้ำเถอะ” ชิงเหมยกำชับอีก
หลังจากหงเหมียนออกไป ในที่สุดหยางชิ่งที่นั่งตรงนี้แทบทั้งคืนก็ลุกขึ้นแล้ว เดินเอามือไขว้หลังออกจากห้องหนังสือไป
ที่เรือนพักอีกแห่ง อันหรูอวี้และสามีที่ได้รับข่าวกลับสีหน้าแย่มาก ทั้งสองไม่มีทางจินตนาการได้ว่าผ่านคืนวันแต่งงงานไปได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อว่าจะนั่งเฝ้าเปลวเทียนจนดับมอดอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าเพียงลำพังโดยไม่ขยับไปไหน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนนี้ลูกสาวทั้งสองรู้สึกอย่างไร
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าใครสำคัญกว่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝนตกทั่วฟ้า อย่างน้อยเจ้าก็ทำตัวให้เหมือนเข้าห้องหอหน่อยสิ ไม่น่าเชื่อเลย…
“ไอ้จัญไรรังแกกันเกินไปแล้ว!” โอวหยางกวงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วหันขวับไปจ้องอันหรูอวี้ “ต่อไปยังหวังอีกเหรอว่ามันจะดีกับหลางหลางและหวนหวน? เป็นฝีมือของเจ้าทั้งนั้น!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่เฝ้าดูว่าผู้ชายคนอื่นกับลูกสาวตัวเองจะอยู่กันเป็นอย่างไร แต่เมื่อคืนมันคนละเรื่องกันเลย