ข้างค่ายทัพกลางมีค่ายรองอีกแห่งหนึ่ง ค่ายรองแห่งนี้ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญในการเชื่อมต่อเครือข่ายกำลังพลสิบล้านไว้ด้วยกัน ค่ายรองกับค่ายทัพกลางมีผ้าม่านกั้นผืนเดียว พอได้รับคำสั่งมา กลุ่มคนในค่ายรองก็งานยุ่งทันที แต่ละกลุ่มต่างส่งข่าวลงไป สะท้อนตำแหน่งของกำลังพลใต้บังคับบัญชาตัวเองกลับมาไม่หยุด พวกเขาล้อมอยู่หน้าไม้กระดานใหญ่สีดำตัวหนึ่ง กำลังถือไม้บรรทัดวาดสัญลักษณ์ไม่หยุด ไม่นานก็แสดงตำแหน่งคร่าวๆ ของเหมียวอี้ออกมาได้แล้ว สอดคล้องกับตำแหน่งที่เหมียวอี้พุ่งไปข้างหน้าก่อนหน้านี้
เมื่อได้รับรายงานจากค่ายรองแล้ว ไป่หลี่เฟิงกับฮ่วนอู๋เปียนก็แหวกม่านเดินเข้าไปในค่ายรอง จ้องมองตำแหน่งบนกระดานดำครู่หนึ่ง แล้วไป่หลี่เฟิงก็ชี้ไปยังตำแหน่งจุดหมายทำสัญลักษณ์ไขว้กัน และออกคำสั่งว่า “ส่งนักพรตบงกชกลายสิบคนเข้าไป หลังจากสมาชิกประจำตำแหน่งแล้วค่อยสั่งให้ทัพใหญ่บุกไปข้างหน้าต่อไป”
ผ่านไปไม่นาน นักพรตบงกชกลายสิบคนก็บุกเข้าไปในทะเลดาวสับสนด้วยกัน มุ่งตรงไปยังตำแหน่งที่เหมียวอี้อยู่ เรียกได้ว่ามาตามเครือข่าย หาเหมียวอี้พบอย่างรวดเร็ว
ข้างกายเหมียวอี้มีกำลังพลใต้บังคับบัญชาหลายสิบคน กำลังลอยรออยู่ในท้องฟ้าเงียบๆ
พอคนสิบคนปรากฏตรงหน้าเหมียวอี้ โก่วเจ๋อที่นำหน้ามาก็มองประเมินเหมียวอี้หัวจดเท้าวแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
“ขอรับ! เป็นข้าน้อยเองขอรับ” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
โก่วเจ๋อเก็บสายตากลับมาจากตัวเขา แล้วมองดูโดยรอบที่เป็นสีขาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ก่อนจะถามเสียงเข้มว่า “เหตุการณ์เกิดขึ้นทางไหน สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
เหมียวอี้โบกมือชี้ “อยู่ข้างหน้านั่นขอรับ เห็นเงาคนแวบผ่านไปรางๆ คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาไม่ได้แข็งแกร่งแบบธรรมดา”
เหยียนซิวสีหน้าเรียบเฉย ส่วนหยางเจาชิงและคนอื่นๆ ก็แปลกใจนิดหน่อย ทัพใหญ่ไม่เห็นรู้สึกได้ถึงสถานการณ์อย่างที่เหมียวอี้บอกเลย ทว่าคำพูดนี้ออกมาจากปากผู้บัญชาการใหญ่ กำลังพลระดับล่างจึงไม่มีใครสงสัย อย่างไรเสีย เรื่องที่ตัวเองสัมผัสไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าผู้บัญชาการใหญ่สัมผัสไม่ได้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะตัวเองไม่ทันได้สนใจก็ได้
การมาครั้งนี้ ข้างกายเหมียวอี้พามาด้วยเพียงเหยียนซิวกับหยางเจาชิง ไม่ได้พาคนอื่นมา
โก่วเจ๋อร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดผ่านเหมียวอี้ทันที ให้เหมียวอี้ได้สัมผัสถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แล้วถามเสียงต่ำว่า “เทียบกับข้าแล้วเป็นยังไง?”
เหมียวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “เหมือนจะพอๆ กับคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของนายท่านขอรับ”
ยังดีที่พลังพอๆ กัน เพราะฝ่ายตัวเองมีคนเยอะ โก่วเจ๋อแอบโล่งใจ และไม่ได้พูดอะไรอีก จ้องมองทิศทางที่เหมียวอี้ชี้บอก พร้อมบอกสหายร่วมงานที่อยู่ทางซ้ายและขวาว่า “พวกเราสิบคนดึงระยะห่างออกจากกัน ใช้กระบวนทัพรูปสามเหลี่ยมบุกไปข้างหน้าร้อยลี้ แล้วต่างคนต่างรักษาระยะห่างหนึ่งร้อยลี้ อย่าไปไกลเกิน อยู่ตรงหน้าสุดของทัพใหญ่ไว้ก็พอ ถ้าเจอสถานการณ์อะไรก็อย่ารีบร้อนลงมือ ถ้าเจอศัตรูจริงๆ สถานการณ์ที่นี่ไม่ชัดเจน พยายามเรียกรวมทุกคนให้รับมือพร้อมกัน”
พวกเขาพยักหน้า แล้วปรึกษากันจนได้ตำแหน่งของกันและกันในรูปกระบวนทัพ จากนั้นก็ติดต่อไปยังค่ายทัพกลางโดยตรง
ผ่านไปครู่เดียว ทัพใหญ่สิบล้านรวมทั้งเหมียวอี้ก็ได้รับคำสั่งแล้ว ให้บุกไปข้างหน้าต่อ
พอทัพใหญ่ที่อยู่ทางนี้เคลื่อนไหว โก่วเจ๋อก็โบกมือ คนสิบคนกระจายตัวกันออกไป นำเข้าไปยังจุดลึกข้างหน้า
เมื่อมีการเสริมกำลังจากสิบคนนี้ เหมียวอี้ก็แอบโล่งใจแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเยียนเป่ยหงเจออะไรกันแน่ นึกไม่ถึงว่าในทะเลดาวสับสนยังซ่อนยอดฝีมือนิรนามเอาไว้ด้วย ถ้าไม่ดึงตัวยอดฝีมือมาป้องกันเหตุไม่คาดคิดก็จะไม่เหมาะสมเลยจริงๆ
เมื่อเห็นสิบคนนั้นหายไป เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกเช่นกัน บอกใบ้ให้หยางเจาชิงบัญชาการกำลังพลอยู่ที่นี่ ส่วนเขาก็นำเหยียนซิวเร่งความเร็วตามไปยังทิศทางที่ยอดฝีมือสิบคนนั้นหายไปอย่างเปิดเผย
“พี่หยาง ทำไมผู้บัญชาการใหญ่ถึงเสี่ยงอันตรายขนาดนี้?” เหมาอวี่จวิน รองผู้บัญชาการทัพกลางธงพยัคฆ์ดำถามอย่างตกใจ จะไม่ให้ตกใจคงไม่ได้หรอก ถ้าหลุดออกไปจากเครือข่ายที่วางไว้ก็จะหลงทางได้ง่ายมาก
หยางเจาชิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้ทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร แต่ปากกลับตอบอย่างใจเย็นว่า “รองผู้บัญชาการเหมาวางใจเถอะ ผู้บัญชาการใหญ่ทำแบบนี้แสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน”
ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่ได้ออกห่างจากกลุ่มคนไปไกลสักเท่าไรหรอก เขาเพียงจะหลบหูหลบตาคนที่อยู่ข้างหลังก็เท่านั้นเอง หลังจากรักษาระยะห่างกับกำลังพลข้างหลังได้ประมาณสิบลี้ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เปิดตาทิพย์ทันที
เสาแสงที่มีรัศมีสีรุ้งลอยวนเวียนยิงออกมาจากหว่างคิ้วของเหมียวอี้อย่างฉับพลัน
เหยียนซิวที่อยู่ข้างๆ ตกตะลึง เหยียนซิวผู้มีสีหน้าเรียบเฉยมาตลอด ในตอนนี้แสดงสีหน้าตกตะลึงแล้ว ขณะที่จ้องลูกตาโปร่งแสงสีรุ้งในรอยนูนที่แยกออกตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ จ้องดวงตาที่สามที่ยิงรัศมีสีรุ้งออกมา ในแววตาเขาก็เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสภาพแปลกประหลาดตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้ยังแปลกใจว่าทำไมตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้มีรอยนูนเพิ่มขึ้นมา นึกว่าเป็นรอยที่เหมียวอี้ได้รับบาดเจ็บอะไรมา นึกไม่ถึงว่าข้างในจะซ่อนลูกตาดวงนี้ไว้
พอเปิดใช้ตาทิพย์ สำหรับเหมียวอี้แล้ว หมอกหนาตรงหน้าไม่มีทางเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นใดๆ ของเขาได้ ชั่วประเดี๋ยวเดียวสายตาก็มองทะลุหมอกหนา เห็นพวกโก่วเจ๋อที่กระจายตัวเป็นกระบวนทัพรูปสามเหลี่ยมอยู่เบื้องหน้าแล้ว พบว่าพวกเขากำลังรักษาระดับความเร็วในการบุกไปข้างหน้าให้เท่ากับทัพหลัง ไม่ได้อาศัยวรยุทธ์สูงและความเร็วเพื่อบุกเข้าไป
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากเห็น เขาขยายระยะสายตาออกไปอีก มองไปยังจุดลึกในหมอกหนา แล้วกวาดสายตามองโดยรอบ
การใช้ตาทิพย์ทำให้สิ้นเปลืองพลังอิทธิฤทธิ์เยอะมาก โชคดีที่เขาไม่ได้เหมือนในปีนั้น เพราะตอนนี้วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าแล้ว เป็นความต่อเนื่องที่ในปีนั้นเทียบไม่ติด ถ้าไม่มีที่พึ่งแบบนี้ เขาก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าครั้งนี้จะช่วยชีวิตเยียนเป่ยหงออกมาได้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าใช้สายตาไกลเกินไป ยิ่งระยะในการมองสำรวจยิ่งไกล ก็ยิ่งสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์มาก
อิงตามความเร็วในการเหาะและเวลาที่เยียนเป่ยหงบอก เขาสามารถคำนวณระยะห่างได้คร่าวๆ แล้ว หลังจากเพิ่มระยะสายตาในการคาดคะเนอีกหนึ่งเท่า เขาก็รีบกวาดสายตามอง
ที่เขาให้เยียนเป่ยหงเตรียมฝุ่นผงสีแดงเข้มจำนวนมาก สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย ทะเลดาวสับสนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ขนาดนั้น ร่างกายของคนคนเดียวจึงเล็กน้อยเหมือนฝุ่นผงเมื่ออยู่ที่นี่ ถึงแม้เหมียวอี้จะมีตาทิพย์ แต่ถ้าอยากจะหาให้พบก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร การให้เยียนเป่ยหงโปรยผงสีแดงท่ามกลางหมอกหนาสีขาว ก็เพื่อจะให้สะดุดตา จะได้หาเป้าหมายพบได้สะดวก
แต่แทนที่จะเห็นผงสีแดงที่เยียนเป่ยหงปล่อยออกมา เขากลับเห็นวัตถุกลุ่มหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสยดสยอง
ตรงจุดลึกของหมอกหนา วัตถุสีขาวกลุ่มหนึ่งกำลังบินร่อนอย่างรวดเร็วอยู่ในหมอก
เพื่อที่จะให้เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ได้อย่างสงบใจ เหยียนซิวที่กำลังเกาะแขนข้างหนึ่งของเหมียวอี้เหาะสังเกตเห็นความผิดปกติของเหมียวอี้แล้ว เขาพบว่าเหมียวอี้ที่หลับตาใช้สมาธิกำลังเบิกตาทิพย์จ้องไปยังทิศทางหนึ่งโดยไม่ขยับไปไหน เหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง เขาจึงมองตามไปยังทิศทางนั้นเช่นกัน แต่นอกจากสีขาวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาก็มองไม่เห็นอะไรอย่างอื่นเลย
เพื่อที่จะดูให้ชัดเจนว่าวัตถุสีขาวกลุ่มนั้นคืออะไรกันแน่ เหมียวอี้จึงร่ายอิทธิฤทธิ์ขยายไปยังเป้าหมายอีก ผลก็คือพบว่าวัตถุสีขาวแต่ละตัวที่กำลังบินอยู่ บางครั้งก็เหมือนนก บางครั้งก็เหมือนค้างค้าว ขนาดร่างกายมีทั้งใหญ่มีทั้งเล็ก สรุปก็คือร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และมองไม่เห็นพวกหูตาจมูกปากเช่นกัน เหมือนของอะไรสักอย่างที่ห่ออยู่ในผ้าขาว ราวกับเป็นวิญญาณสีขาวหลายดวง
นี่มันตัวอะไรกันแน่? เหมียวอี้ประหลาดใจไม่หยุด เขาไม่เคยเห็นของสิ่งนี้มาก่อนเลย และนึกไม่ถึงด้วยว่าในทะเลดาวสับสนจะยังมีสิ่งที่ปรับตัวได้อย่างอิสระแบบนี้อยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะวัตถุพวกนี้กำลังขยับ เมื่ออยู่ในสภาพที่แยกสีสันกับรอบข้างไม่ออก พวกมันก็แทบจะถูกเหมียวอี้มองข้ามไปเลย
ผ่านไปไม่นาน เขาก็พบว่าวิญญาณสีขาวกลุ่มนี้เหมือนจะกำลังหาของบางอย่างอยู่ กำลังล้อมพัวพันอยู่ในบางเขต
จู่ๆ เหมียวอี้ก็เกิดความคิดบางอย่างในใจ พวกมันคงไม่ได้กำลังหาเยียนเป่ยหงอยู่หรอกใช่มั้ย?
ตาทิพย์รีบเพ่งค้นหาไปยังน่านฟ้าที่วิญญาณสีขาวกำลังบินวนเวียนค้นหา ทำให้ได้ค้นพบอะไรบางอย่างเหมือนที่คาดไว้ ทั้งยังเป็นการค้นพบที่ดีมากอีกด้วย ในหมอกหนาสีขาวที่อยู่ตรงนั้นถูกระบายด้วยหมอกหนาสีแดง เหมียวอี้ดีใจมาก เขาเดาว่าน่าจะเป็นผงสีแดงที่เยียนเป่ยหงปล่อยไว้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเยียนเป่ยหงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
เมื่อย่อขอบเขตในการค้นหาให้เล็กลง ต่อไปก็จัดการได้ง่ายแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าให้หาไปทั่วเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร นอกจากจะทนสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ซ้ำไปซ้ำมาไม่ไหวแล้ว เขาก็กังวลว่าถ้าปล่อยให้เวลายืดเยื้อก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีได้ ในตอนนี้ ตาทิพย์ของเขากำลังควานหาในอาณาเขตเดียวอย่างรวดเร็ว กำลังแยกแยะวินิจฉัยที่จุดเดียว
ขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเยียนเป่ยหง ให้เขาปล่อยฝุ่นผงสีแดงเพิ่มอีกเพื่อขยายเป้าหมาย
เยียนเป่ยหงที่รออยู่ในอวกาศเงียบๆ ระแวดระวังรอบด้าน ไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้กำลังทำอะไร แต่ก็ยังทำตามที่บอก
เพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ตาทิพย์ก็เจอสีแดงกลุ่มหนึ่งที่เข้มเป็นพิเศษของบริเวณนั้น จึงรีบเล็งไปยังจุดเล็กสีดำจุดหนึ่งที่กำลังเคลื่อนไหว เหมียวอี้ใช้พลังตาทิพย์ขยายให้ใหญ่ขึ้น สิ่งที่พบก็คือเยียนเป่ยหงที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวา
ถ้ามีแค่เยียนเป่ยหงก็ว่าไปอย่าง ตาทิพย์ของเหมียวอี้วูบไหวเล็กน้อย พบว่าตรงจุดไกลๆ มี ‘วิญญาณสีขาว’ กลุ่มใหญ่กำลังบินไปหาเยียนเป่ยหง ราวกับเป็นฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือด ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนี้เหมือนจะความรู้สึกไวต่อฝุ่นผงชนิดอื่นที่รวมอยู่ในฝุ่นผงสีขาวมาก ราวกับโดนสบประมาท
เหมียวอี้จะกล้าลังเลได้อย่างไร รีบใช้ระฆังดาราติดต่อเยียนเป่ยหง : พี่ใหญ่เยียน รีบหยุดลงมือ วัตถุลึกลับบางอย่างกำลังไปหาท่านแล้ว ท่านหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของท่านเดี๋ยวนี้ เร็วเข้า!
เยียนเป่ยหงไม่รู้ว่าเหมียวอี้วินิจฉัยอย่างไรจึงรู้ พอได้ยินเหมียวอี้พูดอย่างร้อนใจ เขาก็ไม่กล้าชักช้าเช่นกัน เลี้ยวเลี่ยนทิศทางทันที รีบหนีไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ตอนที่เข้าเพิ่งจะหนีไปได้ไม่นาน ‘วิญญาณสีขาว’ กลุ่มนั้นก็กวาดมายังบริเวณนี้แล้ว แล้วก็เริ่มวนเวียนไปจนทั่วอีก
ตอนนี้เหมียวอี้ยังไม่สนใจพวกมัน ตาทิพย์จ้องไปที่เยียนเป่ยหงแล้ว กำลังชี้แนะให้เยียนเป่ยหงปรับเปลี่ยนทิศทางเหาะไปยังดาวดวงหนึ่งที่ลอยอยู่บนเส้นทางที่ตัวเองกำลังมุ่งไป หลังจากแน่ใจแล้วว่าเยียนเป่ยหงหลุดออกจาก ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้นและปรับทิศทางถูกแล้ว เหมียวอี้ก็รีบหยุดใช้ตาทิพย์ แล้วรีบกลืนยาแก่นเซียนเพื่อฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์โดยเร็วไว การสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์เป็นเวลานานแทบจะทำให้เขาร่างกายเสื่อมทรุด ตอนนี้สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
โชคดีว่าเหยียนซิวที่อยู่ข้างกายควรค่าแก่การเชื่อใจ เขาสามารถฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์ได้อย่างสงบใจ เหยียนซิวพาเขาเหาะไปข้างหน้าต่อโดยรักษาความเร็วเอาไว้
ทว่าเหมียวอี้ก็ไม่กล้ารอให้พลังอิทธิฤทธิ์ฟื้นตัวอย่างเต็มที่เช่นกัน พอผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามก็เปิดดวงตาทิพย์อีกครั้ง จ้องมองกลุ่มดวงดาวไร้ระเบียบที่สั่งให้เยียนเป่ยหงซ่อนตัวอยู่ รอจนกระทั่งพวกโก่วเจ๋อเหาะผ่านด้านบนของดาวกลุ่มนั้นไปแล้ว เหมียวอี้ก็รีบใช้ระฆังดาราติดต่อเยียนเป่ยหงอีกรอบ
แทบจะเป็นตอนที่เขากับเหยียนซิวเพิ่งจะเหาะเขาไปใกล้ด้านบนของดาวกลุ่มนั้น เยียนเป่ยหงบังเอิญพุ่งตรงขึ้นมาจากดาวกลุ่มนั้นพอดี แทบจะชนปะทะหน้ากับทั้งสองคน
“พี่ใหญ่เยียน!” เหมียวอี้เห็นแล้วดีใจมาก ตาทิพย์ที่สูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์ไปเยอะมากพลันหยุดทำงาน ตรงหว่างคิ้วกลับไปเป็นรอยนูนหนึ่งขีดเหมือนเดิมแล้ว
เยียนเป่ยหงเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเหมียวอี้จะหาตัวเองพบได้ง่ายดายขนาดนี้ เขามองสภาพประหลาดที่เพิ่งเก็บกลับเข้าไปตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้อย่างตะลึงงัน ทำให้พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
เหมียวอี้ที่เหาะเข้ามาถือโอกาสดึงแขนเขา พาเขาเหาะไปข้างหน้าด้วยกัน “ข้างหน้ามียอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพสิบคน ข้างหลังมีทัพใหญ่สิบล้านของตำหนักสวรรค์ ตอนนี้ลำบากพี่ใหญ่เยียนเข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของข้าชั่วคราวก่อน”
พอเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนสูญเสียพลังอิทธิฤทธิ์มากเกินไป เยียนเป่ยหงก็ไม่พูดอะไรแล้ว เป็นฝ่ายมุดเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้เอง
หาเยียนเป่ยหงพบแล้ว แต่เหมียวอี้กลับวางใจไม่ลง ทางนี้กำลังเหาะไปข้างหน้าต่อ ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องเจอกับ ‘วิญญาณสีขาว’ พวกนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า
…………………………