จากนั้นพวกสวีถังหรานก็เข้ามาใกล้ แล้วถามเสียงต่ำว่า “นายท่าน ผู้พิพากษาหน้านิ่งมาหาด้วยเรื่องอะไรขอรับ?”
เหมียวอี้หันกลับมากวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง รู้ว่าถ้าไม่บอกอะไรเลย ก็จะยิ่งทำให้ทุกคนเป็นกังวล จึงตอบส่งเดชว่า “ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องอะไร ถามเรื่องระหว่างข้ากับปีศาจโลหิตในปีนั้นไปนิดหน่อย”
“ปีศาจโลหิต?” พวกเขาขมวดคิ้ว ส่วนใหญ่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนเท่าไรนัก
เหมียวอี้เปลี่ยนประเด็นพูด “อีกไม่กี่วันกำลังพลท้องถิ่นจะส่งคนมารับงานต่อ ทุกคนไปยืนยันกับทางธงอินทรีสิบกองทัพอีกสักหน่อย พยายามเตรียมเรื่องส่งต่องานให้เหมาะสม”
“รับทราบ!” พวกลูกน้องเอ่ยรับคำสั่ง
ไม่ใช่แค่เกาก้วนที่มาหาเหมียวอี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่แช่น้ำแร่อยู่ในรังภูเขากันดารไกลๆ ก็ได้รับข่าวจากบิดาตัวเองเช่นกัน
ตัวกำลังแช่อยู่ในบ่อน้ำแร่ มือกำลังถือระฆังดารา หลังจากฟังที่บิดาถามจบแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ในใจมีโทสะก็ทำลายขวดโหลจนแตก : ข้าเคยร่วมมือกับหนิวโหย่วเต๋อจัดการกับปีศาจโลหิตนั่น ทำไมเหรอ?
บิดาของเซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม : ข้างกายปีศาจโลหิตมีพระด้วยหรือเปล่า?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : ตัวคนเดียว ไม่เห็นว่าข้างกายนางจะมีพระอะไรเลย เออใช่ ปีศาจโลหิตนั่นมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับหวงฝู่จวินโหรว อาจจะเป็นคนของสมาคมวีรชน ตอนที่ปีศาจโลหิตตกอยู่ในมือข้า ก็เป็นหวงฝู่จวินโหรวที่วิ่งมาช่วยนางออกไป ท่านพ่อ ท่านถามเรื่องนี้ทำไมเหรอ?
บิดาของเซี่ยโห้วหลงเฉิง : ไม่มีอะไร ก็แค่ถามเฉยๆ เล่าขั้นตอนที่เจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อร่วมมือกันจัดการปีศาจโลหิตให้ฟังสักหน่อย
เรื่องราวผ่านไปนานมากแล้ว เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยสักนิด มีหรือที่จะเก็บเรื่องปีศาจโลหิตอะไรนั่นมาใส่ใจ หลังจากเล่าเหตุการณ์ที่ติดอยู่ในความทรงจำให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่ง ก็ถามว่า : ท่านพ่อ ท่านไม่ถามสักหน่อยเหรอว่าตอนนี้ข้าเป็นยังไงบ้าง?
บิดาของเซี่ยโห้วหลงเฉิงสนใจแค่เรื่องที่ลูกชายตัวเองไปเกี่ยวข้องกับปีศาจโลหิต ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ตอบกลับเพียงว่า : วันหลังค่อยคุยกัน
เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดไม่ออก ถือระฆังดาราชกลงบนผิวน้ำ แล้วเงยหน้าร้องอย่างเศร้าเสียใจ “ปัดโถ่โว้ย!”
นึกถึงตอนแรก ตอนที่เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ นั่นเป็นความมีหน้ามีตาระดับไหนกัน อยู่ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงการมีสาวงามล้อมหน้าล้อมหลังอะไรนั่นเลย ขนาดเรื่องการกินอยู่ยังเป็นปัญหา ในรัศมีหลายพันลี้มีแค่บ่อน้ำแร่ที่นับว่าเป็นทำเลทองที่เขายึดครอบครองไว้ได้ รอบข้างเรียกได้ว่ารกร้าง ลูกน้องก็มีเทพแห่งผืนดินสองคน เป็นชายชราทั้งคู่ แม้แต่จะคุยกันสักคำก็ไม่มี
แต่พอพูดถึงปีศาจโลหิต เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็นึกถึงหนิวโหย่วเต๋ออีก ตอนแรกพวกเขาสองคนร่วมมือกันทำเรื่องนี้ อยู่ที่นี่นอกจากมองฟ้าก็ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยจริงๆ น่าเบื่อหน่ายไร้รสชาติมาก เขาถึงได้หยิบระฆังดาราอีกอันออกมาติดต่อเหมียวอี้ อยากจะถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง อยากจะดึงเหมียวอี้มาอยู่เป็นเพื่อนแก้เซ็งสักหน่อย
ถ้ามองจากอีกด้านหนึ่ง การเป็นมนุษย์ของเขาก็ล้มเหลวพอสมควร ลองคิดไปคิดมา นอกจากเหมียวอี้แล้ว ลูกหลานตระกูลเซี่ยโห้วผู้สง่าภูมิฐานอย่างเขาก็ไม่มีสหายเลยสักคน
เหมียวอี้ในตอนนี้กำลังลาดตระเวนธงอินทรีสิบกองทัพ จู่ๆ ก็ได้รับข่าวจากเซี่ยโห้วหลงเฉิง จึงอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า : พี่เซี่ยโห้ว ทำไมถึงนึกขึ้นได้ว่าอยากคุยกับข้าล่ะ?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : เมื่อครู่นี้จู่ๆ พ่อข้าก็ถามเรื่องที่ข้ากับเจ้าสู้กับปีศาจโลหิตในปีนั้น พูดถึงเจ้าแล้ว เลยปลุกความคะนึงหาที่ข้ามีต่อน้องหนิว น้องหนิวว่างเมื่อไรล่ะ มาเล่นที่บ้านข้าสักหน่อยสิ
เหมียวอี้ไม่ใส่ใจอะไรเช่นกัน เรื่องที่ทั้งสองร่วมมือกันสู้กับปีศาจโลหิตไม่ได้มีช่องโหว่อะไร ขณะกำลังจะเขย่าระฆังดาราบอกปัด จู่ๆ มือก็หยุดนิ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง ศีลแปดก็เจอเซี่ยโห้วหลงเฉิง!
ในปีนั้นที่ศีลแปดมาถึงพิภพใหญ่เป็นครั้งแรก เนื่องจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นคนพาลหาเรื่อง เขาเคยโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงจับตัวไป ตอนหลังเพื่อที่จะช่วยเขาออกไป ศีลแปดก็เคยแอบอ้างว่าตัวเองเป็นคนจากแดนสุขาวดี ศีลแปดถึงขั้นบอกฉายานามของตัวเองไปแล้วด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยโห้วหลงเฉิงเป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องปีศาจโลหิตก่อน เขาเองก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
พอนึกถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็ตกใจจนเหงื่อแทบท่วมตัว ไปหาสถานที่ลับตาคนทันที แล้วเขย่าระฆังดาราถามว่า : ขนาดพ่อเจ้ายังถามถึงเลยเหรอ?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : ก็แค่ถามถึงเหตุการณ์ตอนที่ข้ากับเจ้าร่วมมือกันจัดการปีศาจโลหิตในปีนั้น
เหมียวอี้คิดไปคิดมา แล้วก็บอกว่า : ก่อนหน้านี้เกาก้วนทูตขวาตรวจการตำหนักสวรรค์ก็มาถามเรื่องปีศาจโลหิตกับข้า
เซี่ยโห้วหลงเฉิงได้ยินแล้วตกใจ : ผู้พิพากษาหน้านิ่งนั่นก็ไปหาเจ้าเหรอ? ปีศาจต่ำต้อยคนหนึ่งก็ทำให้เขาแตกตื่นได้ด้วยเหรอ?
เหมียวอี้ : ไม่ว่าจะยังไงข้าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล พี่เซี่ยโห้ว เจ้าเล่าเรื่องที่พ่อเจ้าถามมาให้ละเอียดสักรอบซิ ข้าจะเทียบดูว่ามีปัญหาอะไร ดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า
เขาเป็นคนที่โดนหลอกง่าย ด้วยการซักถามแบบอ้อมค้อมของเหมียวอี้ เขาจึงเล่าสิ่งที่ตัวเองถามตอบกับบิดาให้ฟังอย่างละเอียดแจ่มแจ้งทันที
พูดเลี่ยงๆ กลับไปกลับมา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่โยงไปถึงศีลแปด เหมียวอี้ก็โล่งอก เขารู้จักสมองของหมีควายเซี่ยโห้วดี น่าจะไม่รอดกับดักของเขา แต่ก็ยังไม่วางใจ ถามอีกว่า : พ่อเจ้าถามเจ้าแค่เท่านี้เหรอ ไม่ได้ถามอย่างอื่นใช่มั้ย?
เซี่ยโห้วหลงเฉิงพลิกตัวอยู่ในบ่อน้ำ แล้วถามว่า : ยังจะถามอะไรได้อีกล่ะ ก็ถามแค่นี้แหละ หรือว่าเจ้ายังมีปัญหาอะไรอีก?
เหมียวอี้ : ไม่มีอะไร ข้าแค่กังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้น ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว เออใช่ ตอนนี้เจ้าสบายดีรึเปล่า?
เซี่ยโห้วหลงเฉิง : ถิ่นธุรกันดารที่แม้แต่นกยังไม่บินไปขี้ จะสบายยังได้ล่ะ น้องหนิว ข้าเป็นเทพเทพแห่งภูผา มีหน้าที่เฝ้าพื้นที่ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนก็เพ่นพ่านไปทั่วไม่ได้ เมื่อไรเจ้าจะมาล่ะ เรามาเจอกันหน่อยมั้ย?
เหมียวอี้ : ตอนนี้ข้าก็โดนล้อมคอกอยู่เหมือนกัน เอาไว้ค่อยเจอก็แล้วกัน ถ้าขยับตัวได้แล้วจะไปหาเจ้า…
หลังจากอ้างอย่างขอไปทีเพื่อปฏิเสธเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้ว เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราเงียบๆ ก็ทำสีหน้าจริงจัง พึมพำกับตัวเองว่า “เก็บเจ้าหมีควายนี้ไว้ไม่ได้แล้ว!”
แต่จะให้ใครลงมือให้ดีล่ะ? เซี่ยโห้วหลงเฉิงถูกลดขั้นไปอยู่ไกลมาก ไม่สามารถไปถึงได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน ด้วยสถานะของเขาตอนนี้ไม่สะดวกจะละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่นานเกินไป จะให้ทางปราสาทดำเนินนภาลงมือให้เหรอ? แบบนั้นไม่เหมาะสม นี่เป็นการสังหารหลานชายของตระกูลเซี่ยโห้ว ปราสาทดำเนินนภาอาจจะไม่ทำ ถ้าให้ปราสาทดำเนินนภารู้ว่าตัวเองมีใจคิดร้ายก็จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร
ติดต่อจินม่านให้สั่งคนที่เหลือรอดของลัทธิอู๋เลี่ยงลงมือ? เจตนาที่คนกลุ่มนั้นแต่งตั้งให้ตนเป็นประมุขปราชญ์นั้นยากจะคาดเดา ถ้ามีเจตนาไม่ซื่อแล้วแอบถามอะไรที่ไม่ควรรู้ได้จากปากเจ้าหมีควายนั่นล่ะ…เขาไม่อยากให้ศีลแปดเข้ามาเกี่ยวข้อง
คิดไปคิดมา ก็พบว่าคนที่เหมาะสมที่สุด และไว้ใจได้มากที่สุดมีเพียงคนเดียว เหมียวอี้สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเยียนเป่ยหง…
ตำหนักดาราจักร ซือหม่าเวิ่นเทียนยื่นแผ่นหยกที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญเอาไว้ให้กับประมุขชิง จากนั้นก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
ประมุขชิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวชำเลืองมองแวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“ขอรับ!” หลังจากซือหม่าเวิ่นเทียนเอ่ยรับ ก็กล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “ฝ่าบาท ทางหนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมา ว่าทูตขวาเกาไปหาหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ไม่รู้ว่าทูตขวาตำหนักสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานอย่างเขาไปหาหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยด้วยตัวเองเพราะมีเรื่องอะไร”
ประมุขชิงก็ยังนึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ทีแท้ก็เรื่องนี้ จึงพยักหน้าเบาๆ พร้อมบอกว่า “เกาก้วนทำงานได้ละเอียดรอบคอบ ถ้าเพ่งเล็งเรื่องไหนแล้วก็ใส่ใจรายละเอียดมาตลอด การที่เขาไปหาหนิวโหย่วเต๋อก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เจ้าไม่ต้องคิดมาแล้ว ในนั้นมีเรื่องอื่นซ่อนอยู่”
“ขอรับ!” ซือหม่าเวิ่นเทียนโค้งกายเล็กน้อย แต่พึมพำในใจว่า สงสัยฝ่าบาทจะมีเรื่องอะไรที่ปิดบังตนอยู่
ที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ประมุขชิงไม่ได้บอกเขาเรื่องพระปีศาจหนานโป เรื่องบางเรื่องประมุขชิงไม่อยากให้มีคนรู้เยอะเกินไป แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนรู้ว่าก่อนหน้านี้ประมุขชิงเคยเรียกพวกเซี่ยโห้วท่ามาประชุม การที่เขาถามครั้งนี้เพราะมีเจตนาจะหยั่งเชิง เมื่อเห็นประมุขชิงไม่อยากพูดให้ชัดเจน เขาก็ทำได้เพียงไม่ถามอีก
พอพูดถึงเกาก้วน เกาก้วนก็มาแล้ว หลังจากเข้ามาทำความเคารพฝ่าบาทแล้วก็พยักหน้าให้ซือหม่าเวิ่นเทียนเล็กน้อย ถือว่าเป็นการทักทายกันแล้ว
“ทางแดนสุขาวดีเป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขชิงถาม
แดนสุขาวดี? ซือหม่าเวิ่นเทียนแอบพึมพำ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรที่เกี่ยวโยงไปถึงแดนสุขาวดีแล้ว
เกาก้วนตอบว่า “ทางแดนสุขาวดียังสืบไม่พบข่าวที่เกี่ยวกับพระสองคนนั้น แต่คุณชายใหญ่บอกไว้แล้ว ว่าภายในเวลาสั้นๆ สืบได้ไม่ละเอียดขนาดนั้น เดี๋ยวต่อไปจะให้เบื้องล่างสืบให้ถึงที่สุด นอกจากนี้ หลังจากข้าน้อยกลับมาก็ไปหาหนิวโหย่วเต๋อด้วยตัวเอง ไปสืบถามให้ละเอียดอีกครั้ง พบว่านอกจากความแค้นเล็กน้อยที่มีกับปีศาจโลหิต หนิวโหย่วเต๋อก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้จริงๆ”
ประมุขชิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามซือหม่าเวิ่นเทียนอีกว่า “การตายของน้องชายสนมหาน เกี่ยวข้องกับแต่ละตระกูลหรือเปล่า?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนส่ายหน้า “ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรจากแต่ละตระกูลเลย เทพประจำดาวมะเมียคนที่เป็นผู้แนะนำสนมหานก็กำลังสืบหาอย่างโจ่งแจ้ง ตามหลักการแล้ว ต่อให้ต้องการจะเล่นงานคนในตระกูลของสนมหาน ก็สามารถยัดข้อหาแล้วค่อยกำจัดทิ้งได้เลย ไม่จำเป็นต้องลักลอบทำให้ยุ่งยากแบบนี้ เกรงว่าจะเจอโจรผู้ร้ายแล้วจริงๆ ขอรับ”
สนมหานคือหนึ่งในสนมของประมุขชิง หานหมิงซานซึ่งเป็นน้องชายของนางโดนดักสังหาร ผู้ติดตามหลายคนก็หายไปด้วยเช่นกัน จนกระทั่งคนในบ้านติดต่อไม่ได้ ถึงได้รู้ว่าคนตายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้สนมหานจึงวิ่งมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าประมุขชิง ถึงแม้ประมุขชิงจะไม่แยแสการตายของหานหมิงซาน และไม่สนใจความทุกข์ของสนมหาน แต่แบบนี้เท่ากับมีคนตบหน้าเขา เขาย่อมเดือดดาลอยู่แล้ว จึงสั่งให้คนสืบหาอย่างถึงที่สุด
ประมุขชิงเอียงหน้ามองเกาก้วนอีก “ส่งคนของเจ้าที่อยู่ทางนั้นไปสืบหรือยัง?”
เกาก้วนตอบว่า “ตรวจสอบแล้วขอรับ ข้าถึงขั้นไปสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง หานหมิงซานออกมาจากบ่อนพนันที่ตลาดสวรรค์ ได้ยินว่าชนะได้เงินเยอะมาก แล้วก็โปรยเงินอวดรวยบนถนน ตอนหลังพอออกจากตลาดสวรรค์ก็เลยเกิดเรื่องขึ้น จากการตรวจสอบ ข้าน้อยก็เห็นด้วยกับทูตซ้ายซือหม่า คงจะถูกโจรผู้ร้ายเพ่งเล็งเข้าแล้ว…แต่ก็มีจุดที่มีเงื่อนงำเช่นกัน”
“มีจุดไหนที่มีเงื่อนงำ?” ประมุขชิงถาม
เกาก้วนตอบว่า “ตอนหลังข้าน้อยหาพยานผู้เห็นเหตุการณ์พบ จากการสอบถาม ผู้ร้ายใช้ดาบใหญ่ และทักษะการต่อสู้ก็ค่อนข้างเหมือน…” เขาลังเลนิดหน่อย เหมือนไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดดี
ประมุขชิงหรี่ตาถาม “เจ้ากลายเป็นคนอึกอักไปตั้งแต่เมื่อไร บอกมา! เหมือนใคร?”
เกาก้วนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ค่อนข้างคล้ายหน่วยองครักษ์เงา!”
ซือหม่าเวิ่นเทียนได้ยินแล้วตกใจ พลันเงยหน้ามองประมุขชิง ทั้งตำหนักสวรรค์มีคนที่รู้จัก ‘หน่วยองครักษ์เงา’ ไม่เยอะ ในมือประมุขชิงกุมกำลังพลกลุ่มหนึ่งไว้ มีจำนวนไม่เยอะแต่กลับเป็นกำลังพลที่ห้าวหาญที่สุด เป็นกำลังพลลับของประมุขชิง หรือเรียกได้ว่าเป็นทหารกล้าตายที่ประมุขชิงแอบฝึกอย่างลับๆ ประมุขชิงเป็นผู้บัญชาการโดยตรง เอาไว้ใช้ทำเรื่องที่บอกใครไม่ได้โดยเฉพาะ แต่ไหนแต่ไรมาประมุขชิงไม่นำมาใช้งานง่ายๆ
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเกาก้วนถึงอึกอักไม่ยอมพูด เห็นได้ชัดว่าเกาก้วนกำลังสงสัยว่าเรื่องนี้มีประมุขชิงแอบบงการ ไม่อย่างนั้นนอกจากประมุขชิงแล้ว ก็ไม่มีใครระดมพลของหน่วยองครักษ์เงาได้
ประมุขชิงได้ยินแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ถามเสียงต่ำว่า “เกาก้วน เจ้ากำลังสงสัยว่าข้าเป็นคนทำเรื่องนี้เหรอ?”
เกาก้วนส่ายหน้า “นี่ก็คือจุดที่ข้าน้อยรู้สึกว่ามีเงื่อนงำ หานหมิงซานต่ำต้อยคนเดียวไม่มีค่าพอให้ฝ่าบาทใช้งานหน่วยองครักษ์เงาเลย แต่พยานที่ข้าน้อยได้ตัวมาให้การว่าเหมือนจะเป็นคนของหน่วยองครักษ์เงาที่ลงมือจริงๆ”
…………………………