หลังจากรู้ตัวแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็แอบโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พบว่าผู้หญิงคนนี้ช่างอยู่ไม่เป็นจริงๆ ขนาดตกต่ำถึงขั้นนี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายังจะมาพูดเหน็บแนมข้าอีก รอก่อนเถอะ ต่อไปคอยดูแล้วกันว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร
“เชิญเข้ามา!” เขากล่าวเสียงเข้ม
เดิมทีก็ไม่อยากเจออยู่แล้ว แต่จะไม่เจอก็ไม่ได้ ในภายหลังยังต้องให้อีกฝ่ายให้ความร่วมมือตอนอยู่ที่นี่อีก อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของนาง ควรจะมาอย่างสงบปลอดภัยและกลับไปอย่างสงบปลอดภัยจะดีกว่า
ผ่านไปครู่เดียว จ้านหรูอี้ก็นำแม่เฒ่าลวี่เข้ามาแล้ว แม่เฒ่าลวี่เกรงอกเกรงใจและไม่กล้าล่วงเกินจ้านหรูอี้ ภูมิหลังของอีกฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ นางไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ง่ายๆ
“ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่ได้ล่ะ?” เหมียวอี้รีบเดินอ้อมโต๊ะยาวออกมา แล้วกุมหมัดคารวะพลางหัวเราะ
แม่เฒ่าลวี่ไม่เกรงใจเหมียวอี้เลย เก็บทรงไม่อยู่แล้ว แสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “ท่านแม่ทัพภาคกล่าวแบบนี้ข้ารับไม่ไหวนะ ท่านแม่ทัพภาคไม่มาพบข้า ข้าเลยทำได้เพียงมาเยี่ยมคารวะด้วยตัวเอง”
ดูเสียก่อนว่าประชดใคร ถึงอย่างไรเหมียวอี้รู้ก็เรื่องที่นางปีศาจเฒ่าคนนี้กับหน่วยตรวจการซ้ายร่วมมือกันวางแผนใส่ตน ดังนั้นจึงไม่แยแส ทำตัวเองให้ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าเพื่อมารับมือกับนาง “ท่านก็พูดติดตลกแล้ว เป็นเพราะยังจัดการงานในมือไม่เรียบร้อยไง กำลังคิดว่าวันหลังจะไปเยี่ยมท่านอยู่เลย”
“ในเมื่อนายท่านงานยุ่ง วันหลังค่อยคุยเรื่องงานก็แล้วกัน” แม่เฒ่าลวี่หันซ้ายหันขวา “นางหนูเฟยหงล่ะ?”
เหมียวอี้ยักไหล่อย่างจนใจ “กฎระเบียบก็เห็นๆ กันอยู่ ข้ายังไม่กล้าพานางเข้ามาในอุทยานหลวงด้วย”
“แบบนี้…” แม่เฒ่าลวี่ค้ำไม่เท้าหมุนตัวสองก้าว ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้ากล่าวว่า “เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ เดี๋ยววันหลังข้าจะไปขอคำสั่งจากราชินีสวรรค์ ขอให้พระนางเมตตาปล่อยนางหนูเฟยหงเข้ามา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ราชินีสวรรค์คงไม่ถึงขั้นไม่ไว้หน้าข้าหรอก”
เหมียวอี้แอบด่าในใจ เจ้าคงกลัวว่าข้างกายข้าจะไม่มีสายลับจับตาดูน่ะสิ มีหรือที่เบื้องบนจะไม่ตอบตกลง แต่ภายนอกยังตอบกลั้วหัวเราะว่า “นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ข้าปรารถนาอยู่แล้ว”
จู่ๆ แม่เฒ่าลวี่ก็กระทุ้งไม้เท้าในมือ “นางหนูนั่นอยู่กับเจ้ามาหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าเตรียมจะแต่งตั้งให้นางเป็นฮูหยินเอกเมื่อไร? ตอนนั้นเจ้าบอกว่าจะดูสถานการณ์ก่อน จากที่ข้ารู้มา นางหนูอ่อนโยนเอาใจใส่เจ้า เชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง รู้ธรรมเนียมมารยาท หน้าตาก็งดงามแบบหาพบได้ยาก อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่พอใจ?”
จ้านหรูอี้ที่เดิมทียังมีท่าทีหัวเราะเยาะตอนนำแม่เฒ่าลวี่เข้ามา ตอนนี้สีหน้าบึ้งตึงทันที สำหรับนางแล้ว นี่คือการพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดจริงๆ นางแอบด่าในใจ นางปีศาจเฒ่าหน้าไม่อาย เป็นคนเต้นกินรำกินแล้วยังจะอยากเป็นฮูหยินเอกอีกเหรอ!
ไม่ว่านางจะพอใจหรือไม่พอใจเหมียวอี้ แต่นางก็คิดอุปาทานไปก่อนแล้ว คิดว่าในไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องแต่งงานกับเหมียวอี้ นางย่อมคิดว่าตัวเองสมควรจะได้เป็นฮูหยินเอก แต่ตอนนี้มีคนอยากจะยื่นเท้าเข้ามาตัดหน้า ยังดีใจได้ก็แปลกแล้ว
เหมียวอี้ยังคงมีสีหน้าอมยิ้ม “นี่เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ควรต้องรอให้เงื่อนไขทุกอย่างพร้อมก่อนสิ ข้ารำคาญที่สุดเวลามีคนมากดดันข้าในเรื่องแบบนี้ เดิมทีข้าจะพิจารณาเรื่องแต่งตั้งเฟยหงเป็นฮูหยินเอกแล้ว แต่แม่เฒ่ามากดดันข้าแบบนี้ เป็นเฟยหงใช้ให้แม่เฒ่ามากดดันข้าใช่มั้ย?”
ประโยคเดียวก็เหมือนสลับแขกเป็นเจ้าบ้านแล้ว แม่เฒ่าลวี่รีบโบกมือปฏิเสธ “เฟยหงไม่ได้ให้ข้ามากดดันแน่นอน นี่เป็นความประสงค์ของข้าเอง เจ้าอย่าเข้าใจผิด”
“อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เดี๋ยวกลับไปข้าจะถามเฟยหงว่าเป็นความประสงค์ของตัวเองหรือเปล่า” เหมียวอี้กล่าว
ทำเอาแม่เฒ่าลวี่ที่มาอย่างมีพลังอำนาจเต็มเปี่ยมทำตัวไม่ถูกแล้ว นางพบว่าตัวเองอยากจะเป็นคนกลางประสานงานให้ แต่กลับสร้างความวุ่นวายเพิ่มเสียแล้ว ทำได้เพียงกล่าวอำลากันตรงนี้
หลังจากนั้นสองวัน แม่เฒ่าลวี่บทจะมาก็มาเลย พาเฟยหงมาที่อุทยานหลวงแล้วจริงๆ ตามหลักการแล้วคนระดับเหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์พาคนในครอบครัวเข้ามาที่นี่ได้
ส่วนเหมียวอี้ก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าหลังจากเฟยหงมาที่นี่แล้ว อารมณ์ของนางเป็นอย่างไรก็บอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกเหมือนฝืนยิ้ม ไม่รู้ว่าแม่เฒ่าลวี่เอาคำพูดของเขาไปบอกต่อหรือเปล่า แม่เฒ่าลวี่เองก็แค่พาเฟยหงมาเท่านั้น ไม่สามารถพาสาวใช้ของเฟยหงเข้ามาได้ แต่แม่เฒ่าลวี่กลับจัดเทพธิดาที่งดงามราวกับภาพวาดสิบกว่าคนมาคอยปรนนิบัติ เดิมทีแม่เฒ่าลวี่ก็เป็นคนดูแลเทพธิดาทั้งอุทยานหลวงอยู่แล้ว
สิ่งที่นำมาด้วยกันก็ยังมีผลไม้เซียนนานาชนิดอีกตะกร้าใหญ่ เป็นรางวัลที่ราชินีสวรรค์มอบให้หลังจากรู้ว่าลูกสาวบุญธรรมของแม่เฒ่าลวี่มา ถึงแม้แม่เฒ่าลวี่จะหาผลไม้พวกนี้มาได้ง่ายๆ จากที่นี่ แต่เมื่อได้ชื่อว่าราชินีสวรรค์ประทานให้เป็นรางวัล ก็จะสามารถนำออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผยแล้ว
หลังจากเหมียวอี้จัดการงานที่อยู่ในมือเสร็จแล้ว ก็เริ่มให้จ้านหรูอี้คอยเป็นมัคคุเทศก์นำทาง ลาดตระเวนแต่ละจุดเฝ้าของอุทยานหลวง ในเมื่อมีแม่เฒ่าลวี่รับหน้าที่อยู่แล้ว เหมียวอี้เห็นเฟยหงอารมณ์ไม่ค่อยเบิกบาน จึงพาออกมาเดินเล่นด้วยกัน ไห่ผิงซินก็ตามก้นมาเปิดหูเปิดตาเช่นกัน นางเหลียวซ้ายแลขวาตลอดทางราวกับเป็นเด็กน้อย มองไม่เห็นความสงบเยือกเย็นในตัวเลยแม้แต่น้อย
บอกว่าเป็นส่วนป่าส่วนตัวของราชันสวรรค์ แต่ที่จริงสวนป่าแห่งนี้ก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเข้าใกล้ดาวเคราะห์ดวงนี้ลำบาก กำลังพลหนึ่งล้านของกองมังกรดำที่เฝ้าที่นี่ก็ไม่เพียงพอเลย
สถานีแรกที่ลาดตระเวนก็คือสวนท้อสามพันลี้ที่อยู่ห่างจากจวนแม่ทัพภาคไม่ไกล ถึงแม้สวนท้อจะมีค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ แต่ก็ยังส่งกำลังพลหนึ่งหมื่นมาเฝ้า อย่างไรเสียอาณาเขตก็ใหญ่โตขนาดนี้ ใช้กำลังทหารของกองมังกรดำไปแล้วไม่น้อย
ถ้าเปลี่ยนเป็นยามปกติ เหมียวอี้เข้าไปในสวนท้อเซียนไม่ได้แน่นอน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เขาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ กอปรกับมีลูกน้องของเขาเฝ้าอยู่ การเข้าออกสถานที่สำคัญแบบนี้ เขาถึงขั้นไม่ต้องรายงานด้วยซ้ำ สามารถพูดได้ว่าทั้งอุทยานหลวงมีสถานที่น้อยมากที่เขาไม่สามารถเข้าไปได้
ยังอยู่ที่นอกประตูสวน พลังจิตวิญญาณที่หนาแน่นราวกับหมอกก็โผเข้ามาใส่หน้าแล้ว เทพแห่งภูผากับเทพแห่งผืนดินของที่นี่โผล่หน้ามาต้อนรับด้วยตัวเอง คอยพูดแนะนำและนำทางอยู่ข้างหน้าอย่างเคารพนอบน้อม พอเข้าประตูสวนมา ก็เห็นเทะธิดาแต่งชุดนางในที่กำลังดูแลรักษาป่าท้อเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ในนั้น บางคนก็ถือกรรไกรอันใหญ่ บางคนก็ถือจอบเสียม พอเห็นเหมียวอี้ก็พากันทำความเคารพ กล่าวด้วยเสียงเจื้อยแจ้วราวกับนกนางแอ่น “คารวะท่านแม่ทัพภาคค่ะ!”
ต้นท้อแต่ละต้นในสวนมีขนาดใหญ่มาก ต้นที่อายุน้อยก็สูงสิบกว่าจั้งแล้ว กิ่งก้านขยายแผ่คลุมหน้าก็ย่อมไม่เล็ก ยามคนอยู่ใต้ต้นไม้ก็โดนปกคลุมจนทึบ ราวกับเป็นมดตัวหนึ่งที่แหงนหน้ามอง
กิ่งก้านสีดำขลับสูงโดดแย่งกันเหยียดแผ่ราวกับเหล็ก ผิวรอบลำต้นตะปุ่มตะป่ำ ใบสีเขียวดุจมรกต ผลที่อยู่บนยอดก้านสูงดกเป็นพวง ผลที่ยังเล็กลักษณะเหมือนกำมะหยี่สีขาว ผลที่โตขึ้นมาหน่อยก็มีรูปร่างเหมือนท้อแล้ว สีเหลืออ่อนแปลว่าใกล้จะสุก ส่วนสีเหลืองก็แปลว่าสุกแล้ว ตรงปลายกิ่งยังมีดอกไม้สีทองที่มีเกสรสีชมพูด้วย ยังไม่เริ่มติดผล
เหมียวอี้บังเอิญไปเห็นจ้านหรูอี้กำลังเหลียวซ้ายแลขวาอย่างอยากรู้อยากเห็น จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่จ้านไม่เคยมาที่นี่เหรอ?”
จ้านหรูอี้ตอบว่า “ถ้าไม่ได้รับอนุญาต จะเข้ามาที่นี่ได้ง่ายๆ ได้ยังไง แต่เคยยืนมองจากนอกสวนท้อ เพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก ครั้งนี้ได้อาศัยบารมีท่านแม่ทัพภาคแล้ว”
เมื่อดูสวนท้อเสร็จ พวกเขาก็เหาะไปใกล้ทุ่งนาที่เปิดกว้างผืนหนึ่ง ย่อมมีเทพแห่งผืนดินมาต้อนรับพวกเขา
เห็นในนามีผู้หญิงหน้าตาสะสวยสองสามคนสวมชุดชาวนาทำนาอยู่ แตกต่างกับเทพธิดาที่แต่งชุดนางในพวกนั้นโดยสิ้นเชิง เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะย้ายฝีเท้า อยากจะเข้าไปดูว่าคืออะไรกันแน่
พอจ้านหรูอี้เห็นแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มหยอกล้อ ในดวงตาก็ยิ่งฉายแววเจ้าเล่ห์ เหมือนอยากจะรอเห็นอะไรสนุกๆ
แต่ใครจะคิดว่าการกระทำของเหมียวอี้จะทำให้เทพแห่งผืนดินตกใจจนรีบห้าม “นายท่าน ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด นางสนมของฝ่าบาท มีหรือที่พวกเราจะเข้าไปดูใกล้ๆ ได้ ขนาดมองไกลๆ ยังเป็นการดูหมิ่นเลย จะเสียมารยาทเข้าใกล้ได้อย่างไร”
คำพูดนี้ทำให้เหมียวอี้ตกใจเช่นกัน ย่อมไม่กล้าวิ่งไปดูผู้หญิงของราชันสวรรค์อยู่แล้ว ถามอย่างตกใจไม่เบาว่า “ทำไมสนมของฝ่าบาทถึงทำนาได้ล่ะ?”
“ทำเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น ทำเพื่อผ่อนคลาย” เทพแห่งผืนดินตอบส่งเดชไปอย่างนั้น
จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ฝ่าบาททำเพื่อผ่อนคลายจริงๆ ส่วนบรรดานางสนมก็แค่ทำเพื่อเอาใจเฉยๆ ดังนั้นตอนหลังจึงกลายเป็นว่า ถ้ามีนางสนมเข้าวังมา ทุกคนก็จะมีไร่นาที่อุดมสมบูรณ์ผืนหนึ่งอยู่ที่นี่ ที่นากว้างขนาดไหน ฝ่าบาทก็มีสนมเยอะเท่านั้น ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เมื่อฝ่าบาทปรากฏตัวอยู่ที่นี่ สนมเหล่านั้นถึงจะปรากฏตัวมาทำงานพอเป็นพิธีเพื่อให้ฝ่าบาทเห็น ถ้าฝ่าบาทไม่มาก็จะส่งงานต่อให้เทพธิดาพวกนั้นทำ เทพธิดาคนไหนที่ดูแลผืนนาของสนมได้ไม่ดีก็มักจะมีจุดจบที่อนาถมาก อย่าไปมองนะว่าสนมแต่ละคนงดงามราวกับดอกไม้ เพราะความจริงจิตใจอำมหิตมาก โดนควบคุมตัวนานไปก็กลายเป็นโรคจิตอ่อนๆ ได้ทั้งนั้น”
“อ๋อ!” เหมียวอี้ฟังออกถึงเรื่องราวเบื้องลึกแล้ว สงสัยที่นี่จะเป็นสถานที่ต่อสู้เพื่อแย่งความโปรดปรานของสนมในวังหลังของตำหนักสวรรค์ เขาทอดสายตามองที่นาที่กว้างใหญ่ ในใจแอบเดาะลิ้นไม่หยุด ประมุขชิงคนนี้เลี้ยงผู้หญิงไว้ในบ้านเยอะเท่าไรกัน วันๆ งานยุ่งไม่หยุด คงจะเฉลี่ยทำให้ฝนตกทั่วฟ้าไม่ไหว!
เทพแห่งผืนดินที่อยู่ข้างๆ ฟังส่วนเหงื่อแตกแล้ว ขนาดคำพูดแบบนี้ก็ยังกล้าพูดลับหลัง เขาไม่กล้าพูดหรอก ถ้าข่าวหลุดออกไปต้องโดนถลกหนังแน่
ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับคนที่รู้เบื้องหลังอย่างจ้านหรูอี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นสนมพวกนี้อยู่ในสายตาเลย ตระกูลอิ๋งเคยส่งสาวงามเข้าวังมาบรรณาการไม่น้อย ในวังหลังมีสนมที่ราชันสวรรค์จำชื่อได้จริงๆ เพียงไม่กี่คน เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาความคิดมาลงบนตัวผู้หญิงกลุ่มนี้มากเกินไป ส่วนใหญ่ยังไม่เคยแตะต้องด้วยซ้ำ ใช้ชีวิตเหมือนอยู่เป็นหม้ายก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดแรงๆ หน่อยก็คือ ถ้านางสนมทั่วไปยั่วให้จ้านหรูอี้ไม่พอใจ ก็พูดขอเข้าวังได้ตามสบายเลย ถ้าจะทำให้พวกนางตายสักคน ก็ง่ายยิ่งกว่าฆ่าลูกน้องของตัวเองเสียอีก ถ้าจะจัดการลูกน้องอย่างน้อยก็ต้องมีเหตุผล
ส่วนไห่ผิงซินก็กระพริบตาปริบๆ ทำท่าเหมือนได้ฟังเรื่องที่สนุกดีมีรสชาติ
พอออกจากที่นาผืนนี้แล้ว พวกเขาก็ไปยังแนวเทือกเขาที่มีทะเลหมอกปกคลุมอย่างอันโอ่อ่ายิ่งใหญ่
ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อนจางฟุ้งกระจาย ทำให้ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย เมื่อทอดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นภูเขาและแม่น้ำที่งดงามดุจภาพวาด ทุกที่มีน้ำตก ด้านล่างผืนหมอกเป็นทะเลสาบน้ำสวยใส ส่องสะท้อนเงาท้องฟ้าและเมฆขาว ในระหว่างนั้นมีดอกไม้ใบหญ้าที่แปลกตาประดับประดานานาชนิด มีสายรุ้งสายสายทอดผ่าน เหล่านกเทพบินฉวัดเฉวียน ทิวทัศน์นี้มีอยู่บนสวรรค์เท่านั้น
บนยอดเขาถูกรุกล้ำด้วยสิ่งปลูกสร้างที่งดงามหลายหลัง ตำหนักที่สูงที่สุดอยู่บนยอดเขาที่สามารถมองดูหมู่ขุนเขาได้ เป็นตำหนักที่ใหญ่โต เมื่อแสงแดดส่องกระทบก็เป็นสีทองระยิบระยับ นี่นั่นก็คือพระตำหนักอุทยานของราชันสวรรค์นั่นเอง
“คารวะท่านแม่ทัพภาค!”
พวกเหมียวอี้มาดูที่นอกตำหนัก กำลังพลของกองมังกรดำที่เฝ้าอยู่นอกตำหนักทำความเคารพ แต่กลับไม่ปล่อยให้เข้าไป ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาต เหมียวอี้ก็ไม่กล้าเข้าไป ถึงแม้ราชันสวรรค์จะไม่อยู่ที่นี่ แต่ทุกคนของกองมังกรดำก็ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปโดยพลการ ข้างในมีเทพธิดาคอยดูแลทำความสะอาด พวกเหมียวอี้ยืนอยู่นอกตำหนักแล้วมองเข้าไปก็ยังพอไหว
เมื่อทอดสายตามองเข้าไป ก็เห็นใต้ชายคาตรงประตูตำหนักที่โอ่อ่ามีมังกรสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่
ถึงจะเข้าไปไม่ได้ แต่ก็สามารถดูจากข้างนอกได้ตามสบาย พอหันกลับมา เหมียวอี้กลับพบว่าเฟยหงกำลังยืนอยู่ตรงระเบียงสีขาวหยกเงียบๆ คนเดียว ขนาดเหมียวอี้เดินเข้าไปหานางก็ยังไม่รู้ตัว พอเหมียวอี้เข้าไปใกล้ตรงหน้า ก็พบว่าเฟยหงน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างเหม่อลอย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีหยดน้ำตาใสไหลอาบแก้มลงมาแล้ว
เหมียวอี้เหลือบมองตามสายตานาง ตรงนั้นเหมือนจะเป็นศาลาพลับพลาที่งดงามแห่งหนึ่งบนแนวเทือกเขา ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจว่า “เฟยหง เจ้าเป็นอะไรไป?”
เฟยหงเรียกสติกลับมาอย่างร้อนรน รีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา แล้วส่ายหน้าบอกว่า “ไม่…ไม่มีอะไรค่ะ?”
จ้านหรูอี้ที่อยู่ข้างกันมองไปทางนั้น แล้วบอกว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ที่นั่นก็น่าจะเป็นสวนของตระกูลเทพประจำดาวมะโรงดิน เทพประจำดาวมะโรงดินคนก่อนโดนประหารล้างตระกูลเพราะเรื่องโกงการทดสอบที่นรก ไม่รู้ว่าเทพประจำดาวมะโรงดินคนปัจจุบันได้มาอยู่ที่นี่รึเปล่า”
พอพูดถึงเรื่องโกงการทดสอบครั้งนั้น เหมียวอี้ก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรง ทูตขวาเกาก้วนเรียกได้ว่าประหารจนหัวคนกลิ้งเกลื่อน ฉากประหารบนหน้าผาเขายังจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ พอได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางนั้นสองครั้ง แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับตน ไม่ขำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ สายตาเขาไปหยุดอยู่บนตัวเฟยหงอีกครั้ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลอบใจว่า “แม่เฒ่าลวี่พูดอะไรกับเจ้ารึเปล่า? เจ้าเองก็อย่าคิดมาก ข้าก็แค่ไม่ชอบเห็นท่าทีที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ของนาง เลยจงใจพูดดักนาง ไม่ได้ตั้งใจจะพุ่งเป้าไปที่เจ้า เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
“จริงเหรอคะ? ไม่ได้รังเกียจที่ข้ามีชาติกำเนิดต่ำต้อยเหรอคะ?” เฟยหงเงยหน้ามองเขาพร้อมร้องไห้อย่างน่าสงสาร
จ้านหรูอี้กลอกตามองบน เหมือนรับไม่ไหวกับท่าทางแบบนี้ นางตบเกราะรบตัวเองแล้วหันตัวไป
สงสัยจะเป็นเพราะเรื่องนั้นจริงๆ! เหมียวอี้พึมพำในใจ แต่ภายนอกยังยิ้มบางๆ “ต่อไปยังมีเวลาอีกเนอะ เรื่องแต่งตั้งเป็นฮูหยินเอกนั้นไม่ต้องรีบหรอก รอให้ทุกอย่างมั่นคงก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงยังไงข้างกายข้าก็มีเจ้าเป็นผู้หยิงคนเดียว เจ้าจะต่างอะไรกับฮูหยินเอกล่ะ?”
“ค่ะ! ข้าทราบแล้ว” เฟยหงพยักหน้า แล้วซบอกเขาช้าๆ อย่างอ่อนโยนไร้ที่เปรียบ เพียงแต่ตอนมองศาลาพลับพลานั่น ในดวงตายังฉายแววเจ็บปวดเศร้าใจอย่างปิดบังได้ยาก
จ้านหรูอี้ที่หันมามองเบะปาก ท่าทางเหมือนเห็นแล้วอยากอาเจียน ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินออกไปไกล
…………………………