“คุณชายสาม?” สี่อ๋องสวรรค์หลุดอุทานพร้อมกัน โค่วหลิงซวีถามเสียงต่ำว่า “ปู่สวรรค์ ท่านหมายความว่า คุณชายสามกลับมาแล้วเหรอ?”
เกาก้วน คนเดียวที่ยืนอยู่ข้างกายประมุขชิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้า “เรื่องนี้ก็ยังยืนยันไม่ได้”
ประมุขชิงกล่าวว่า “ถ้าเจ้าสามกลับมาจริงๆ ขอเพียงเขาปรากฏตัว ก็ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้ ท่านปู่สวรรค์ เหตุใดเจ้าจึงวินิจฉัยว่าเจ้าสามจะรู้สถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป แล้วทำไมถึงคิดว่าเขาสามารถจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปได้?”
“เมื่อครู่เพิ่งบอกว่าเป็นลูกน้องของเด็กชายหกลัทธิ ข้าน้อยเพียงตระหนักได้ในบางครั้ง ไม่กล้าแน่ใจทั้งหมดเช่นกัน” เซี่ยโห้วท่ากล่าว
“พูดออกมาได้เลย” ประมุขชิงกล่าว
อ๋องสวรรค์ทั้งสี่ก็ทำสีหน้าตั้งใจฟังเช่นกัน
เซี่ยโห้วท่าใช้มือขยี้เคราขาวพร้อมกล่าวอย่างลังเล “ฝ่าบาทคงจะจำได้ ว่าในปีนั้นคุณชายสามเดาทางหนีทีไล่สุดท้ายของเด็กชายหกลัทธิได้อย่างแม่นยำ จึงรีบไปดักไว้ ผลปรากฏว่าฆ่าเด็กชายหกลัทธิแต่กลับปล่อยลูกน้องของเด็กชายหกลัทธิให้ถอยเข้าไปในแดนอเวจี ได้ยินว่าในตอนนั้นเด็กชายหกลัทธิขอร้องวิงวอนคุณชายสาม ทำให้คุณชายสามใจอ่อนไปชั่วขณะ ถึงได้ปล่อยกากเดนของหกลัทธิไป ฝ่าบาทลองคิดดูสิ ฝ่าบาท คุณชายใหญ่และคุณชายสามล้วนอยากรู้สถานที่ผนึกจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปจากปากเด็กชายหกลัทธิ ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น คุณชายสามจะไม่ถือโอกาสถามสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้อย่างไร?”
ประมุขชิงเดินออกมาจากหลังโต๊ะยาว เดินอ้อมออกมาช้าๆ จนมาถึงข้างล่าง แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ในปีนั้นข้ากับพี่ใหญ่เคยถามเจ้าสามแล้ว ถามว่าเขาได้ถามสถานที่ผนึกหรือเปล่า แต่เจ้าสามไม่ได้บอก”
โค่วหลิงซวีถามอย่างเนิบนาบว่า “หรือว่าฝ่าบาทลืมไปแล้ว ในปีนั้นหลังจากรู้ว่าคุณชายสามปล่อยผู้เหลือรอดของหกลัทธิไป ท่านกับคุณชายใหญ่ก็เดือดดาลพอสมควร ถึงขั้นทะเลาะกับคุณชายสามด้วย และหลังจากถามว่าสถานที่ผนึกอยู่ที่ไหน เดิมทีก่อนหน้านี้คุณชายสามอาจจะอยากบอกก็ได้ บางทีอาจะเป็นเพราะหลังจากทะเลาะกันแล้ว คุณชายสามเกิดช่องว่างในจิตใจ จึงปิดบังความจริงไว้”
ประมุขชิจึงกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าสามจะปิดบังไม่ยอมบอก แต่เขาจะไม่รู้ถึงผลลัพธ์หลังจากพระปีศาจหนานโปหลุดพ้นออกมาเชียวเหรอ อีกฝ่ายจะปล่อยเขาไปได้เหรอ? ตามหลักเหตุผลแล้วต่อให้เขาจะปิดบังพวกเรา เขาก็คงไปทำลายจิตวิญญาณของพระปีศาจหนานโปก่อนแล้ว”
“นี่ก็คือจุดที่ข้าน้อยคิดรู้สึกว่าน่าสงสัยเหมือนกัน ดังนั้นข้าน้อยจึงไม่กล้ายืนยันว่าใช่คุณชายสามหรือเปล่า” เซี่ยโห้วท่ากล่าว
“ไม่ว่าตอนนี้จะพูดอะไรก็เป็นการคาดเดาทั้งนั้น!” ประมุขชิงหันตัวมา โบกมืชี้สตรีวัยกลางคนที่หดหัวตัวสั่นคลานไปตรงประตู “นางเคยเห็นพระปีศาจหนานโปใช่มั้ย แล้วพระปีศาจหนานโปนั่นหลุดออกมาหรือเปล่า ทำให้นางได้สติกลับมาก็จะรู้เอง ได้ยินว่าในมือปู่สวรรค์มีสมุนไพรฟื้นจิตวิญญาณสามต้นที่ได้มาเมื่อปีก่อนๆ เกรงว่าจะต้องให้ท่านปู่สวรรค์นำมาสิ้นเปลืองกับเรื่องเล็กๆ สักต้นแล้ว”
คนเป็นบ้ากับคนได้รับบาดเจ็บมีลักษณะต่างกัน ต่อให้พลังอิทธิฤทธิ์จะสูงกว่านี้ แต่ถ้าให้สมุนไพรเซียนทั่วไปช่วยก็ฟื้นฟูกลับมาได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นยาเทวดาสำหรับเยียวยาบาดแผลอย่างสมุนไพรเซียนซิงหัว ถ้ามาใช้กำโรคประเภทนี้ก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถึงแม้สมุนไพรเทพจะล้ำค่าหายาก แต่ก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องด่วน ตราบใดที่สามารถสืบถามที่มาที่ไปได้ สละใช้สมุนไพรเทพสักต้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
พูดจบก็พลิกฝ่ามือ สมุนไพรเทพสีเขียวมรกตเปล่งแสงระยิบระยับสูงประมาณหนึ่งนิ้วต้นหนึ่งลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา จากนั้นก็หันไปมองสตรีที่คลานอยู่ตรงประตู
ก่วงลิ่งกง อ๋องสวรรค์ก่วงพลันโบกมือ เกิดเสียงดังซวบ สตรีชุดดำไถลพื้นกลับมาทันที มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าเซี่ยโห้วท่า ในแววตาที่เลื่อนลอยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สมุนไพรเทพที่เปล่งแสงงดงามอยู่บนฝ่ามือเซี่ยโห้วท่าลอยลงช้าๆ ลอยไปหมุนวนเบาๆ เหนือศีรษะของสตรีวัยกลางคน ภายใต้การกระตุ้นจากพลังอิทธิฤทธิ์ แสงอันงดงามบนสมุนไพรเทพสีเขียวมรกตพ่นออกมา จู่ๆ ลำแสดงสายหนึ่งก็ส่องยิงลงด้านล่าง ครอบศีรษะสตรีคนนั้นเอาไว้
ทุกคนในตำหนักล้วนได้เห็นฉากนี้ พวกเขารออย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นพักใหญ่ แววตาที่เลื่อนลอยลอกแลกของผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆ กลับมากระจ่างชัดเหมือนเดิม สีหน้าหวาดกลัวบรรเทาลงไม่น้อย สายตาเริ่มมองสำรวจทางซ้ายและขวา เพียงแต่โดนอ๋องสวรรค์ก่วงควบคุมไว้ ร่างกายยังคงขยับไม่ได้
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ลำแสงที่ยิงออกจากสมุนไพรเทพสีเขียวมรกตก็หดกลับอย่างกะทันหัน เพียงแต่สมุนไพรเทพทั้งต้นหดเล็กลงหลายเท่า เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง แล้วบอกว่า “น่าจะหายดีแล้ว” จากนั้นก็พลิกฝ่ามือเก็บสมุนไพรเทพเอาไว้
อ๋องสวรรค์ก่วงเอาสองมือไขว้หลังเช่นกัน ส่วนสตรีวัยกลางคนคนนั้น หลังจากพบว่าร่างกายตัวเองเป็นอิสระแล้ว นางก็รีบลนลานลุกขึ้นมา พอหันมองคนที่อยู่รอบๆ พบว่าตรงหว่างคิ้วพวกเขามีสัญลักษณ์วรยุทธ์ที่กลายเป็นภาพจริง นางก็ตกใจไม่เบา ถามอย่างหวาดกลัวว่า “พวกเจ้าเป็นใคร?”
ฮ่าวเต๋อฟางพยักหน้าบอกว่า “สมุนไพรเทพของปู่สวรรค์มีสรรพคุณไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย สงสัยจะหายแล้วจริงๆ”
ตุ้ง! เซี่ยโห้วท่ากระแทกไม้เท้าในมือลงกับพื้น แล้วตะคอกว่า “ปีศาจต่ำต้อยบังอาจ เห็นราชันสวรรค์แล้วยังกล้าโอหัง!”
ราชันสวรรค์? สตรีชุดดำทสีหน้าประหลาดใจสงสัยทันที
“ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด!” ประมุขชิงยกมือเบาๆ “เกาก้วน พานางไปดูหน่อย”
“ขอรับ!” เกาก้วนเอ่ยรับคำสั่งแล้วเดินเข้ามาใกล้ ดึงแขนสตรีคนนั้นเอาไว้ แล้วลากออกไปนอกตำหนักดาราจักร
พวกประมุขชิงหันตัวมามองพร้อมกัน
ผ่านไปไม่นาน เกาก้วนก็ดึงสตรีคนนั้นกลับมาอีก ในตอนนี้นางตกใจจนหน้าซีดขาวแล้ว ก่อนหน้านี้นางยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่พอถูกดึงออกมาดู นางก็เห็นหงส์ร่อนมังกรรำ บรรยากาศที่เป็นมงคล ตำหนักใหญ่โอ่อ่าที่สร้างจากลูกแก้วพลังปรารถนาทั้งหลัง พอเห็นทหารยามเกราะแดงมากมายขนาดนั้น บวกกับเสียงตะคอกของเซี่ยโห้วท่าที่อยู่ตรงหน้า ก็มีหรือที่จะไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ตัวเองมาอยู่ที่วังสวรรค์แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นราชันสวรรค์!
ในตอนนี้เมื่อเห็นประมุขชิงที่สวมชุดคลุมมังกรยืนอยู่ตรงกลาง นางก็แทบจะเข่าอ่อนโดยสัญชาตญาณ เสียงเข่ากระแทกพื้นดังตุ้บ หน้าผากแนบพื้นไม่ยอมเงยขึ้น ได้แต่กล่าวเสียงสั่นว่า “ปีศาจต่ำต้อยคารวะราชันสวรรค์ ขอให้ฝ่าบาทอายุยืนนาน!”
คนที่เหลือมองตามประมุขชิงที่เดินช้าๆ เข้ามาใกล้นาง ประมุขชิงกล่าวเสียงเรียบว่า “เงยหน้าขึ้นมา”
สตรีชุดดำเงยหน้าช้าๆ อย่างสั่นเทิ้ม อารมณ์หวาดกลัวในดวงตานั้นยากจะปิดบัง ประมุขชิงกลับถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องกลัว เจ้าชื่อว่าอะไร มาจากที่ไหน?”
สตรีชุดดำตอบเสียงสั่นว่า “ปีศาจต่ำต้อยชื่อหูลี่ลี่ มาจากดาวรกร้างในเขตสถานที่ไร้ระเบียบ”
ประมุขชิงหันกลับมามองแวบหนึ่ง เกาก้วนที่อยู่ข้างๆ หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครบางคนทันที และเหมือนจะได้รับคำตอบบางอย่างด้วยความเร็ว เกาก้วนตอบว่า “ที่ดาวรกร้างในเขตสถานที่ไร้ระเบียบมีปีศาจจิ้งจอกดำสามหางที่ชื่อว่าหูลี่ลี่จริงขอรับ วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า สอดคล้องกับนางพอดี”
ประมุขชิงลดเกียรติตัวเองถามนางต่อไป “หูลี่ลี่ ก่อนหน้านี้ทำไมเจ้าถึงเป็นบ้าไปแล้วล่ะ?”
“บ้าไปแล้ว…” หูลี่ลี่อึ้งทันที เหมือนจะนึกย้อนอะไรบางอย่างได้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ส่ายหน้าตอบว่า “ปีศาจต่ำต้อยไม่ทราบ ปีศาจต่ำต้อยรู้เพียงว่าก่อนหน้านี้ปวดหัวเหมือนจะระเบิด พอได้สติกลับมาก็เจอฝ่าบาทแล้วเพคะ”
“ตอนที่เจ้าเป็นบ้าไป ปากเจ้าเอาแต่ตะโกนว่าพระปีศาจหนานโป เป็นเพราะอะไรกันแน่?” ประมุขชิงถาม
เซี่ยโห้วท่าที่อยู่ข้างๆ ตะคอกตามมาว่า “ห้ามปิดบังอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น…”
ประมุขชิงที่กำลังจ้องหูลี่ลี่ยกมือขึ้นเล็กน้อย เซี่ยโห้วท่าทำได้เพียงหยุดขู่เข็ญ ที่จริงเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่กังวลที่สุดว่าพระปีศาจหนานโปจะกลับมาอีก ผลที่ตามมาน่ากลัวเกินไปสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว ดังนั้นจึงค่อนข้างร้อนใจ
แต่ในขณะที่หูลี่ลี่มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ร่างกายก็เริ่มสั่นอีกครั้ง ในดวงตามีน้ำตาเม็ดใหญ่เอ่อล้นออกมา น้ำตาไหลพราก กล่าวด้วยเสียงสะอื้นเศร้าโศกแบบขาดๆ หายๆ ว่า “เขาเป็นมารร้าย”
ทุกคนเบิกตากว้างทันที ประมุขชิงมองซ้ายมองขวา เซี่ยโห้วท่าอดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “เจ้าเคยเห็นพระปีศาจหนานโปเหรอ?”
หูลี่ลี่พยักหน้า
“เขาหน้าตาเป็นยังไง?” เซี่ยโห้วท่าถามอีก
“หัวโล้น ตัวสูงมาก คลุมจีวรเฉียง เปลือยไหล่ข้างเดียว เปลือยแขนสองข้าง เปลือยเท้าสองข้าง” หูลี่ลี่ตอบ
คนอื่นๆ ยังดีอยู่ แต่ประมุขชิงกับเซี่ยโห้วท่ากลับทำสีหน้าจริงจังแล้ว คนอื่นไม่เคยเห็นพระปีศาจหนานโป แต่พวกเขาสองคนกลับเคยเห็น โดยเฉพาะเซี่ยโห้วท่าที่สนิทกับพระปีศาจหนานโป รู้ว่าสิ่งที่หูลี่ลี่บรรยายถึงก็คือลักษณะท่าทางของพระปีศาจหนานโป
พอคนอื่นเห็นปฏิกิริยาของทั้งสอง ก็รู้ทันทีว่าปีศาจจิ้งจอกพูดสอดคล้องไปแปดเก้าส่วน
เซี่ยโห้วท่าเหมือนจะยังไม่ค่อยเชื่อ ถามอีกว่า “ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก ใบหน้าของเขาเป็นอย่างไร?”
หูลี่ลี่ส่ายหน้าร้องไห้ “มองเห็นไม่ชัดค่ะ”
“เจ้าเคยเห็นไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงบอกว่ามองเห็นไม่ชัด?”
“ทั้งตัวเขาเหมือนรูปหล่อพระพุทธรูปในวัด ทั้งตัวราวกับทาด้วยทอง เปล่งแสงสีทอง เห็นชัดแค่รูปลักษณ์ภายนอกคร่าวๆ มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงไม่ชัดค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ พวกเขารวมทั้งประมุขชิงก็สบตากันแวบหนึ่ง สุดท้ายสายตาของทุกคนก็ไปรวมอยู่ที่เซี่ยโห้วท่า ในดวงตาฉายแววฉงนสนเท่ห์
เซี่ยโห้วท่ากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นั่นก็คือธรรมลักษณ์จิตวิญญาณของเขา ตอนแรกที่โดนเด็กชายหกลัทธิควบคุมไว้ข้าก็เคยเห็นแล้ว คนที่เคยเห็นตอนอยู่ตรงนั้นมีแค่พวกข้าเจ็ดคน คนนอกน่าจะไม่รู้ ดูเหมือนปีศาจจิ้งจอกจะไม่ได้โกหก ดูท่าแล้วพระปีศาจหนานโปคงจะยังไม่มีกายหยาบ!”
เมื่อได้รับการยืนยันแล้ว โค่วหลิงซวีก็พูดแทรกว่า “หูลี่ลี่ ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าเห็นเขาที่ไหน?”
หูลี่ลี่ “ในหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่หลบแสงหลบลมได้ดี ในเหวลึกด้านล่างมีวัดที่แปลกประหลาดมาก เป็นวัดที่ฝังเลี่ยมอยู่ในหน้าผา เขาอยู่ในวัดแห่งนั้น แต่เขาไม่ได้ออกมา ทุกครั้งที่เดินไปถึงประตูวัดแล้วจะกระโดดออกมา ในวัดก็จะมีเสียงระฆังดังพักหนึ่ง ทำให้เขาสะเทือนกลับไป เขายืนดูพวกเราได้จากประตูวัดเท่านั้น พวกเราก็ต้องไปยืนตรงประตูวัดเท่านั้นถึงจะมองเห็นเขาได้”
พวกเขามองหน้ากันเลิกลั่ก ประมุขชิงเอามือขยี้เคราพร้อมบอกว่า “ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าจิตวิญญาณของเขายังถูกผนึกอยู่ ยังไม่ได้หลุดออกมา”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจเบาๆ และพยักหน้าตามเช่นกัน
โค่วหลิงซวีถามอีกว่า “วัดกับหุบเขานั่นอยู่ที่ไหน?”
“ปีศาจต่ำต้อยก็ไม่ทราบ ตอนที่ปีศาจต่ำต้อยกำลังโดนไล่สังหาร ตอนที่หลงทางอยู่ในอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จักถึงได้ล่วงล้ำเข้าไปที่นั่น” หูลี่ลี่ตอบ
“งั้นเจ้าก็บอกมาให้ละเอียดว่าไปได้อย่างไรและกลับมาได้อย่างไร” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าว
หูลี่ลี่ย่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง เล่ารายเอียดที่มาที่ไปให้ฟังทันที
ตามที่นางบอกก่อนหน้านี้ ตอนที่นางโดนไล่สังหาร นางบังเอิญหลงทางเข้าไปที่นั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ในตอนนั้นนางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็เห็นเป็นดาวเคราะห์ที่สวยงามดวงหนึ่ง เมื่อตรวจดูแผนที่ดาวก็พบว่าเป็นสถานที่ที่ยังไม่ถูกค้นพบ ยังนึกว่าตัวเองได้ค้นพบดาวดวงใหม่แล้ว หลังจากนางเข้าไปและเหยียบลงพื้น ก็พบทันทีว่าทั้งหมดล้วนเป็นภาพมายา และบนดาวดวงนั้นก็มีพลังงานลึกลับกลุ่มหนึ่ง เป็นพลังงานที่ทำให้พลังอิทธิฤทธิ์ของคนสูญเสียการควบคุม ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงคนสวดมนต์ ทำให้อดไม่ได้ที่จะเดินไปตามเสียงสวดมนต์นั้น สุดท้ายนางก็เดินเข้าสู่ฝันร้ายที่ก่อกวนนางทั้งชีวิต
พอฟังถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็กล่าวเสียงต่ำว่า “มนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโป ทำลายกายหยาบกับพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังอาศัยจิตวิญญาณใช้เคล็ดวิชาได้อีก!”
ประมุขชิงโบกมือ บอกใบ้ไม่ให้เขาพูดอะไร แล้วก็ให้หูลี่ลี่พูดต่อไป
…………………………