พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1410 นอกเสียจากตระกูลเซี่ยโห้วจะรับรองความปลอดภัย

สถานที่ที่มีแต่พวกอันธพาลหลอกเอาผลประโยชน์กันแบบนี้ พอเจอหน้าก็จะให้กินของกินแล้วเหรอ? เหมียวอี้จ้องสุราอาหารพลางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ได้วางยาพิษใช่มั้ย?”

“จะไปวางยาพิษคนคุ้นเคยได้ยังไง เจ้าว่ามั้ยล่ะ?” ฮวาหูเตี๋ยกล่าวแกมหยอกล้อ

เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้จำข้าได้จริงๆ? แต่จากนั้นก็ปิดบังความตกตะลึงของตัวเอง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยเล่นมุขแล้ว พวกเราเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก จะกลายเป็นคนคุ้นเคยกันได้ยังไง ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ คนคุ้นเคยของเถ้าแก่เนี้ยคงจะมีเยอะเกินไปแล้วล่ะ”

ฮวาหูเตี๋ยจับสังเกตอย่างละเอียดมาตลอด สังเกตได้แล้วว่าสีหน้าเขาผิดปกติอยู่แวบหนึ่ง ในใจนางก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น นางฉีกหนังปลอมบนใบหน้าตัวเองออก แล้วเอียงหน้าไปทางซ้ายทางขวา ราวกับกำลังให้เหมียวอี้ชื่นชม แล้วกระพริบดวงตาที่ฉ่ำวาวพร้อมถามว่า “ไม่รู้จักจริงเหรอ?”

“ในเมื่อเถ้าแก่เนี้ยอยากจะคบค้าเป็นสหายกัน มาทำความรู้จักกันตอนนี้ก็ยังไม่สาย” เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ

“พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่คิดจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ข้าดูสักหน่อยเหรอ?” ฮวาหูเตี๋ยถาม

เหมียวอี้ฟังออกแล้ว อีกฝ่ายแค่สงสัยว่ารู้จักหรือเปล่า แต่จำไม่ได้เลยว่าเขาเป็นใคร จึงถามเสียงเรียบว่า “เถ้าแก่เนี้ยพูดแบบนี้เป็นการบีบบังคับกันไปหน่อยหรือเปล่า?”

ฮวาหูเตี๋ยบอกว่า  “เป็นศัตรูหรือเป็นสหายก็เปิดเผยมาสักหน่อยเถอะ เรื่องบางเรื่องข้าอยู่ที่นี่แล้วทำตามใจตัวเองไม่ได้ การจะสร้างโรงเตี๊ยมสักหลังที่นี่ไม่ง่ายเลย จะให้โดนทำลายง่ายๆ ไม่ได้ ถ้าไม่มีหนทางแล้วจริงๆ ก็ทำได้เพียงตัดไฟตั้งแต่ต้นลใม”

นี่เป็นการขู่เข็ญแล้ว ความหมายก็ชัดเจนมาก ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยว่าเป็นศัตรูหรือสหาย เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย นางก็ทำได้เพียงกำจัดพวกเหมียวอี้ทิ้ง นี่คือการเผยพิรุธแล้ว

พูดถึงขั้นนี้แล้ว เหมียวอี้ก็เถียงไม่ออกแล้วเช่นกัน เขาเชื่อว่ากำลังอำนาจที่ตระกูลโค่ววางไว้ที่นี่สามารถทำให้เขาหายไปได้จริงๆ เขาเงียบไปครู่หนึ่ง อย่างไรเสีย ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นก็ยังสามารถอธิบายให้สอดคล้องกันได้ เขาเคยเจอกับอีกฝ่ายตอนเข้าร่วมการทดสอบ ตอนนี้ถูกจำได้แล้ว แล้วอีกอย่าง เขาก็ไม่ได้อยากทำงานรับใช้ตำหนักสวรรค์จนตัวตาย

ดังนั้น เหมียวอี้ถึงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วยกมือฉีกหนังปลอมบนใบหน้าออก เผยโฉมหน้าที่แท้จริง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “ฮวาหูเตี๋ย นึกไม่ถึงว่าเราจะได้มาเจอกันที่นี่ ช่างเป็นพรหมลิขิตจริงๆ”

พอเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ฮวาหูเตี๋ยก็อึ้งทันที เพราะเรื่องที่เหมียวอี้เข้าร่วมการทดสอบจนช่วยคว้าอันดับดีๆ ให้ตระกูลโค่วทำให้นางจดจำเหมียวอี้ได้ค่อนข้างฝั่งแน่นอยู่ในใจ เพื่อเจ้าหนุ่มนี้ นางยังถูกตระกูลโค่วเรียกตัวไปถามด้วย ย่อมจำได้ในทันทีอยู่แล้ว นางถามอย่างประหลาดใจว่า “หนิวโหย่วเต๋อ? เจ้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาที่นี่ได้?”

เหมียวอี้ส่ายหน้า “บอกไม่ได้”

ฮวาหูเตี๋ยขมวดคิ้ว แล้วถามว่า “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่ เจ้าเจอได้ยังไง ตระกูลโค่วบอกเจ้าเหรอ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เป็นความบังเอิญล้วนๆ ถ้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ข้าคงไม่วิ่งขึ้นตึกไปหรอก ใครจะไปรู้ว่าจะบังเอิญมาเจอเจ้าที่นี่พอดี เออใช่ ข้าปลอมตัวแล้ว เจ้ามองออกได้ยังไงว่าข้าเป็นคนรู้จัก?” มีบางคำที่พูดเพียงในใจ ‘เหมือนพวกเราจะไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนะ’

บังเอิญ? ฮวาหูเตี๋ยสงสัยนิดหน่อยว่ามีเรื่องบังเอิญแบบนี้จริงเหรอ นางตอบว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็ทำตัวแปลกๆ ข้าย่อมต้องทดสอบสักหน่อยอยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า เจ้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ซ้ายดีๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ มาทำลับๆ ล่อๆ อะไรที่นี่?”

เหมียวอี้ยังคงตอบคำเดิม “บอกไม่ได้!ข้าว่านะฮวาหูเตี๋ย เจ้าคงไม่กำจัดข้าทิ้งจริงๆ หรอกใช่มั้ย?”

ฮวาหูเตี๋ยตอบว่า “คนของหน่วยองครักษ์ซ้ายถ่อมาที่ร้านค้าของตระกูลโค่ว ใครจะไปรู้ว่าตำหนักสวรรค์ทำแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร ข้าจะกล้าลงมือกับคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายเชียวเหรอ?”

เหมียวอี้คิดตามแล้วเห็นด้วย ถ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร บางทีอาจจะกำจัดเขาทิ้ง แต่พอเปิดเผยตัวตนแล้ว ตระกูลโค่วก็ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วกับคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าคนของหน่วยองครักษ์ซ้ายมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่?” ฮวาหูเตี๋ยยังคงถามอีก

เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ต้องถามแล้ว บอกแล้วไงว่าบอกไม่ได้”

ฮวาหูเตี๋ยทำท่าครุ่นคิด นางพอจะฟังออกแล้ว ว่ามาทำงานให้ทางการ ในเมื่อเป็นงานของหน่วยองครักษ์ซ้าย เช่นนั้นบางเรื่องนางก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง จึงพยักหน้าแล้วยืนขึ้น โบกมือบอกใบ้ให้กินของที่อยู่บนโต๊ะ “วางใจเถอะ อาหารไม่มียาพิษ กินได้เต็มที่ ข้าจะสั่งพวกบริกรเอาไว้ ถ้ามีอะไรก็ไปหาข้าได้โดยตรง อ่อใช่สิ ตอนนี้ข้าไม่ได้ชื่อฮวาหูเตี๋ยแล้ว ชื่อเหยียนหรูอวี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็อย่าเรียกข้าว่าฮวาหูเตี๋ยอีก”

นางไม่ได้บอกว่าไม่ให้เหมียวอี้เปิดเผยภูมิหลังฐานะของนาง หน่วยองครักษ์ซ้ายออกโรงแล้ว เรื่องบางอย่างนางก็ขัดขวางไม่ได้

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมถามว่า “เช่นนั้นฮวาหูเตี๋ยหรือเหยียนหรูอวี้ที่เป็นชื่อจริงของเจ้าล่ะ หรือว่าไม่ใช่ชื่อจริงของเจ้าทั้งสองชื่อ?”

“สำหรับคนอย่างพวกข้า ชื่อแซ่สำคัญด้วยเหรอ? เอาล่ะ เจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ” ฮวาหูเตี๋ยไม่พูดอะไรมาก บอกลาทันที เดินออกมาจากประตูห้องแล้ว

เหมียวอี้ยกสุราขึ้นดื่มช้าๆ เขาไม่กลัวว่าอาหารจะมีพิษ เขากำลังครุ่นคิดว่าฮวาหูเตี๋ยจะต้องรายงานเรื่องที่บังเอิญพบเขาให้ตระกูลโค่วรู้แน่ ตอนหลังถ้าตระกูลโค่วมาถามเขา แล้วเขาจะอธิบายอย่างไรล่ะ? ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ตระกูลโค่วเรียกได้ว่าปฏิบัติต่อเขาได้ไม่แย่เลย

พอลองเคาะประตูแล้ว เหยียนซิวก็ผลักประตูเข้าไปดู เห็นได้ชัดว่ากลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับเหมียวอี้ เหมียวอี้เพียงส่ายหน้าเบาๆ พอแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นอะไร เหยียนซิวก็ถอยออกไป

ผ่านไปไม่นาน จ้านหรูอี้ก็เคาะประตูแล้วเข้ามาอีกแล้ว เข้ามาเองโดยไม่ได้เชิญ มานั่งลงข้างๆ แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นมาหาเจ้าทำไม?”

“ไม่มีอะไร มาสืบกำพืดของจ้า อยากจะรู้ว่าพวกเรามีที่มาที่ไปยังไง” เหมียวอี้ตอบ

จ้านหรูอี้ลองคิดไปคิดมาก็พบว่าน่าจะเป็นแบบนี้ เจอหน้ากันประเดี๋ยวเดียว ต่อให้ชายหญิงจะอยู่กันสองต่อสองแต่ก็ไม่น่าจะทำเรื่องผิดธรรมเนียมอะไรได้ นางมองเหมียวอี้ที่ดื่มสุราไปเยอะ แล้วทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็จากไป

เรื่องราวเป็นอย่างที่เหมียวอี้คาดไว้ หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม โค่วเหวินหลานก็เป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขาก่อน บุคคลที่ระดับสูงกว่านั้นของตระกูลโค่วก็ไม่มีใครติดต่อกับเขา เป็นโค่วเหวินหลานที่ติดต่อเขามาตลอด จุดประสงค์ที่ติดต่อมาก็ไม่ใช่อะไร เพียงถามซักไซ้ว่าเหมียวอี้ไปที่โรงเตี๊ยมของตระกูลโค่วที่ตลาดมืดทำไม

เหมียวอี้ปฏิเสธอีกครั้ง เป็นเพราะไม่สะดวกจะพูดจริงๆ แต่ครั้งนี้โค่วเหวินหลานดึงดันจะถามให้ถึงที่สุด ทั้งยังบอกเหตุผลไว้ชัดเจนมาก ว่าถ้าเขาไม่ใช่คนของหน่วยองครักษ์ซ้าย ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญไปที่โรงเตี๊ยมของตระกูลโค่วพอดี โค่วเหวินหลานก็จะไม่ยุ่มย่ามแน่นอน แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทั้งตระกูลโค่ว จึงดึงดันจะเอาคำตอบให้ได้

พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว และเหมียวอี้ก็ติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายไว้ไม่น้อยจริงๆ และเข้าใจสาเหตุที่ตระกูลโค่วกังวล อีกฝ่ายกังวลว่าตำหนักสวรรค์กำลังเพ่งเล็งอะไรตระกูลโค่วหรือไม่ หลังจากลังเลซ้ำๆ ในที่สุดเหมียวอ็เปิดเผยจุดประสงค์ที่มาที่นี่ บอกชัดเจนว่าไม่ได้พุ่งเป้ามาที่ตระกูลโค่ว ตัวเขาเองบังเอิญมาเจอโรงเตี๊ยมของตระกูลโค่วที่ตลาดมืดจริงๆ ส่วนจำนวนคนและใครบ้างที่มา เหมียวอี้ก็ขออภัยเป็นอย่างสูงที่บอกไม่ได้

ในที่จุดนี้โค่วเหวินหลานแสดงออกว่าเข้าใจ ไม่ได้ถามซักไซ้อีก ตระกูลโค่วเองก็รู้ว่าครั้งนี้ทำให้เหมียวอี้ลำบากแล้ว ถ้าให้ตำหนักสวรรค์รู้ว่าเหมียวอี้เปิดเผยภารกิจลับต่อตระกูลโค่ว หน่วยองครักษ์ซ้ายก็คงจะเก็บคนประเภทนี้เอาไว้ไม่ได้ ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก รู้ว่าครั้งนี้เหมียวอี้แบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวง นำสิงนี้มาเดิมพันกับความเชื่อใจที่มีให้ตระกูลโค่วแล้ว

ส่วนตระกูลโค่วเองยื่นหมูยื่นแมวแสดงความใจกว้าง โดยโค่วเหวินหลานบอกว่าจะช่วยรักษาความลับให้เหมียวอี้ ขณะเดียวกันก็บอกว่าถ้าเหมียวอี้พบปัญหาความยุ่งยากอะไรที่ตลาดผี ก็ให้ไปขอความช่วยเหลือจากฮวาหูเตี๋ยได้โยตรง หรือไม่ก้ติดต่อโค่วเหวินหลานโดยตรงเลยก็ได้ ตระกูลโค่วจะช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่

แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ก็เท่ากับเหมียวอี้ส่งจุดอ่อนที่ใหญ่มากของตัวเองให้ไปอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว ขึ้นเรือโจรของตระกูลโค่วแล้ว ถ้าตระกูลโค่วเปิดโปงเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็จะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน แต่จะว่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็เป็นเหมือนคนเหาเยอะที่ไม่กลัวคัน ถึงขนาดกลายเป็นหัวโจกของโจรกบฏแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าหลังจากตระกูลโค่วรู้แล้วจะกล้ามาสมคบคิดกับเขาหรือเปล่า

ทางนี้เพิ่งจะติดต่อกับโค่วเหวินหลานเสร็จไม่นาน ฮวาหูเตี๋ยก็มาที่ประตูอีกแล้ว

นางเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา จากนั้นนำระฆังดาราสองอันที่ลงตราอิทธิฤทธิ์แล้ววางไว้ตรงหน้าเหมียวอี้ “ถ้ามีเรื่องอะไรที่จำเป็นให้ข้าช่วย ก็ติดต่อข้าได้โดยตรงเลย เมื่อเจ้าอยู่ในโรงเตี๊ยมนี้ ข้าจะพยายามรับประกันความปลอดภัยให้”

เหมียวอี้ยิ้มตอบ อยู่ในสถานที่อันตรายแบบนี้ ตัวเองไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นี่เลย อาจจะมีจุดที่ต้องให้อีกฝ่ายช่วยเหลือจริงๆ ก็ได้ จึงไม่อิดออดเล่นตัว ลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนระฆังดาราสองอันแล้ว ก่อนที่ตัวเองจะเก็บไว้อันหนึ่ง

ฮวาหูเตี๋ยเก็บระฆังดาราอีกอันแล้วออกไปทันที

วันต่อๆ มา จ้านหรูอี้กับเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าอยู่กันเป็นคู่ เดินทางไปทั่วที่ตลาดผี ค้นหาเบาะแสตามลายแทง ทำความคุ้นเคยสภาพพื้นที่และเส้นทางของตลาดผี แต่ยิ่งเหมียวอี้กับจ้านหรูอี้คลุกคลีกันมาขึ้น เขาก็ยิ่งสังเกตพบความผิดปกติของจ้านหรูอี้ พบว่าบางครั้งผู้หญิงคนนี้ก็แสดงท่าทีกับตนราวกับเป็นสาวน้อย ไม่ได้แข็งกร้าวอีกต่อไป แววตาที่มองตนก็เหมือนจะแปลกไปนิดหน่อยด้วย

การสังเกตเห็นนี้ทำให้เหมียวอี้หวาดระแวงกลังนิดหน่อย เขาไม่ใช่เด็กน้อยที่ที่ยังไม่เบิกสติปัญญาเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว เหมือนจะรู้สึกได้นิดหน่อยว่าจ้านหรูอี้สนิทสนมกับตนเป็นพิเศษ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ หรือไม่ตัวเองก็คิดมากเกินไป แต่เขาหวาดกลัวราวกับอีกฝ่ายเป็นงู เพราะเคยมีประสบการณ์กับหวงฝู่จวินโหรวมาก่อน กับของบางอย่างเขาจึงไม่กล้าไปแตะต้องซี้ซั้วอีก ถ้าทำให้ตระกูลอิ๋งเข้ามาเกี่ยวข้องอีกจริงๆ แค่คิดก็ยังปวดหัวเลย

ดังนั้นจึงไม่สนใจว่านั่นคือแววตาที่จงใจหรือบังเอิญของจ้านหรูอี้ เหมียวอี้แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ เขาหลบเลี่ยงนาง

หลังจากนั้นไม่กี่วัน จู่ๆ เหมียวอี้ที่กำลังทำความคุ้นเคยกับตลาดผีก็ได้รับข่าวจากอวิ๋นจือชิว ไม่ต้องตอบเหมียวอี้ก็รู้ว่าอวิ๋นจือชิวมาถึงแล้ว ตั้งแต่อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเหมียวอี้สามารถติดต่อกับไป๋เฟิ่งหวงได้ อวิ๋นจือชิวก็นัดจะเจอเขาสักครั้ง เพื่อคุยเรื่องธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือนางคิดถึงเหมียวอี้แล้วจริงๆ อยากจะเจอหน้าเหมียวอี้สักหน่อย อยากจะดูว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องบางเรื่องคุยผ่านระฆังดาราแล้วไม่สบายใจ

เหมียวอี้หาข้ออ้างหลบเลี่ยงจ้านหรูอี้ แล้วนำเหยียนซิวกับหยางเจาชิงกลับมาที่โรงเตี๊ยมก่อน ระหว่างทางก็ติดต่อฮวาหูเตี๋ย ให้นางจัดคนของ ‘หน่วยองครักษ์ซ้าย’ ส่งมาที่ห้องของตน

พอกลับมาถึงโรงเตี๊ยมแล้ว ก็พบว่าที่ประตูห้องของตัวเองมีชายชราคนหนึ่งเฝ้าอยู่ ชายชรามาขวางเหมียวอี้เอาไว้แล้ว

เป็นอวิ๋นจือชิวที่มาถึงก่อนแง้มประตูออก บอกว่า “เป็นฝ่ายเดียวกัน ให้เขาเข้ามา เจ้าออกไปก่อน”

ชายชราหลีกทางแล้วถอยออกไป เหยียนซิวกับหยางเจาชิงมารับช่วงต่อเฝ้าประตูไว้ด้วยกัน

พอเดินเข้ามาในประตู เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวที่ปลอมตัวเหมือนกันก็สบตาแล้วยิ้มให้กัน ทั้งสองดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก แล้วจู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็โผเข้ามากอดเขา ทั้งสองกอดกันแน่นนานมากโดยไม่พูดอะไร

หลังจากผ่านไปนาน เหมียวอี้ก็จูบแก้มนาง แล้วถามว่า “ตาแก่ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกเมื่อครู่นี้เป็นใคร?”

“คนของลัทธิมาร ท่านปู่ส่งยอดฝีมือบงกชกลายให้มาปกป้องข้า” อวิ๋นจือชิวเงยหน้าพึมพำด้วยสีหน้าดื่มด่ำในความสุข สองแขนคล้องอยู่บนคอเหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ เจ้าพักอยู่ที่นี่ปลอดภัยหรือเปล่า ก่อนจะมาข้าถามคนของลัทธิมารมาแล้ว ว่าโรงเตี๊ยมในตลาดผีรับประกันความปลอดภัยไม่ได้”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “น่าจะปลอดภัย จะว่าไปก็บังเอิญ ไม่น่าเชื่อว่าโรงเตี๊ยมนี้จะเป็นของตระกูลโค่ว…” เขาเล่าสถานการณณ์ให้ฟังคร่าวๆ

ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะฟังแล้วส่ายหน้า “สถานที่แบบนี้ ตระกูลโค่วรับประกันความปลอดภัยให้เจ้าไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่ตระกูลโค่วเลย ต่อให้เป็นประมุขชิงก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเช่นกัน ที่โลกใต้ดินแห่งนี้ คนที่มีอำนาจตัดสินใจจริงๆ ก็คือตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่เบื้องหลังราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ นอกเสียจากจากตระกูลเซี่ยโห้วจะรับประกันได้ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร เจ้าถึงจะปลอดภัยจริงๆ!”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset