หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี พระหนุ่มน้อยกำลังสวดมนต์เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี ในที่สุดพระชราก็หลุดพ้นจากความคิดหมกมุ่น ได้สติกลับมาแล้ว
ความมุมานะความพากเพียรและความยึดมั่นของพระหนุ่มน้อยไม่ได้สูญเปล่า เขาแก้มัดพระชราด้วยความปลื้มปีติยินดี และพระชราก็ยืนมองพวกเราที่กำลังสวดมนต์อย่างพร้อมเพรียงกันอยู่บนศาลา ฟังเสียงสวดมนต์ที่ดังไม่ขาดสายอยู่ในหุบเขา แล้วก็มองพระปีศาจหนานโปที่ถูกขังอยู่ในวัดโวยวายว่า “อามิตาพุทธ” จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิสวดมนต์บทนั้นด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ที่ดังก้องทั้งวันทั้งคืนอยู่ในหุบเขา พระปีศาจหนานโปเหมือนจะได้รับความทรมานอย่างเต็มที่ ร้องโอดครวญทั้งวันทั้งคืน บางครั้งก็ร้องไห้อย่างปวดใจ บางครั้งก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง บางครั้งก็คำรามอย่างเศร้าโศก
ทำซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้อยู่หลายร้อยปี โอกาสครั้งละหนึ่งพันปีนั่นมาถึงอีกแล้ว
โอกาสมาถึงแล้ว ราวกับเป็นฟางช่วยชีวิต ทุกคนพากันหนีอย่างบ้าคลั่ง พระหนุ่มน้อยก็ดึงพระชราขึ้นมาเช่นกัน ตะโกนเสียงดังให้เขาหนีไป แต่พระชรากลับไม่ยอมไป หยิบไม้ตีกระบี่ของพระหนุ่มน้อยขึ้นมาแทน เขาตีลงบนหลังคาวัดครั้งแล้วครั้งเล่า ตีให้เสียงระฆังดังในวัด
พวกเราบางส่วนที่เหาะขึ้นฟ้ามาแล้วมองลงไปถึงได้เข้าใจ ว่าพระชรากำลังเสียสละตัวเองหยุดยั้งพระปีศาจหนานโป ไม่ให้โอกาสพระปีศาจหนานโปใช้เคล็ดวิชา สร้างโอกาสให้พวกเราหนีเอาชีวิตรอด ไม่อย่างนั้นถ้าโอกาสนี้ผ่านไปแล้ว พวกเราก็หนีไม่พ้นอยู่ดี จะถูกเรียกกลับไปเหมือนครั้งก่อน
พวกเราเห็นพระหนุ่มน้อยฉุดดึงพระชราสุดชีวิต เพื่อที่จะหนีเอาชีวิตรอด พวกเราแทบจะไม่สนใจพวกเขาเลย มีเพียงปีศาจสาวร่วมทางของพระหนุ่มน้อยที่เหาะกลับลงไปด้านล่างอีก ไม่ได้หนีออกมาพร้อมกับพวกเรา
พอพูดถึงตรงนี้ หูลี่ลี่ก็มีสีหน้าเศร้าสลดและหยุดพูด
คนในตำหนักสบตากันแวบหนึ่ง แล้วประมุขชิงก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “แล้วศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นไม่ได้หนีออกไปเหรอ?”
หูลี่ลี่ตอบว่า “น่าจะไม่ได้หนีเพคะ เพื่อที่จะช่วยให้พวกเราหลุดพ้น พวกเขาน่าจะอยู่เพื่อควบคุมพระปีศาจหนานโปต่อไป ไม่อย่างปีศาจต่ำต้อยผู้นี้คงไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฝ่าบาท”
คนในตำหนักส่ายหน้าปลงอนิจจัง โค่วหลิงซวีกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ความดื้อรั้นของคนที่ออกบวช บางครั้งก็ทั้งน่านับถือทั้งน่าถอนหายใจจริงๆ!”
“คนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว ถ้าเหลือพวกเขาไว้สามคน อาจารย์และลูกศิษย์ควรจะหนีไปได้ในครั้งเดียว ถึงอย่างไรมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโปก็ไม่ส่งผลต่อสองคนนั้น เพียงแต่เมื่อพลาดโอกาสครั้งล่ะหนึ่งพันปีนั้นไปแล้ว ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนพระปีศาจหนานโปนั่นไปอีกหนึ่งพันปี ทั้งยังขาดอานุภาพเสียงสวดมนต์ที่เกิดจากการรวมพลังของคนกลุ่มใหญ่คอยควบคุม อาศัยความสามารถของพระปีศาจหนานโป ก็ไม่รู้ว่าศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นจะยังเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือเปล่า” เซี่ยโห้วท่ากล่าว
ฟงัจากที่พวกเขาพูด ปีศาจโลหิตแทบจะไม่มีตัวตนอะไรสำหรับพวกเขาเลย
“แล้วเจ้าเป็นบ้าได้ยังไงล่ะ?” ฮ่าวเต๋อฟางถาม
หูลี่ลี่ตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้วรึเปล่า จำได้เพียงว่าตัวเองหนีออกมาไกลมากแล้ว แต่จู่ๆ ในหัวก็มีเสียงสวดมนต์ของพระปีศาจหนานโปดังขึ้นอีก คำว่า ‘อภัย’ ที่พระปีศาจหนานโปเปล่งออกมาดังก้องอยู่ในหัวข้า ในหัวข้าเต็มไปด้วยภาพพระปีศาจหนานโปยืนอยู่ตรงประตูวัด คนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่ทราบเช่นกัน หลังจากได้สติกลับมาแล้วข้าก็เห็นเพียงฝ่าบาทและพวกท่าน”
“เจ้ายังจำเส้นทางไปสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้มั้ย?” ก่วงลิ่งกงถาม
หูลี่ลี่คุกเข่าส่ายหน้า “ตอนที่ข้าไปที่นั่นข้าหลงทางอยู่ในดาราจักร เลยล่วงล้ำเข้าไปที่นั่นโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนที่หนีออกมาก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองสามารถหนีออกมาได้ ข้าจำได้ไม่ชัดเจนว่าตัวเองกลับมาได้อย่างไร ไม่ทราบเส้นทางค่ะ”
พวกเขาได้ยินแล้วขมวดคิ้ว อิ๋งจิ่วกวงถามว่า “แล้วคนมากมายที่หนีออกมาพร้อมเจ้าล่ะ ไปไหนกันหมดแล้ว?”
หูลี่ลี่ส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ทราบค่ะ ตอนนั้นหลังจากทุกคนหนีออกจากดาวเคราะห์ดวงนั้นแล้ว ก็กระจัดกระจายเหมือนผึ้งแตกรัง ไม่ทันได้นัดอะไรกันก่อน แทบจะไปกันคนละทิศคนละทาง ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครไปที่ไหนบ้าง จะทราบได้อย่างไรว่าไปที่ไหน”
อิ๋งจิ่วกวงถอนหายใจช้าๆ “ดาราจักรนิรนาม คนมากมายขนาดนั้น ที่กลับมาได้อย่างราบรื่นคงจะมีไม่กี่คน หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะเป็นบ้าเหมือนนางหรือเปล่า ถ้าอยากจะหาสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปให้พบอีกก็ยากแล้ว”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นอย่างที่นางบอก ปีศาจโลหิตเคยคุยกับพระปีศาจหนานโปมาก่อน บอกว่านางกับพระหนุ่มน้อยนั่นได้รับคำชี้แนะถึงได้ไปที่นั่น ไม่เหมือนนางที่ล่วงล้ำเข้าไปมั่วๆ แล้วก็พระชราคนนั้นอีก เขาหาสถานที่ผนึกพบได้อย่างไร ทั้งศิษย์และอาจารย์ล้วนไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่น อาจจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่า หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีคนรู้จักสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป ขอเพียงหาให้พบว่าใครชี้แนะพระหนุ่มน้อยนั่น ก็จะหาสถานที่ผนึกเจอแล้ว!”
“ไม่มีเบาะแสเลยสักนิด แล้วจะไปหาคนที่ชี้บอกทางพระหนุ่มน้อยได้จากที่ไหน?” โค่วหลิงซวีถามเขา
สุดท้ายทุกคนก็แทบจะมองไปที่ประมุขชิงที่เป็นเจ้าบ้านของตำหนักสวรรค์พร้อมกัน ดูว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
ประมุขชิงเอามือไขว้หลังและเงยหน้าเล็กน้อย เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เห็นเขาก้มหน้าจ้องหูลี่ลี่ แล้วถามว่า “เจ้าเริ่มเดินทางจากที่ไหนจึงไปอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จักได้ ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเจอสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป?”
หูลี่ลี่ตอบว่า “ในปีนั้นที่ข้าโดนไล่สังหาร ข้าหนีจากน่านฟ้าเถาะติงออกไปถึงอาณาเขตดาวที่ไม่รู้จัก หลังจากหลงทางก็เดินทางร่อนเร่ไปทั่วดาราจักรเป็นเวลาสิบกว่าปี สุดท้ายถึงได้ล่วงล้ำเข้าไปยังสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป”
“เป็นน่านฟ้าเถาะติงอีกแล้ว!” เซี่ยโห้วท่าพึมพำเสียงต่ำ มองดูคนที่เหลือ พบว่าคนอื่นกำลังต่างคนต่างทำสีหน้าครุ่นคิด
ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้หูลี่ลี่ก็ถูกพบตัวที่น่านฟ้าเถาะติง ตอนก่อนไปก็อยู่ที่น่านฟ้าเถาะติง พอกลับมาแล้วก็โผล่ที่น่านฟ้าเถาะติงอีก ความเชื่อมโยงที่อยู่ในนี้ควรค่าให้ครุ่นคิด
โค่วหลิงซวีถามอีกว่า “หลังจากเจ้าหนีออกจากสถานที่ผนึก จนกระทั่งวันนี้เป็นเวลาเท่าไรแล้ว?”
หูลี่ลี่ก็จำได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน ทำได้เพียงใช้นิ้วนับรอบโคจรของอวัยวะในร่างกาย สุดท้ายก็คำนวณเวลาจากอัตราความเร็วของการแก่ชรา แล้วตอบว่า “ตั้งแต่ออกจากสถานที่ผนึกมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ใช้เวลาไปแล้วประมาณห้าปีค่ะ”
โค่วหลิงซวีหรี่ตากล่าวว่า “ตอนไปใช้เวลาสิบกว่าปี ตอนกลับใช้เวลาเพียงห้าปี…”
“ตอนที่นางไปนางหลงทาง หนีเพ่นพ่านไปทั่วดาราจักร ระหว่างทางมีอ้อมบ้างก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ตอนกลับอาจจะกลับโดยใช้ทางตรงก็ได้” อิ๋งจิ่วกวงกล่าว
ดังนั้นพวกเขาจึงหันกลับไปมองประมุขชิง
เห็นเพียงประมุขชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “วิธีการที่เหมาะสมที่สุดก็คือรอโอกาสหนึ่งพันปีรอบต่อไป ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พระศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นก็น่าจะกลับมาแล้ว ถ้าเจอพระกับลูกศิษย์ก็น่าเจอเส้นทางไปที่นั่น แต่จะเอาความหวังไปฝากไว้กับสิ่งเดียวไม่ได้ จะรอต่อไปแบบนี้โดยเสียเวลาเปล่าไม่ได้ด้วย อิ๋งจิ่วกวง ฮ่าวเต๋อฟาง ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวี!”
ทั้งสี่ยืนเรียงแถว แล้วกุมหมัดเอ่ยรับ “ขอรับ!”
สี่อ๋องสวรรค์เหรอ? หูลี่ลี่ที่กำลังคุกเข่าได้ยินแล้วตกใจ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นท่านเหล่านี้มาอยู่ตรงหน้าตัวเอง
ประมุขชิงกล่าวด้วยแววตาวูบไหว “เมื่อก่อนยังไม่มีเบาะแสก็ยังไม่เป็นไร ในเมื่อมีเบาะแสแล้วก็จะปล่อยไปง่ายๆ ไม่ได้ พวกเจ้าคงจะรู้ว่าถ้าพระปีศาจหนานโปกลัยมาอีกครั้งแล้วจะมีผลอะไรตามมา ข้าสั่งให้พวกเจ้าทั้งสี่ดึงกำลังพลของตัวเองมาคนละห้าล้าน ข้าจะดึงกำลังพลจากกองทัพองครักษ์มาอีกห้าล้าน แล้วกระจายกำลังจากจุดที่หูลี่ลี่ออกมาจากน่านฟ้าเถาะติงในปีนั้น ค้นหาให้ข้า ค้นหาทุกฝีก้าว!”
“รับทราบ!” หลังจากทั้งสี่เอ่ยรับแล้ว ฮ่าวเต๋อฟางก็กุมหมัดคารวะอีก “ฝ่าบาท เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ก็จะต้องมีข้ออ้างอะไรสักหน่อยหรือเปล่าขอรับ ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้คนคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ถึงอย่างไรก็ไม่สะดวกจะให้ข่าวนี้เล็ดรอดออกไป”
ประมุขชิงตอบว่า “บอกแค่ว่าทางนั้นมีคนพบดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยจำนวนมาก ไปในนามของการบุกเบิกอาณาเขตใหม่!”
พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วย ประมุขชิงหันกลับมาบอกเกาก้วนอีกว่า “ส่งนางไปที่แดนสุขาวดี บรรยายหน้าตาของพระทั้งสองให้ชัดเจน แล้วให้ทางนั้นตรวจสอบประวัติที่มาที่ไปของพระสองคนนั้นสักหน่อย”
“รับทราบ!” เกาก้วนเอ่ยรับคำสั่ง
ดาวเทียนหยวน ร้านค้าสมาคมวีรชน หวงฝู่จวินโหรวที่อยู่ในห้องนอนบนตึกเก็บระฆังดารา นางกัดริมฝีปาก ทำท่าทางเหมือนทั้งรักทั้งแค้น
จู่ๆ เหมียวอี้ก็เป็นฝ่ายติดต่อนางก่อน นัดนางไปเจอกันนอกเมือง สำหรับคนทรยศคนนั้น หวงฝู่จวินโหรวไม่รู้จริงๆ ว่าจะด่าอย่างไรดี จะลืมก็ลืมไม่ลง จะตัดก็ตัดไม่ขาด และที่จริงนางก็คิดวนเวียนอยู่ตลอดว่าจะติดต่อเขาไปดีมั้ย นางเองก็มีธุระจะติดต่อเขาเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน
นางนั่งส่องกระจกอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เดิมทีจะหวีผมแต่งตัวนิดหน่อยเท่านั้น แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนความคิด ไม่แต่งหน้าแต่งตัวแล้ว เปลี่ยนเป็นปลอมตัวแทน เสร็จแล้วถึงได้ออกไป
พอออกจากเมืองมาถึงกลางภูเขาที่อยู่ไกลจากตัวเมืองนาง ก็ถึงยอดเขาแห่งหนึ่งที่นัดกันไว้แล้ว ขณะกำลังมองซ้ายมองขวา เงาคนคนหนึ่งก็กระโดดออกมาจากพุ่มไม้หนา ถ้าไม่ใช่เหมียวอี้แล้วจะเป็นใครไปได้
หวงฝู่จวินโหรวยกมือถอดเครื่องปลอมตัวบนใบหน้าออกแล้วเช่นกัน จงใจหันตัวไปอย่างเย็นชา แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “เจ้ากับข้าตัดขาดกันแล้ว ทำไมยังมาหาข้าอีก?”
พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็เก้อเขินเล็กน้อย เขาตัดสินใจว่าจะไม่มาหาผู้หญิงคนนี้อีกแล้วจริงๆ แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต นึกไม่ถึงว่ายังต้องขอให้นางช่วย เขาเองก็ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ทำให้นางขุ่นเคืองใจ ถ้าติดต่อกับนางผ่านระฆังดารา ก็อาจจะขอให้ช่วยไม่สำเร็จ เลยต้องมาด้วยตัวเองสักเที่ยว
พอเดินมาถึงตรงหน้านาง เขาก็กระแอมแล้วบอกว่า “ตรงนี้ไม่ใช่ที่คุยกัน เปลี่ยนที่คุยกันได้มั้ย ที่ไหล่เขาตรงนั้น ข้าขุดถ้ำไว้เรียบร้อยแล้ว”
หวงฝู่จวินโหรวเอียงหน้าเหล่ตามอง “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง?”
เหมียวอี้จึงบอกว่า “จวินโหรว ก่อนหน้านี้ถ้ามีจุดไหนที่ข้าทำไม่ถูก เจ้าเป็นผู้ใหญ่ควรจะใจกว้าง อย่าเก็บมาใส่ใจเลย ถือว่าข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษเจ้าตรงนี้เลย” พูดจบก็โค้งกายกุมหมัดคารวะ
หวงฝู่จวินโหรวเบี่ยงตัวหลบ “ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” ดวงตางามชำเลืองซ้ายขวา “อนุภรรยาคนนั้นของเจ้าล่ะ ถ้าให้นางเห็นเจ้ากับข้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดกันได้”
เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดจาอ่อนโยนกับนางอย่างไร สุดท้ายก็ยื่นมือมาคว้าแขนนางเดินออกไปเลย
“เอ๊! เจ้าทำอะไร อย่ามาฉุดกระชาก…” ปากหวงฝู่จวินโหรวตำหนิ แต่ก็ยังกึ่งผลักไสกึ่งตามเขาเข้าไปในถ้ำตรงไหล่เขาแล้ว
และบนภูเขา เหยียนซิวก็ปรากฏตัวเช่นกัน กำลังสังเกตการณ์รอบๆ
ในถ้ำภูเขา เหมียวอี้ดึงหวงฝู่จวินโหรวเข้ามากอดแล้ว เขาประกบจูบบนริมฝีปากนาง อุดปากนางเอาไว้
หวงฝู่จวินโหรวผลักเขาสองทีแต่ก็ผลักไม่ออก จึงใช้แขนสองข้างคล้องคอเขาแล้วตอบสนองอย่างเร่าร้อนเสียเลย
ไม่ง่ายเลยกว่าทั้งสองจะผละออกจากกัน หวงฝู่จวินโหรวมองเขาด้วยแววตาคับแค้นเล็กน้อย แล้วถามเบาๆ ว่า “อนุภรรยาของเจ้าสวยกว่าข้าอีก ยังจะมาหาข้าอีกทำไม?”
เหมียวอี้กำลังร้อนใจ ไม่อ้อมค้อมกับนางเช่นกัน ถามตรงๆ เลยว่า “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะมีธุระจะให้เจ้าช่วย จวินโหรว เจ้าตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์เถอะ ปีศาจโลหิตอยู่ที่ไหน?”
หวงฝู่จวินโหรวทำท่าเหมือนตกใจ “จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังเอาแต่คิดจะไปหาเรื่องนางอยู่อีกเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้าอย่าไปแตะต้องปีศาจโลหิตอีกเลย เมื่อไม่นานมานี้ ทางตำหนักสวรรค์เพิ่งจะมาหาสมาคมวีรชน แล้วคนในบ้านก็มาหาข้าอีก กำลังสืบข่าวเรื่องปีศาจโลหิต ถึงขั้นถามถึงเจ้าด้วย”
ในทางตรงกันข้าม ถึงคราวที่เหมียวอี้จะตกใจบ้างแล้ว เขาถามว่า “อยู่ดีๆ ตำหนักสวรรค์จะสืบเรื่องปีศาจต่ำต้อยไปทำไม แล้วทำไมถึงดึงข้าไปเกี่ยวด้วยล่ะ?”
…………………………