พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1406 ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย

ชายชราลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สายตาที่เฉียบคมพลันจ้องไปที่สตรีชุดดำเงียบๆ

สตรีชุดดำกระตุกมุมปากเล็กน้อย หันหน้าไปอีกทาง ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อ

“เฮ้อ!” ทันใดนั้นด้านหลังก็มีเสียงชายชราถอนหายใจเบาๆ “นางหนูไป๋หยุดก่อน ตาแก่คนนี้รอมานานแล้ว”

สตรีชุดดำหันกลับมามองแวบหนึ่ง นางตกใจทันที พบว่าชายชราชุดขาวผมสีเงินปลิวสะบัดเหาะตามหลังเข้ามาใกล้นางแล้ว

“ท่านเป็นใคร? กำลังเรียกข้าเหรอ? ท่านจำผิดคนแล้วรึเปล่า?” สตรีชุดดำอุทานถามด้วยเสียงแหบพร่า

จู่ๆ ก็มีเสียง “ซู่ๆ” ดังขึ้น ผมสีเงินของชายชราพลันกระเซิงออกมา ขยุ้มเข้ามาราวกับตาข่ายผืนใหญ่ เร็วจนฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางหลบพ้น

สตรีชุดดำรีบโบกดาบใหญ่ออกมา ฟันใส่ผมสีเงินที่พัวพันเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทว่าผมของชายชราแข็งแรงทนทานมาก ไม่ใช่แค่ฟันไม่ขาด แต่กลับพันดาบของสตรีวัยกลางคนเอาไว้ราวกับเป็นงูสีเงิน แล้วเลื้อยคดเคี้ยวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พันแขนของสตรีวัยกลางคนเอาไว้แล้ว

ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ผมสีเงินที่พันเข้ามาก็มัดสตรีชุดดำเอาไว้แน่น ผมสีเงินหดลงอย่างประหลาด ดึงนางเข้ามาใกล้โดยตรง

พอร่างของสตรีชุดดำโยกไหว ทั้งตัวก็ราวกับกลายเป็นของเหลว แทรกซึมออกมาจากรอยแยกที่โดนรัดพันเพื่อหนีออกไป

วึง! ผมสีเงินพลันสะบัดกลับมาด้านหลัง ปลิวสะบัดอย่างรุนแรงอยู่ข้างหลังชายชรา เงาฝ่ามือใหญ่ประมาณหนึ่งจั้งถูกปล่อยออกมาอย่างมีพลังราวกับฟ้าผ่า ปั้ง! ประทับไว้บนหลังของร่างกายคนที่เหมือนของเหลว

“อั้ก!” น้ำเลือดสีขาวกระอักออกมาอย่างบ้าคลั่ง เงาคนที่เหมือนของเหลวกลิ้งอยู่กลางอากาศ กลายเป็นร่างคนสวมชุดกระโปรงสีขาวม้วนกลิ้ง ปรากฏร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงตรงนั้น

รอจนไป๋เฟิ่งหวงกระอักเลือดเสร็จจนยืนนิ่งแล้ว ก็พบว่าชายชราลอยมาอยู่ตรงหน้าของนางเงียบๆ และกำลังจ้องนางอยู่

ไป๋เฟิ่งหวงราวกับประสาทเสียไปแล้ว ชี้ชายชราพร้อมแหกปากถามด้วยเสียงแหลม “โหยวอี ข้ากับท่านไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ทำไมต้องมาทำร้ายข้าด้วย?”

นางจำคนไม่ผิด ชายชราคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือโหยวอี ปรามาจารย์ผู้บุกเบิกปราสาทดำเนินเซียน!

“มีคนสั่งให้ตาแก่คนนี้มาบอกเจ้า ว่าให้เจ้ารักษาสัญญาที่ให้ไว้ตอนแรก!” โหยวอีกล่าวด้วยสีหน้าสุขุม

ไป๋เฟิ่งหวงตะลึงค้าง เบิกตากว้างจ้องเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มทำสีหน้าสยดสยอง เหมือนไม่กล้าทำใจเชื่อ ตวาดอีกว่า “สัญญาอะไร? ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอะไร!”

ที่จริงโหยวอีก็ไม่รู้เช่นกันว่าเฟิ่งหวงต้องรักษาสัญญาอะไร เพียงแต่มีคนติดต่อเขามา ว่าให้เขารีบตามมาสั่งสอนไป๋เฟิ่งหวง ตอนนี้เขาก็แค่ปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสัญญาอะไร เขาก็พูดเร่งต่อไป “ไปเถอะ!”

ไป๋เฟิ่งหวงตวาดกลับว่า “ไปอะไรล่ะ! ผ่านไปหลายปีขนาดนั้นแล้ว คนก็ไม่อยู่แล้ว ทำไมต้องไปให้คนประหลาดที่ไหนก็ไม่รู้มาผูกมัดข้า? ข้าไม่ไป!”

“ข้าไม่ได้มาขอร้องเจ้าหรอก แต่มีคนลั่นวาจาไว้แล้ว ว่าถ้าเจ้าไม่ทำตามสัญญา ก็จะทำให้เจ้าหายไปจากโลกนี้” โหยวอีกล่าว

“…” ไป๋เฟิ่งหวงเอามือสองข้างกุมศีรษะ นางแทบจะเป็นบ้าแล้ว นางนึกว่าถ้าเหมียวอี้ไม่รู้เรื่องนั้น นางก็จะตบตาปล่อยให้ผ่านไปได้ นึกไม่ถึงว่าประมุขปราสาทดำเนินเซียนจะออกหน้ามาสู้กับนางด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกกลัวก็คือ นางไม่รู้ว่าโหยวอีหานางพบได้อย่างไร นางแน่ใจว่าไม่มีใครตามนางมา เพราะนางปลอมตัวใหม่ตั้งสามรอบแล้ว ทำไมยังมีคนมารอนางอยู่ที่นี่เหมือนเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายอีกล่ะ?

จู่ๆ นางก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมในปีนั้นตอนที่นางหนี ผู้ชายคนนั้นถึงตามหานางเจอได้ง่ายๆ

“ไม่ถูกสิ…” นางพลันเงยหน้า แล้วอุทานอย่างประหลาดใจ “ท่านเองก็ทรยศเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังช่วยเขาทำเรื่องแบบนี้อยู่อีกล่ะ? เขาตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” พูดจบก็นำระฆังดาราออกมาติดต่อใครบางคน แต่ติดต่อไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคนตายไปแล้ว ก็แปลว่าระฆังดาราโดนอะไรบางอย่างกั้นไว้ จึงอุทานถามอย่างตกใจอีกครั้ง “คนก็ตายไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ข้ารักษาสัญญา?”

โหยวอีได้แต่มองนางอย่างสงบนิ่ง

ไป๋เฟิ่งหวงร้องโวยวายอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ สงบลง แล้วถามอย่างระแวงสงสัยว่า “อย่าบอกนะว่าเขายังไม่ตาย? อย่าบอกนะว่าเรื่องที่พวกท่านทรยศเขาในปีนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก? ทำไมพวกท่านถึงเล่นงานเขาให้ถึงตายล่ะ?”

“รักษาสัญญาของตัวเอง ตั้งใจทำเรื่องของเจ้าให้ดีเถอะ” โหยวอีถาม

“อย่ามาขู่ข้า ท่านเชื่อมั้ยว่าเดี๋ยวข้าจะไปขอพึ่งพาประมุขชิง!” ไป๋เฟิ่งหวงตวาด

โหยวอีจึงบอกว่า “ที่ข้ามารอเจ้าอยู่ตรงนี้ได้ เจ้าก็น่าจะเข้าใจได้แล้วนะ ว่าข้างกายประมุขชิงก็อาจจะไม่ปลอดภัย เบาะแสของเจ้าอยู่ในมือของใครบางคนมาตลอด เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”

“อ๊า…” ไป๋เฟิ่งหวงเอามือกุมหัวกรีดร้องราวกับเป็นบ้าไปแล้ว “เพราะอะไร!”

เหมียวอี้ที่ได้ของของตัวเองกลับมาแล้วเริ่มงานยุ่ง พบว่ามีหลายฝ่ายติดต่อมาไม่หยุด

อวิ๋นจือชิวส่งขาวมา ถามถึงสถานการณ์ที่ทะเลดาวสับสน ฝั่งอวิ๋นอ้าวเทียนก็กำลังสนใจเบาะแสของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้น จีเหม่ยลี่และพวกอนุภรรยาก็ส่งข่าวมาเช่นกัน บอกว่าอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตัวเองก็สนใจเบาะแสของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นเช่นกัน จินม่านจากลัทธิอู๋เลี่ยงก็ส่งข่าวมาเช่นกัน กำลังสนใจที่อยู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เช่นเดียวกัน

ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันทำให้กลุ่มโจรกบฏกระตือรือร้นมาก ในที่สุดเหมียวอี้ก็ได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วว่าทางตลาดมืดคึกคักขนาดไหน

ที่จริงพวกอวิ๋นจือชิวติดต่อเขามาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ของตกอยู่ในมือไป๋เฟิ่งหวงจึงไม่สามารถสื่อสารกันได้ ตอนนี้เพิ่งจะติดต่อกันได้

เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในค่าย ของของเขาได้มาจากไป๋เฟิ่งหวง แต่ไม่สะดวกจะนำออกมาใช้อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นจะอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ จะต้องหาเหตุผลสักอย่างมาแก้ตัว

ในขณะนี้เอง ด้านนอกก็มีคนมารายงานอีก “ผู้บัญชาการใหญ่ สหายของท่านมาแล้ว”

“สหายคนไหน?” เหมียวอี้แปลกใจ

“ชายชราที่เพิ่งออกไปจากที่นี่เมื่อไม่กี่วันก่อน” ลูกน้องตอบ

ไป๋เฟิ่งหวง? เหมียวอี้พลันหรี่ตา ผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาทำไมอีก? จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “เชิญเข้ามา”

ผ่านไปไม่นาน ชายชราก็ถูกนำตัวเข้ามาทำความเคารพในค่าย เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว เหมียวอี้ก็พลันยืนขึ้น แล้วถามเสียงต่ำว่า “เจ้ามีเจตนาอะไร?” เขาสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้จะเอาเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของเขามาใช้เป็นจุดอ่อนเพื่อขู่เขา

ชายชราทำสายตาเหมือนอยากจะกัดเขาให้ตาย “ให้เจ้าหน้าผีข้างกายเจ้าถอยไปก่อน”

“เขาไม่ใช่คนนอก มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกมาตรงๆ ได้เลย” เหมียวอี้กล่าว

ชายชราเหมือนไม่มีอะไรจะเถียง แต่สุดท้ายก็ยังปรากฏร่างเดิมของไป๋เฟิ่งหวงออกมา แล้วก้มตัวลงด้วยความยากลำบากมาก นางคุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้อย่างช้าๆ คุกเข่าลงบนพื้นอย่างจริงจังแล้ว จากนั้นก้มหน้าอย่างรู้สึกไม่ยอม แล้วบอกว่า “ไป๋เฟิ่งหวงคำนับนายท่าน”

“…” ลูกตาของเหมียวอี้แทบจะถลนออกมา ต่อให้จะมีแผนการอะไร แต่ยอดฝีมือระดับบงกชกลายคนหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าให้ตนหรอกมั้ง?

เหยียนซิวที่มีสีหน้าตายด้านเย็นชาก็งงเช่นกัน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

การกระทำของผู้หญิงคนนี้ทำให้เหมียวอี้ทำอะไรไม่ถูก “เจ้าทำอะไรน่ะ?”

ไป๋เฟิ่งหวงพลันเงยหน้า แล้วถามเหมือนเหน็บแนมว่า “ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายไง เจ้าไม่ดีใจรึไง?”

เหมียวอี้ไม่รู้สึกดีใจ มีแต่ความรู้สึกตกใจเท่านั้น “เจ้าหมายความว่ายังไง?”

เมื่อเห็นเขาไม่เรียกให้ตนลุกขึ้นสักที ไป๋เฟิ่งหวงก็พลันยืนขึ้นเอง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “ข้าอุตส่าห์คุกเข่าให้เจ้าแล้ว เจ้ายังจะให้ข้าพูดอีกกี่รอบ ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายไง ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านาย…” นางตะโกนซ้ำๆ แล้วสุดท้ายก็ถามว่า “เจ้าพอใจแล้วสินะ?”

ผู้หญิงคนนี้เล่นบ้าอะไรของนาง? เหมียวอี้ขมวดคิ้วครุ่นคิด ไป๋เฟิ่งหวงหยิบระฆังดาราสองอันออกมาแล้ว แบ่งลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองลงไป แล้วตบวางลงบนโต๊ะของเขา “ทิ้งวิธีติดต่อเอาไว้”

เหมียวอี้ได้แต่มองนางอยู่อย่างนั้น

ไป๋เฟิ่งหวงรอได้ประเดี๋ยวเดียว รอจนทนไม่ไหวแล้ว “เจ้าไม่เต็มใจเหรอ? คงไม่ถึงขั้นอยากเก็บข้าไว้ข้างกายหรอกใช่มั้ย? ถ้าเจ้าไม่กลัวว่าจะเผยพิรุธอะไรให้ตำหนักสวรรค์จับได้ งั้นข้าก็ไม่สนใจเหมือนกัน”

เหมียวอี้กลัวว่านางจะใช้สิ่งนี้มาบีบจุดอ่อนเขา แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ผู้หญิงคนนี้กุมจุดอ่อนที่ใหญ่มากของเขาเอาไว้แล้ว จึงนำระฆังดาราสองอันออกมาลงอิทธิฤทธิ์เอาไว้ อยากจะเห็นว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่

ไป๋เฟิ่งหวงคว้าระฆังดาราเอาไว้อันหนึ่ง “ถ้าไม่มีอะไรจะกำชับ ข้าก็ขอตัวก่อน มีธุระแล้วค่อยติดต่อมา” นางพูดจบแล้วหันหน้าเดินออกไปเลย รวดเร็วฉับไวมาก

“เดี๋ยวก่อน!” เหมียวอี้ตะโกนหยุด

“มีวาจาก็รีบเอ่ย มีตดก็รีบปล่อย” ไป๋เฟิ่งหวง

เหมียวอี้บอกว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นในมือเจ้าดึงดูดความสนใจของอำนาจฝ่ายต่างๆ แล้ว เจ้าเตรียมจะจัดการยังไง?” ถ้าเป้นไปได้ เขาก็ไม่ถือสาที่จะเป็นคนกลางให้ ช่วยประสานงานเรื่องการขายให้พวกอวิ๋นจือชิว

ไป๋เฟิ่งหวงอึ้งไปครู่หนึ่ง ทำสายตาล่อกแล่ก แล้วก็ยิ้มพลาเงดินกลับมาอีก นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา แล้วถามว่า “เจ้าอยากได้เหรอ? ข้าให้เจ้าได้นะ”

หลังจากได้ฟังข่าวในช่วงนี้ นางก็รู้ว่าตัวเองหาเรื่องใส่ตัวเข้าแล้ว ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนั้นค่อนข้างร้อนมือ

“ให้ข้าเหรอ?” เหมียวอี้ถาม

“ไม่ได้ให้เฉยๆ อยู่แล้ว ช่วยอะไรข้าสักหน่อยสิ” ไป๋เฟิ่งหวงตอบ

“บอกมาก่อนว่าให้ช่วยอะไร” เหมียวอี้ถามอีก

ไป๋เฟิ่งหวงตอบว่า “ช่วยข้ากำจัดบุรุษจัญไรหกเนตรก่อน ขอเพียงกำจัดบุรุษจัญไรหกเนตรได้ ข้าถึงจะกลับไปที่ทะเลดาวสับสนได้อย่างสงบใจ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยทั้งนั้น เจ้าก็รู้ว่าตำหนักสวรรค์กำลังตามจับข้าไปทั่ว”

เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “นี่เจ้ากำลังกลั่นแกล้งข้าไม่ใช่เหรอ ตอนนี้บุรุษจัญไรหกเนตรอยู่ที่ทะเลดาวสับสน ข้างกายมีแต่ยอดฝีมือของตำหนักสวรรค์ ข้าจะใช้วิธีไหนลงมือล่ะ?”

ไป๋เฟิ่งหวงบอกว่า “เจ้าก็ส่งยอดฝีมือมาช่วยข้าสักจำนวนหนึ่ง ติดตามข้าเข้าไปในทะเลดาวสับสนก็พอแล้ว ส่วนรายละเอียดเรื่องปฏิบัติการข้าจะวางแผนเอง”

เหมียวอี้พูดไม่ออก กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ข้าจะเอายอดฝีมือจากไหนมาให้เจ้า? ถ้ามียอดฝีมือจริงๆ เจ้าจะได้มากำเริบเสิบสานอยู่ที่นี่เหรอ”

ไป๋เฟิ่งหวงกลอกตา “อย่ามาแกล้งโง่หน่อยเลย ปราสาทดำเนินเซียนไง เลือกยอดฝีมือคนไหนก็ได้จากสิบปราสาทดำเนินมาให้ข้าก็พอแล้ว”

เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ เขาไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถในการบงการคนของสิบปราสาทดำเนินได้ ตอนแรกถึงแม้จะเคยร่วมงานกับปราสาทดำเนินนภามาก่อน แต่เขาก็ใช้เงินจ่าย ถ้าจะให้พวกเขาสู้กับกำลังพลของตำหนักสวรรค์จริงๆ ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้

แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีเลย ถ้าสิบปราสาทดำเนินช่วยไม่ได้ ก็ให้กลุ่มโจรกบฏจากแดนอเวจีมาลองดูก็ได้ เจ้าพวกนั้นทิ้งอำนาจไว้ด้านนอกตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ พวกเขาอยากจะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? จะไม่ออกแรงสักหน่อยได้อย่างไร

พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็พยักหน้าบอกว่า “ข้าจะพิจารณาดูสักหน่อย ถ้ามีข่าวอะไรจะติดต่อเจ้าไป”

แขนเสื้อโคร่งใหญ่สีขาวสะบัดตรงหน้าเหมียวอี้ ไป๋เฟิ่งหวงหมุนตัวกลายร่างเป็นชายชรา แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “งั้นข้าก็จะรอฟังข่าวดีจากเจ้าแล้วกัน”

จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถามอีกว่า “คนที่สร้างพันธนาการไว้บนตัวเจ้าเป็นใครกันแน่?”

ชายชราหันกลับมายิ้มตาหยี แล้วกล่าวเป็นเสียงผู้หญิง “เจ้าเดาสิ!”

เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง “ประมุขไป๋?”

“เหอะๆ…” ชายชราหัวเราะในขณะที่จากไป ไม่ได้ให้คำตอบเขา

ขณะที่มองคล้อยหลังผู้หญิงคนนี้จากไป เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาไม่คิดว่าผู้หญิงบ้าคนนี้จะยอมรับเขาเป็นเจ้านายจริงๆ สงสัยตนจะยิ่งจมอยู่ในกับดักนี้ลึกลงไปเรื่อยๆ แล้ว สิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันเรียกว่าเรื่องอะไรกัน

หลังจากนั้นหลายวัน เนี่ยอู๋เซี่ยวก็เรียกเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้ไปที่กองมังกรดำ ต้องการจะให้ทั้งสองไปทำภารกิจลับที่ตลาดมืด พูดชัดเจนว่าเบื้องบนตั้งใจจะส่งทั้งสองไป ไม่เกี่ยวอะไรกับแม่ทัพภาคอย่างเขา

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset