ตอนที่จุยหย่วนเดินออกมาจากตำหนักใหญ่อีกครั้ง คนของหน่วยตรวจการฝ่ายขวานับพันคนก็ปรากฏตัว มาล้อมชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนนั่นไว้ เพียงแต่ยังไม่รู้สถานะตัวตนของคนพวกนี้ ตัวตนของคนพวกนี้ถูกปิดเป็นความลับมาตลอด
เมื่อชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนเห็นว่าตัวเองถูกล้อมเอาไว้ ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว แต่ละคนกวาดมองรอบข้างด้วยสายตาเย็นเยียบ
เงาร่างของเกาก้วนปรากฏอยู่ในประตูใหญ่ ยืนสงบนิ่ง สายตาเยือกเย็นไม่หวั่นไหว มองดูชายหนุ่มกลุ่มนั้นอย่างเงียบๆ ขนาดและสมาชิกของคนกลุ่มนี้ทำให้คนอื่นเดาทางยากมาตลอด วันนี้ทั้งหมดอาจจะมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่มีทางรับประกันได้ว่าคนที่ประมุขชิงซ่อนไว้ในกลุ่มนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาหมดแล้วหรือยัง
จุยหย่วนกำลังเดินลงบันไดอย่างช้าๆ พอโบกมือใหญ่สัญญาณ กำลังพลของหน่วยตรวจการฝ่ายขวานับพันก็ก้าวขึ้นมาค้นตัวทันที
พฤติกรรมที่ไร้ความเกรงใจแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนค่อนข้างรู้สึกขัดแย้ง ถึงขั้นมีคนจำนวนไม่น้อยสะบัดแขนผลักคนที่เข้ามาค้นตัวอย่างไร้มารยาทออกไป ทั้งยังสบตากันอย่างโกรธเคือง
จุยหย่วนหันกลับมามองเกาก้วนในตำหนักแวบหนึ่ง เกาก้วนไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ยังคงมองด้านนอกอย่างเงียบๆ
“นายท่าน!” ท่ามกลางชายหนุ่มสามร้อยกว่าคน มีคนหนึ่งตะโกนเรียกหัวหน้าของตัวเองอย่างคับแค้น ราวกับกำลังถามว่าเพราะอะไร?
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนร่วม สิ่งที่ควรบอกก็บอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏเหรอ?”ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งที่มีผมขาวแซมที่จอนสองข้างพลันหันมาตะโกนบอกเหล่าพี่น้อง เขาเองก็ยืนอย่างมั่นคงเพื่อให้หน่วยตรวจการฝ่ายขวาค้นตัวเช่นกัน พอเขาหันกลับมาตะโกนแบบนี้ เหล่าพี่น้องก็พากันเม้มริมฝีปากแน่นและหยุดขัดขืนเช่นกัน เพียงแต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำสีหน้าไม่ยอม
เพียงแต่ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าหันกลับไปสบตากับคนที่ผ้าคลุมสีดำปลิวสะบัดอยู่ในประตูตำหนักใหญ่ แล้วเตือนเสียงดังว่า “ทูตขวาเกา ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้หรอก ก่อนหน้านี้พวกเราส่งมอบของบนตัวขึ้นไปหมดแล้ว ตอนนี้มาแบบตัวเปล่า ค้นบนตัวพวกเราก็ไม่เจอของอะไรหรอก”
จุยหย่วนหันกลับไปมองในตำหนักแวบหนึ่ง เกาก้วนที่ยืนอยู่ในประตูตำหนักใหญ่ไม่ตอบอะไร สีหน้าสงบนิ่ง ไม่แสดงท่าทีอะไรต่อหน้าฝูงชน
การไม่แสดงท่าทีก็ถือเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งแล้ว จุยหย่วนโบกมืออีกครั้ง
ไม่สนใจว่าชายหนุ่มสามร้อยกว่าคนนั้นจะเต็มใจหรือไม่ กำลังพลของหน่วยตรวจการฝ่ายขวาทำตามหน้าที่ต่อไป ถึงขั้นทำเกินไปด้วยซ้ำ นั่นก็คือผนึกวรยุทธ์ของพวกเขาทุกคน จากนั้นก็ค้นตัวอย่างช้าๆ สุดท้ายก็ค้นไม่เจออะไรทั้งนั้น ถึงได้คุมตัวทั้งหมดไปขังในคุกใหญ่ของหน่วยตรวจการฝ่ายขวา…
ภารกิจหน้าที่แบ่งเป็นสองประเภท ประเภทแรกเป็นภารกิจที่ทุกคนล้วนแย่งกัน ส่วนอีกประเภทก็คือภารกิจที่ทุกคนล้วนอยากผลักไส ยกตัวอย่างเช่นการไปจับคนที่ทะเลดาวสับสน สาเหตุสำคัญเป็นเพราะภารกิจประเภทนี้ใช่ว่าพยายามสุดความสามารถแล้วจะทำสำเร็จได้ นอกจากจะทำภารกิจไม่สำเร็จแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะทำให้ตัวเองเข้าไปพัวพันเรื่องนี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากรับภารกิจนี้ ทุกครั้งที่เจอกับเรื่องแบบนี้ ก็ทำได้เพียงแบ่งสรรกันไปเสียเลย
ถ้าการแบ่งสรรภารกิจไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็เหลือแค่วิธีส่งตัวไปหรือไม่ก็จับฉลาก คนที่ถูกเรียกชื่อก็ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมของตัวเอง
ห้าล้านรายชื่อของหน่วยองครักษ์ซ้ายแบ่งให้แต่ละหน่วยส่งกำลังพลมาหน่วยละห้าแสน แล้วแต่ละหน่วยก็ให้แต่ละทัพส่งรายชื่อกำลังพลมาทัพละห้าหมื่นรายชื่อ แล้วแต่ละทัพก็ค่อยแบ่งให้แต่ละกองส่งกำลังพลมากองล่ะห้าพันรายชื่อ
ดาวจูจื่อ จวนแม่ทัพภาคชั่วคราวของกองมังกรดำ ผู้บัญชาการใหญ่สิบธงพยัคฆ์มารวมตัวกันในตำหนักประชุมอีกครั้ง
หลังจากกล่าวเกริ่นนำตามธรรมเนียมแล้ว เนี่ยอู๋เซี่ยวที่นั่งอยู่เบื้องบนก็กระแอมให้คอโล่ง ก่อนจะกวาดสายตามองทุกคนพร้อมแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการ “ช่วงก่อนหน้านี้มีผู้ร้ายหลบหนีเข้าไปในทะเลดาวสับสน หน่วยองครักษ์ซ้ายขวาตัดสินใจจะดึงกำลังพลห้าล้านคนไปจับตัวผู้ร้ายที่ทะเลดาวสับสน รายชื่อห้าล้านคนถูกแบ่งสรรไปที่กองต่างๆ กองมังกรดำของข้าก็ได้รับมาห้าพันรายชื่อเช่นกัน ภายในสามวันนี้จะต้องจัดระเบียบกำลังพลและออกเดินทางไปรวมตัวกับทัพใหญ่แล้ว ไม่ทราบว่าแต่ละธงพยัคฆ์มีความมั่นใจว่าจะทำภารกิจนี้สำเร็จหรือไม่?”
เขาได้พูดไว้อย่างชัดเจนมากแล้ว เป็นภารกิจที่แบ่งสรรมา ทุกคนเลิกคิดที่จะปัดความรับผิดชอบไปได้เลย
แต่ใครจะคาดคิด เหมียวอี้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างรีบก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะอย่างอดใจรอไม่ไหว “ธงพยัคฆ์ดำยินดีส่งกำลังพลห้าพันไปปฏิบัติภารกิจนี้ขอรับ”
เนี่ยอู๋เซี่ยวงุนงง เซี่ยงไป่กงและโป๋เยว รองแม่ทัพภาคทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก
นอกจากจ้านหรูอี้แล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์อีกแปดคนก็งุนงงเช่นกัน สาเหตุที่ตัดจ้านหรูอี้ออก ก็เพราะจ้านหรูอี้ก้าวขึ้นมาแย่งชิงภารกิจด้วยเช่นกัน “ธงพยัคฆ์น้ำเงินยินดีส่งกำลังพลห้าพันไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จ ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดช่วยให้สมปรารถนาด้วยค่ะ”
ทุกคนตรงนั้นตกอยู่ในความเงียบทันที ทังเยี่ยนจวี๋ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์ฟ้าก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะเช่นกัน “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดส่งเสริมจิตใจที่ซื่อสัตย์ของผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองด้วยค่ะ”
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ประหลาดใจ ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไป ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่แย่ง แต่กลับช่วยพวกเขาได้ซ้ำ?
แต่ใครจะคาดคิด ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์อีกเจ็ดคนแทบจะรีบกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดช่วยให้ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองสมปรารถนา”
กำลังสนับสนุนพวกเขาสองคนงั้นเหรอ? เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้สังเกตได้ทันทีว่ามีอะไรในกอไผ่ อดไม่ได้ที่จะหันซ้ายกันขวาดูปฏิกิริยาของทุกคน
สำหรับเหมียวอี้ เขาจำเป็นต้องช่วงชิงภารกิจในครั้งนี้ให้ได้ เขากำลังกลุ้มใจอยู่เลยว่าจะไปช่วยเยียนเป่ยหงที่ทะเลดาวสับสนได้อย่างไร ใครจะคิดว่าจะต้องไปทำภารกิจที่นั่น พอได้ยินข่าวก็ดีใจมาก ย่อมต้องไปแย่งชิงอยู่แล้ว จึงยอมแลกทุกอย่างเพื่อช่วงชิงภารกิจนี้มาให้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าโดนคนอื่นแย่งไป เขาก็จะพลาดโอกาสดีนี้ไปแล้ว แต่นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
ที่จ้านหรูอี้ช่วงชิงภารกิจก็ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น ถึงแม้ตอนนี้นางจะเปลี่ยนท่าทีการวางตัวแล้ว แต่ความรู้สึกอยากแข่งขันกับเหมียวอี้ที่ข่มกลั้นไว้ในใจก็ยังไม่หายไป ถ้าจะบอกว่าแย่งกับเหมียวอี้ก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป แต่สถานการณ์ในตอนนี้ก็ทำให้นางสับสนแล้วเช่นกัน
เนี่ยอู๋เซี่ยวยังจะพูดอะไรได้อีก ภารกิจที่ทุกคนล้วนอยากผลักไส ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเป็นฝ่ายขอไปปฏิบัติภารกิจเอง ถ้าฝืนผลักไปให้คนอื่นอีกก็จะฟังดูเหลวไหลเช่นกัน การบังคับจนทำให้ทุกคนทำงานแบบไม่ตั้งใจเต็มที่มันสนุกมากนักเหรอ? เพียงแต่เหมียวอี้ยังจัดการง่ายหน่อย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเขาก็ไม่เป็นไร แต่ประเด็นสำคัญคือจ้านหรูอี้ เบื้องบนสั่งมาว่าจะให้เกิดเรื่องกับนางไม่ได้ ถ้าปล่อยให้นางไปเป็นอะไรที่ทะเลดาวสับสน ตัวเองก็จะแก้ตัวไม่สะดวกแล้ว
หลังจากไตร่ตรองแล้ว ก็กล่าวอย่างลังเลอีกว่า “จะบันทึกภารกิจนี้ไว้ให้พวกเจ้าสองคนก่อนแล้วกัน รอให้ข้ารายงานขึ้นไปขอคำชี้แนะจากเบื้องบนก่อน รอดูว่าที่อื่นจะมีความคิดเห็นยังไง แล้วค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้ายอีกที”
เหมียวอี้ไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำอะไร ต่อให้เขาจะฝืนใจแต่ก็ต้องไป จึงกล่าวขอร้องอีกว่า “ข้าน้อยยินดีนำคนไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ขอรับ”
เดิมทีจ้านหรูอี้อยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่พอเห็นเหมียวอี้เป็นแบบนี้ นางก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน จึงกล่าวขอร้องอีกครั้ง “ข้าน้อยมาที่กองมังกรดำเป็นครั้งแรก ยังไม่ได้สร้างผลงาน ท่านแม่ทัพภาคได้โปรดช่วยให้ข้าน้อยสมปรารถนา!”
“เอาตามนี้ก่อนแล้วกัน!” เนี่ยอู๋เซี่ยวพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
พอกำลังพลเบื้องล่างแยกย้ายกันไป เหมียวอี้ก็ตามไปขอคำชี้แนะจากผู้บัญชาการใหญ่เฮ่อจือโย่วแห่งธงพยัคฆ์ดินอีก “พี่เฮ่อ ครั้งก่อนท่านบอกว่านี่เป็นธรรมเนียมดั้งเดิมของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา แล้วทำไมวันนี้?”
เฮ่อจือโย่วงงไปชั่วขณะ แต่จากนั้นก็อมยิ้มอย่างมีความลับ เขาไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น กุมหมัดคารวะแล้วขอตัวจากไปเลย
เหมียวอี้มึนงงเหมือนในสมองมีหมอกหนาทึบ หลังจากกลับมาที่ค่ายทหารแล้วก็ย่อมหาใครสักคนมาถามขอคำชี้แนะ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากมู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหง
“ผู้บัญชาการใหญ่!” พอรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองได้ฟังก็ร้อนใจทันที มู่อวี่เหลียนแย่งพูดก่อนว่า “ภารกิจที่เปลืองแรงแต่ไม่ได้รับการชื่นชมแบบนี้ ย่อมไม่มีใครอยากไปแย่งอยู่แล้ว แต่ละธงพยัคฆ์อยากจะให้มีคนออกหน้าทำเรื่องนี้ใจจะขาด แต่ผู้บัญชาการใหญ่ไปแย่งภารกิจแบบนี้มาได้ยังไง?”
พวกหยางชิ่งที่อยู่ในค่ายก็ทำสีหน้าสงสัยเช่นกัน เฟยหงเดินเนิบนาบถือน้ำชาถ้วยหนึ่งเข้ามา แล้ววางตรงหน้าเหมียวอี้เบาๆ แล้วก็ไม่ไปไหนแล้ว
“ทำไมถึงเปลืองแรงแต่ไม่ได้รับการชื่นชมล่ะ?” เหมียวอี้แปลกใจ
มู่อวี่เหลียนอธิบายว่า “นายท่าน ที่ทะเลดาวสับสนนั่นเป็นสถานที่แบบไหน ถ้าอยากจะหาคนจากที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร ความดีความชอบนี้ ต่อให้จะตั้งใจทำแต่ก็แทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย มิหนำซ้ำก็ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่หายเข้าไปในนั้นแล้วไม่ได้กลับออกมาอีก ภารกิจที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะทำไม่สำเร็จ ทั้งยังต้องไปเสี่ยงอันตรายมากขนาดนั้น ย่อมไม่มีใครรับภารกิจประเภทนี้อยู่แล้ว”
ชวีหย่าหงก็ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน นางบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ต้องทราบไว้นะ ต่อไปนี้ถ้ามีภารกิจแบ่งสรรมาอีกก็จะต้องไตร่ตรองให้ดี แบบนั้นแสดงว่าต้องไม่มีใครอยากรับแน่นอน มันถึงได้ถูกแบ่งมาแบบนี้ เฮ้อ! แต่ท่านแม่ทัพภาคยังไม่ได้ตัดสินใจ ตอนนี้ปฏิเสธก็ยังทันนะคะ”
พวกหยางชิ่งเข้าใจกระจ่างในทันที ในที่สุดเหมียวอี้ที่กำลังขมวดคิ้วก็เข้าใจแล้ว แต่เขาจะปฏิเสธอได้เหรอ? ไม่ได้หรอก!
ไม่ได้ก็ส่วนไม่ได้ แต่ปากก็ยังต้องอ้างเหตุผลที่ฟังขึ้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเขาคนเดียว ยังต้องดึงคนกลุ่มใหญ่ไปเสี่ยงอันตรายด้วย เหมียวอี้จึงยืนขึ้นแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “หนิวคนนี้มาอยู่ที่ธงพยัคฆ์ดำหลายปีแล้ว ยังไม่ได้สร้างผลงานเลย ถ้ามากลับคำพูดตอนนี้จะมีที่ยืนในกองมังกรดำได้ยังไง?” คำพูดนี้เขาตั้งใจพูดให้เฟยหงที่อยู่ข้างๆ ฟัง
มู่อวี่เหลียนกับชวีหย่าหง สองคนที่เป็นคู่ศัตรูเกิดความคิดเห็นที่ตรงกันอย่างที่พบเห็นได้ยาก แต่จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
หลังจากเนี่ยอู๋เซี่ยวรายงานสถานการณ์ขึ้นไปแล้ว ผู้ตรวจการอวี่จ้งเจินของทัพเป่ยโต้วก็ปวดหัวเช่นกัน เขารายงานขึ้นไปอีกครั้ง เขาเดาว่าเบื้องบนคงจะไม่ตอบตกลง แต่ใครจะคิดว่าพอข่าวไปถึงโพ่จวินผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้าย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโพ่จวินคิดอะไรอยู่ เดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักผู้บัญชาการองครักษ์พักหนึ่ง ในหัวเอาแต่นึกถึงสิ่งที่ประมุขชิงหลุดปากพูดถึงจ้านหรูอี้ในตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า
หลังจากครุ่นคิดตามลำพังเป็นเวลานาน เขาก็ส่ายหน้า ตอนนี้ตัดสินใจได้แล้ว ถ่ายทอดคำสั่งลงไปทันที อนุมัติ!
ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็ได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากเนี่ยอู๋เซี่ยว สั่งให้ธงพยัคฆ์ดำกับธงพยัคฆ์น้ำเงินดึงกำลังพลจำนวนสองพันห้าร้อยไปเข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้
เบื้องบนจำกัดเวลาให้กระชั้นชิดมาก เมื่อได้รับคำสั่งมาแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองก็รีบเรียกรวมกำลังพล
คนของธงพยัคฆ์ทั้งสองกองทัพที่ถูกเรียกไปปฏิบัติภารกิจครั้งนี้บ่นนิดหน่อย เหมียวอี้ระดมพลแล้วประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคน ภารกิจในครั้งนี้ หนิวจะร่วมสู้ร่วมถอยกับพี่น้องทุกคน ถ้าจะต้องเข้าทะเลดาวสับสน ข้าก็จะเข้าไปคนแรก!”
ขนาดเขายังพูดแบบนี้แล้ว ทุกคนยังจะพูดอะไรได้อีก ยิ่งไปกว่านั้น คำสั่งทหารก็หนักแน่นดุจขุนเขาด้วย
กลับเป็นจ้านหรูอี้ที่ตกใจมากหลังจากได้รู้ว่าเหมียวอี้จะนำคนไปที่ทะเลดาวสับสนด้วยตัวเอง หลังจากกลับมาแล้ว นางก็ถามลูกน้องจนรู้ต้นสายปลายเหตุแล้วเช่นกัน ทำให้นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อย เดิมทีนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อก็จะต้องเสียใจทีหลังเหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะสุดโต่งขนาดนี้ นี่เป็นการล้อเล่นกับชีวิต!
ผู้หญิงคนนี้จึงกัดฟัน กับเรื่องแบบนี้นางไม่ย้อมล้าหลังคนอื่น จะไปด้วยตัวเองเช่นกัน
ทั้งสองสั่งงานลูกน้องเรียบร้อย แล้วเลือกกำลังพลให้ออกเดินทางไปด้วยกัน
รอจนกระทั่งทั้งสองนำกำลังพลห้าพันไปถึงนอกทะเลดาวสับสน ทัพใหญ่สิบล้านก็นับว่ามารวมตัวกันครบแล้ว
คนที่คอยบัญชาการการจับกุมในครั้งนี้มีสองคน มาจากทัพกลางของหน่วยองครักษ์ซ้ายขวา เป็นรองผู้ตรวจการใหญ่สองคนของทัพกลาง คนหนึ่งชื่อไป่หลี่เฟิง อีกคนชื่อฮ่วนอู๋เปียน สองคนนี้บัญชาการร่วมกัน จะได้สะดวกในการติดต่อกำลังพลหน่วยองครักษ์ทั้งสองฝ่าย การส่งบุคคลระดับสูงขนาดนี้มาบัญชาการ ถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง จะเห็นได้ถึงการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
เหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ก็ยังไปสัมผัสใกล้ชิดกับรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงวางกำลังตามคำสั่งเบื้องบน
เป็นไปไม่ได้ที่เบื้องบนจะปล่อยให้ทัพใหญ่สิบล้านเข้าไปจำนวนมากแล้วไม่ได้กลับออกมา เพื่อที่จะรับประกันความปลอดภัยของทัพใหญ่ จึงเตรียมการเชื่อมต่อแบบร่างแห ใช้วิธีค้นหาแบบดึงแห พยายามคงไว้ซึ่งการเชื่อมต่อจากข้างบนลงข้างล่าง พยายามรับประกันว่าหลังจากทอดแหออกไปแล้ว ตอนดึงแหกลับมาจะสามารถนำกลับมาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
…………………………