พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 931

 ครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น

ส่งตัวเข้าหอคืนแรก ได้กลายเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง ขั้นตอนในการกลายเป็นภรรยาของนางช่างหวานชื่น

เป็นไปไม่ได้ที่จะนอนอยู่บนเตียงไปทั้งชีวิต การเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืนนี้ ทำให้ฉินเวยเวยไม่ตื่นเต้นกังวลเหมือนตอนแรกแล้ว นางช่วยเหมียวอี้ใส่เสื้อผ้าอย่างเอาใจใส่ มือไม้ก็ไม่สั่นเหมือนตอนที่ได้สัมผัสผู้ชายเป็นครั้งแรกอีก ให้ความรู้สึกว่าเป็นธรรมชาติขึ้นหลายส่วน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวานซึ้ง เปลี่ยนแปลงไปเพราะได้เป็นภรรยาของใครบางคนแล้ว

หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมยาวของนางยังสยายคลุมบ่า แต่กลับช่วยจัดแต่งทรงผมให้เหมียวอี้อย่างจริงจังและละเอียดรอบคอบ เมื่อเกล้าผมเสร็จแล้วก็รับปิ่นปักผมจากมือหงเหมียนมาปักที่มวยผมให้เหมียวอี้

เมื่อก่อนนางก็หวีผมให้ผู้ชายไม่เป็น เพิ่งได้รับการฝึกสอนอย่างรวบรัดจากชิงจวี๋ก่อนวันแต่งงานเช่นกัน

หงเหมียนและลู่หลิ่วยืนถือถาดรองอยู่ข้างๆ บนใบหน้าพวกนางแฝงไปด้วยรอยยิ้ม จินตนาการได้เลยว่าเมื่อคืนนี้คุณหนูจะต้องมีความสุขมากแน่นอน ความหวานซึ้งยังแขวนอยู่บนใบหน้าอยู่เลย แววตาที่มองเหมียวอี้ก็ดูออดอ้อนออเซาะ ทั้งสองรู้สึกปลื้มใจแทนฉินเวยเวยเช่นกัน

จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นฉินเวยเวยนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีหงเหมียน ลู่หลิ่วช่วยแต่งตัวทำผมให้ ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนยิ้มตาหยีมองอยู่ข้างๆ

ในกระจก ฉินเวยเวยสบตากับเหมียวอี้อยู่เป็นระยะ ทำให้ดวงตางามวูบไหวเป็นระลอกคลื่น แฝงไปด้วยความรักความอ่อนโยน บางครั้งก็หลบสายตา มีทั้งความเขินอายและความหวานซึ้งเจือปน ใบหน้างามแดงระเรื่อ

หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้ว ก่อนที่จะออกไปข้างนอก ลู่หลิ่วก็รีบเก็บผ้าปูเตียงไปทิ้ง เพราะบนนั้นทิ้ง ‘ร่องรอย’ ของเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เอาไว้ นั่นคือสิ่งที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉินเวยเวยเช่นกัน ย่อมไม่สะดวกจะให้คนนอกเห็น เมื่อเดินออกจากประตูไปก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว

เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะที่นี่เป็นเพียงห้องหอชั่วคราว ก็ไม่มีทางเลือก เพื่อให้เข้าห้องหอได้สะดวก ทำแบบนี้ถึงจะให้อนุภรรยาสามคนอยู่รวมกันได้ เมื่อผ่านคืนนี้ไปทั้งสามคนก็จะอยู่เรือนพักคนละหลังแล้ว ไม่มาเบียดรวมอยู่ด้วยกันอีก

เมื่อคู่รักทางฝั่งนี้เดินออกมา จือฉินกับจือซูที่เฝ้าอยู่ด้านนอกทั้งคืนก็รีบหันไปส่งสัญญาณบอกคนในห้อง โอวหยางหลางกับโอวหยางหวนจึงออกมาจากห้องพร้อมกัน ออกมาคำนับเหมียวอี้ แล้วอนุภรรยาทั้งสามคนก็คำนับกันและกัน

เหมียวอี้จ้องโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนเงียบๆ พักหนึ่ง มองออกได้อย่างชัดเจนว่าสองคนนี้กลัวเขานิดหน่อย ไม่กล้ามองเขาตรงๆ เลย พวกนางดูระมัดระวังและเป็นกังวล สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ส่วนหญิงรับใช้ที่อยู่ข้างกายทั้งสอง ก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าสีหน้าฝืนทนขนาดไหน

ในทางกลับกัน ทางฝั่งฉินเวยเวยกับหญิงรับใช้ทั้งสอง สีหน้าแต่ละคนดูดีอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหงเหมียน ลู่หลิ่ว พวกนางทำท่าทางเหมือนอยู่เหนือกว่า วางท่าโอ้อวดให้ใครบางคนดู

“เมื่อคืนนี้ทำให้พวกเจ้าสองพี่น้องได้รับความไม่เป็นธรรม แต่ไม่เป็นไร วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล” เหมียวอี้ที่ไม่อยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ยังพูดปลอบโยนสองพี่น้องไปนิดหน่อย ที่จริงพอนึกว่าตัวเองเกือบตายด้วยน้ำมืออันหรูอวี้ ในใจเขาก็ยังรู้สึกเอือมระอาอยู่

สองพี่น้องไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร หลังจากเหมียวอี้หันตัวเดินออกไปแล้ว ทั้งสองกับฉินเวยเวยก็เดินตามหลังเหมียวอี้ไปด้วยกัน

เหยียนซิวกำลังรออยู่ตรงประตู บอกเหมียวอี้ว่า “ฮูหยินกำลังรออยู่ที่สวนรุกขชาติขอรับ”

เหมียวอี้นำเหล่าอนุภรรยาไปที่สวนรุกขชาติ อวิ๋นจือชิวยังคงแต่งตัวอลังการนั่งสง่าอยู่ในสวนดอกไม้ภายใต้แสงแดดอ่อนๆ เครื่องประดับศีรษะสะท้อนแสงวิบวับอยู่ในภายแสงแดดที่ส่องลงมา เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ยืนอยู่คนละฝั่ง ซ้ายขวามีกลุ่มนางในมายืนเป็นสักขีพยาน เหมือนจัดวางกำลังสู้รบเต็มที่

เมื่อเห็นเหมียวอี้ที่สวมชุดคลุมสีแดงเดินนำหน้ามา อวิ๋นจือชิวก็ทำท่าอมยิ้มอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง เหมือนกำลังถามว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง เหมียวอี้เอามือลูบจมูกอย่างเคอะเขิน อยู่ใต้หนังตาฮูหยินแต่เข้าห้องหอกับผู้หญิงคนอื่น ทำตัวเป็นธรรมชาติได้ก็แปลกแล้ว

ข้างกายอวิ๋นจือชิวยังมีเก้าอี้วางอยู่ตัวหนึ่ง เหมียวอี้เดินเข้ามานั่งคู่กับนาง แล้วรับน้ำชาจากเชียนเอ๋อร์มาจิบคำหนึ่ง

“ฮูหยิน!” เจ้าสาวใหม่สามคนสวมชุดกระโปรงสีแดงเหมือนกัน ยืนเรียงแถวหน้ากระดานคำนับอวิ๋นจือชิว

อวิ๋นจือชิวเอียงหน้าถามเหมียวอี้ “ท่านสามี สามคนที่มาใหม่ต้องแบ่งแยกเล็กใหญ่รึเปล่า?”

เหมียวอี้รู้ว่าต่อไปต้องทำอะไร เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า “ไม่ต้องแบ่งแยกเล็กใหญ่หรอก ต่อไปเรียกกันว่าพี่สาวน้องสาวตามอายุแล้วกัน” พูดจบก็หันไปพยักหน้าให้โอวหยางหลางเบาๆ

หญิงรับใช้ของฝ่ายฝาแฝดโล่งใจแล้ว ถ้าแบ่งแยกเล็กใหญ่แล้วให้ฝ่ายนี้อยู่แถวหลัง พวกนางจะทนรับความรู้สึกได้อย่างไร

นางในที่อยู่ข้างๆ ยื่นถาดเข้ามาตรงหน้าโอวหยางหลาง แล้วนางก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาทันที เดินช้าๆ ไปตรงหน้าอวิ๋นจือชิว ใช้สองมือยื่นให้พร้อมกล่าวอย่างเคารพว่า “ฮูหยิน เชิญดื่มน้ำชาค่ะ!”

มอบน้ำชาด้วยนี้ให้หมายความว่าอย่างไร ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ อวิ๋นจือชิวรับมาดื่มคำหนึ่งพอเป็นพิธี จากนั้นวางถ้วยน้ำชาลงข้างๆ แล้วพยักหน้ายิ้ม “ลำบากน้องหลางหลางแล้ว”

โอวหยางหลางตอบพอเป็นพิธี แล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม เปลี่ยนเป็นโอวหยางหวนที่นำน้ำชามามอบให้ สุดท้ายถึงเป็นฉินเวยเวยที่ก้าวขึ้นมา

พอถึงตาฉินเวยเวย ดวงตาของอวิ๋นจือชิวก็ฉายแววหยอกล้อหลายส่วน ทำเอาฉินเวยเวยเขินอายมาก

เมื่อยื่นน้ำชาให้ดื่ม โอวหยางหลาง โอวหยางหวนและฉินเวยเวยก็เท่ากับได้แสดงท่าทีต่อหน้าทุกคนแล้ว ว่าทั้งหมดจะยกให้อวิ๋นจือชิวเป็นใหญ่ ส่วนพวกนางเป็นน้อย อวิ๋นจือชิวคือภรรยาเอก พวกนางคืออนุภรรยา ต่อไปจะต้องเชื่อฟังอวิ๋นจือชิว

น้ำชาคำนับก็ดื่มแล้ว อวิ๋นจือชิวกวาดตามองทั้งสามคน แล้วเริ่มกล่าวให้โอวาท “ในเมื่อเข้ามาอยู่ในบ้านของตระกูลเหมียวแล้ว ต่อไปทั้งหมดก็เป็นคนของตระกูลเหมียว ต่อไปน้องสาวทั้งสามก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าเห็นตัวเองเป็นคนนอกเด็ดขาด บ้านเมืองมีกฎของบ้านเมือง ครอบครัวก็มีกฎของครอบครัว เมื่อแต่งงานเข้าตระกูลเหมียวแล้ว ผลประโยชน์ของตระกูลเหมียวต้องมาเป็นอันดับแรก ต่อไปนี้ถ้าข้าจับได้ว่าใครเป็นหนอนบ่อนไส้ เข้าข้างคนนอก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ สายตาของพี่สาวทนมองคนประเภทนี้ไม่ได้จริงๆ ทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วนะ?”

เมื่อวางมาดแบบนี้ให้เห็น ทั้งสามก็รู้สึกหนาวในใจ เอ่ยรับอย่างประหม่าพร้อมกันว่า “รับทราบค่ะ!”

พออวิ๋นจือชิวพยักหน้า นางในที่อยู่ข้างๆ ถึงได้แยกย้ายกันออกไป แล้วนำเก้าอี้สามตัวเข้ามาวาง เชิญให้อนุภรรยาทั้งสามนั่งประจำที่ แล้วนำน้ำชามาวางให้ทั้งสาม

ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้ จากนั้นเหมียวอี้ก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกับนาง เดินไปยังจุดลึกของสวนรุกขชาติ

หลังจากหลบสายตาคนนอกแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้หันมามองสอบสวนเหมียวอี้ศีรษะจดเท้า พอมองจนเหมียวอี้รู้สึกเขินอายแล้ว ถึงได้พูดหยอกล้อว่า “ค่ำคืนของฤดูใบไม้ผลิผ่านไปเร็วมาก เจ้าไม่ได้เหนื่อยแย่หรอกใช่มั้ย?”

“พอแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้เจ้าต้องแกล้งข้าเล่นแน่ๆ มีอะไรไม่น่าฟังก็พูดมาให้หมดเถอะ วันนี้ต่อให้ทนไม่ไหวข้าก็จะทน” เหมียวอี้ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

หลังจากใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเหมียวอี้สองสามที แล้วเคลื่อนมือลงมาคล้องแขน อวิ๋นจือชิวถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ เมื่อคืนเจ้าทำเกินไปหน่อยนะ อันหรูอวี้กับโอวหยางกวงถ่อมาหาข้าแต่เช้าเลย มาบอกว่าในภายหลังขอให้ข้าดูแลลูกสาวพวกเขามากๆ หน่อย อันหรูอวี้มาร้องไห้ต่อหน้าข้า เรียกได้ว่าร้องไห้วิงวอนข้าอย่างจริงจัง กลัวว่าลูกสาวจะไม่ประจบเอาใจเจ้า แล้วโดนข้าปฏิบัติด้วยอย่างโหดร้ายจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ คุณชายรองผู้สง่าผ่าเผยของแดนโพ้นสวรรค์ เรียกได้ว่ายอมลดตัวลงมาประจบข้าแล้ว หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ช่างน่าสงสาร!”

เหมียวอี้ได้ยินแล้วแสยะยิ้ม “ตอนนี้รู้จักนึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ ตอนแรกที่คิดจะเล่นงานข้าให้ถึงตาย นางก็ไม่ปรานีเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าดวงชะตาแข็ง จะรอดชีวิตมาถึงวันนี้ได้อย่างไร”

“หนิวเอ้อร์ ถ้าตำหนักหลังไม่สงบสุข เจ้าเองก็สบายใจไม่ได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย ต่อไปก็เป็นคนครอบครัวเดียวกันแล้ว เรื่องในอดีตก็ปล่อยผ่านไปเถอะ อีกฝ่ายมอบลูกสาวให้เจ้าแล้ว ทำไมเจ้ายังไม่หายโมโหอีก เชื่อฟังข้าเถอะ อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลย” อวิ๋นจือชิวกล่าว

ทั้งสองเดินจูงมือกันอยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้นิ่งเงียบ ว่ากันตามจริง เมื่อเห็นท่าทางของโอวหยางหลางกับโอวหยางหวนในตอนเช้า ในใจเขาก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิงที่เมื่อวานคำนับฟ้าดินพร้อมกับเขา แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยใจดำกับคนของตัวเองเลย

“ทำก็ทำไปแล้ว ยังจะให้ข้าทำอย่างไรได้อีก?” เหมียวอี้ถาม ในน้ำเสียงเจือความรู้สึกเสียใจนิดหน่อย

“หนิวเอ้อร์ ผู้หญิงที่บ้านนี้ล้วนเป็นคนของเจ้า เป็นคนที่คอยปรนนบัติเจ้าราวกับเป็นม้าเป็นวัว ผู้หญิงอย่างเราจะเอาแต่ใจบ้างก็ไม่เป็นไรหรอก จะว่าไปก็เป็นการงอนเพราะอยากได้รับความรัก เจ้าเป็นลูกผู้ชายใจคอกว้างขวาง รับนิสัยเอาแต่ใจของพวกเราได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนให้เจ้ามาทำนิสัยเอาแต่ใจใส่พวกเราบ้าง แบบนั้นก็ไม่มีความหมายแล้ว เจ้าเอาชนะพวกเราได้แล้วยังไงต่อล่ะ? ก้มหน้ายอมบ้างก็ไม่ทำให้เนื้อในร่างกายของเจ้าหายไปหรอก เชื่อข้าเถอะ คืนนี้ตั้งใจอยู่กับสองพี่น้องนั่นให้ดี ให้พวกนางได้เห็นรอยยิ้มของเจ้าบ้าง เรื่องราวมันผ่านไปแล้ว เจ้าแค่ปะเหลาะเอาใจผู้หญิงก็พอ ด้วยความสามารถอย่างท่านสามี อย่าบอกนะว่าการรับมือกับผู้หญิงแค่สองคนเป็นเรื่องยาก? หากครอบครัวปรองดอง ทุกเรื่องก็ราบรื่น!” อวิ๋นจือชิวเตือนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี

เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน ยื่นมือเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาทัดบนศีรษะนาง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “เรื่องแบบนี้ข้าเป็นคนได้เสพสุข แค่รู้สึกว่าทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม”

อวิ๋นจือชิวหันตัวมากอดเขา แล้วพึมพำว่า “ข้าจดจำความดีของท่านสามีอยู่เสมอ หวังว่าท่านสามีจะจดจำความดีของข้าอยู่เสมอเหมือนกัน ถ้ามีจุดไหนที่ข้าทำไม่ถูก หวังว่าท่านสามีจะไม่เก็บมาใส่ใจ แค่นั้นก็พอแล้ว…”

หลังจากได้ฟังอวิ๋นจือชิวกำชับและปลอบโยนอย่างเอาใจใส่ เหมียวอี้ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ จากนั้นเขาก็พาอนุภรรยาทั้งสามออกจากที่นี่เพื่อไปยังสวนดอกไม้อีกแห่งหนึ่ง อันหรูอวี้ โอวหยางกวง และหยางชิ่งกำลังรอให้ภรรยาใหม่ทั้งสามไปคำนับด้วยกัน

เมื่อเห็นสภาพลูกสาวทั้งสอง อันหรูอวี้กับสามีก็ปวดใจ ความกังวลทุกข์ใจที่อยู่ในแววตานั้นยากจะปิดบัง แต่กลับต้องฝืนยิ้มออกมา ในเมื่อยกให้แต่งงานกับอีกฝ่ายไปแล้ว ตอนนี้ยังจะทำอะไรได้อีก? ที่สำคัญคือตอนนี้ทั้งสองไม่มีอำนาจที่จะจัดการอะไรด้วยตัวเองมากนัก การลงโทษจากแดนโพ้นสวรรค์ใกล้จะมาถึงแล้ว เพียงแต่คนนอกไม่รู้เท่านั้นเอง ทั้งสองกลับรู้อยู่แก่ใจ รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีหน้ามีตาเหมือนที่เห็นภายนอกอีกแล้ว

เมื่อเห็นฉินเวยเวยทำท่าทางเขินอายมีความสุข แล้วมองดูสีหน้าของอีกสองคน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หยางชิ่งชำเลืองมองอันหรูอวี้กับสามีที่อยู่ข้างๆ เขารับไม่ไหวกับการเปรียบเทียบเรื่องอื่น แต่พอมีอนุภรรยาคนอื่นให้เปรียบเทียบ ปมในใจที่ลูกสาวตัวเองเป็นอนุภรรยากลับบรรเทาเบาบางลงไม่น้อย แต่หยางชิ่งกลับมีความกังวลอีกอย่างเกิดขึ้นแทน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่ากำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับอันหรูอวี้และสามี

ครั้งนี้กลับถึงคราวที่เหมียวอี้ต้องทำพิธียกน้ำชาให้อันหรูอวี้ โอวหยางกวงและหยางชิ่ง

หลังจากนำอนุภรรยาทั้งสามคำนับผู้อาวุโสทั้งสามแล้ว พวกเขาก็ทักทายปราศัยกันนิดหน่อย จากนั้นอันหรูอวี้ยื่นมือเชิญเหมียวอี้ “เหมียวอี้ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย”

หลังจากมาอยู่ในที่ลับตาคน เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะ “ไม่ทราบว่าท่านแม่ยายยังมีอะไรจะกำชับขอรับ?”

จะมีอะไรกำชับได้ล่ะ อันหรูอวี้ฝืนยิ้มเหมือนมีความสุข “เหมียวอี้ ข้ารู้ว่าเรื่องในอดีตข้าทำไม่ถูก นั่นเป็นความผิดของข้า เจ้าอย่าถือสาหญิงวัยกลางคนที่ความรู้พื้นๆ อย่างข้าเลย ถ้ามีอะไรที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าก็มาระบายความโกรธกับข้าได้เลย ข้าจะไม่พร่ำบ่นอะไรสักคำ แค่หวังว่าต่อไปนี้เจ้าจะดีกับหลางหลางกับหวนหวนสักหน่อย พวกนางไม่ได้ทำอะไรผิด ถือว่าข้าขอร้องก็แล้วกัน”

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของอวิ๋นจือชิว ที่บอกว่าก่อนหน้านี้อันหรูอวี้มาร้องไห้อ้อนวอนต่อหน้านาง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านแม่ยายคิดมากไปแล้ว เรื่องในอดีตผ่านพ้นไปแล้ว หลางหลางกับหวนหวนแต่งงานกับข้า กลายเป็นผู้หญิงของข้าแล้ว ตราบใดที่พวกนางไม่ได้ทำเรื่องผิดต่อข้า ต่อไปนี้ข้าก็จะไม่ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างโหดร้ายแน่นอน หากท่านแม่ยายไม่เชื่อ ก็คอยตั้งตารอได้เลย… นับว่าเป็นคำสัญญาที่ลูกเขยให้ต่อท่านแม่ยาย!”

“งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดี!” อันหรูอวี้พยักหน้าซ้ำๆ รู้สึกดีใจเหนือความคาดหมาย เหมือนปลาบปลื้มใจจนน้ำตาแทบไหล

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset