ลูกศิษย์ที่เฝ้าประตูไม่สะดวกจะไล่ แต่ก็ไม่สะดวกจะให้ศีลแปดเข้าไปเช่นกัน ทำได้เพียงไปรายงาน บอกว่ามีพระรูปหนึ่งมาคิดบัญชีกับฆราวาสหนิว
ผ่านไปครู่เดียว ผู้จัดการร้านเต๋อเจิ้งก็ออกมาตรวจสอบความจริง เห็นว่าศีลแปดมีท่าทางสง่าภูมิฐานไม่เหมือนคนหลอกลวง แต่ก็ยังไม่ให้ศีลแปดเข้าไปอยู่ดี ส่วนสิ่งที่ศีลแปดถามมา พวกเขาย่อมไม่ตอบอะไรอยู่แล้ว ยังคงอ้างว่าฆราวาสหนิวไม่อยู่เพื่อไล่ศีลแปดไป จะปล่อยคนเข้ามาซี้ซั้วไม่ได้จริงๆ
ศีลแปดอยากจะจุดไฟเผาร้านค้าเส็งเคร็งนี่ทิ้ง แต่ภายนอกย่อมมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร จากนั้นก็ได้ยินคนเดินถนนคุยกันเรื่องเมื่อครู่นี้ ถึงได้รู้ว่าคนที่จับตัวเหมียวอี้ไปคือคนของจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก จึงถามทันทีว่าจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตกไปทางไหน แล้วรีบเดินไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว
เมื่อโดนคุมตัวมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตตะวันตก เหมียวอี้ก็ถูกนำตัวขึ้นศาลโดยตรง เขาชินกับความไร้เหตุผลของท่านที่อยู่ข้างในแล้ว
ในศาลพิจารณาคดี เซี่ยโห้วหลงเฉิงกำลังนั่งพิงเก้าอี้ ใช้ขาสองข้างพาดบนโต๊ะยาว มองดูเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาอย่างเย็นเยียบ แล้วโบกมือเบาๆ ไล่ลูกน้องทั้งหมดออกไป
“หนิวโหย่วเต๋อ เรื่องที่ข้าแต่งงานกับหวงฝู่ พอจะมีหวังบ้างรึเปล่า?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงเอนกายกระดิกเท้าถาม
แต่งงานบ้าอะไรล่ะ! นางนอนกับข้าไปแล้วโว้ย! เหมียวอี้พึมพำในใจ รู้แล้วว่าเจ้าบ้านี่เรียกตนมาเพราะเรื่องนี้ จึงตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้ยังไม่มี”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงถลันตัวพรวดเข้ามาทันที ชี้หน้าเหมียวอี้พลางตะคอกอย่างโมโห “แล้วเจ้ายังมีหน้าไปนู่นไปนี่อย่างสบายใจอีกเหรอ ข้าไปหาเจ้าแต่ก็หาไม่เจอ เจ้าใจกล้าไม่เบา บังอาจไม่เห็นความสำคัญเรื่องของข้า!”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าก็ไม่มีหนทางแล้วเหมือนกัน! ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องขยายสาขาร้านขายของชำ ข้าวิ่งเต้นไปทั่วก็ยุ่งเหมือนกัน!”
“การขายสาขาร้านขายของชำสำคัญกว่า หรือเรื่องข้าแต่งเมียสำคัญกว่า?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามอย่างโมโห
เจ้าแต่งเมียแล้วเกี่ยวบ้าอะไรกับข้าล่ะ! เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้ามีทั้งอำนาจทั้งอิทธิพล ยังกลัวจะขาดผู้หญิงอีกเหรอ? มีผู้หญิงสวยแบบไหนที่หาไม่ได้บ้าง ทำไมดึงดันจะกัดกระดูกแข็งอย่างผู้จัดการร้านหวงฝู่อยู่ได้?”
“ในใต้หล้านี้ยังหาใครที่สวยกว่าหวงฝู่ได้อีกเหรอ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถาม
พอแล้ว! สงสัยจะเป็นการดีดฉินให้ควายฟัง ในสายตาเจ้าบ้านี่ หวงฝู่จวินโหรวสวยที่สุดในใต้หล้า! เหมียวอี้จึงยิ้มเจื่อนตอบไปว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้านะ แต่หวงฝู่จวินโหรวมีเงื่อนไข ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ตอบตกลง”
“เงื่อนไขอะไร? พูดมาได้เลย!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามทันที
เหมียวอี้ตอบว่า “แต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง! ผู้จัดการร้านหวงฝู่บอกแล้ว ผู้หญิงของตระกูลหวงฝู่ไม่แต่งงานออก ผู้ชายต้องแต่งงานเข้าบ้านหวงฝู่”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงพุ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ยังนึกว่าเงื่อนไขอะไร กฎบ้าๆ ของตระกูลหวงฝู่ ข้ารู้ตั้งนานแล้ว ก็แค่แต่งงานเข้าตระกูลเอง เรื่องจิ๊บจ๊อย”
เหมียวอี้เบิกตาโพลง ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้วเต็มใจจะแต่งงานเข้าบ้านนางเหรอ?” เขารู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ เจ้าบ้านี่มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ยิ่งมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง
“ลูกชายผู้สง่าผ่าเผยอย่างข้าจะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงทำบ้าอะไร เสียหน้าไม่ไหวหรอก!”เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดดูถูกว่า “ขอแค่นางเต็มใจอยู่กับข้า เรื่องแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าจะขอให้ราชันสวรรค์ประทานงานสมรสให้ แบบนี้ตระกูลหวงฝู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแล้ว ประเด็นสำคัญคือต้องให้นางตอบตกลงแต่งงานกับข้า เข้าใจมั้ย?”
เหมียวอี้ตกตะลึงมาก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่จะหาทางทำให้ประมุขชิงประทานงานสมรสได้ แบบนี้ต้องมีเส้นสายเยอะขนาดไหนกันเชียว? จึงอดถามไม่ได้ว่า “ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าติดต่อกับราชันสวรรค์ได้เหรอ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อึกอักเหมือนอยากตอบ แต่สุดท้ายก็ข่มคำพูดเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะหลีกเลี่ยงไม่พูดถึง โบกมือบอกว่า “ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรจะถาม เจ้ารีบหาทางจัดการก็พอ ถ้าให้โค่วเหวินหลานคว้าโอกาสไปก่อน ข้าจะเล่นเจ้าให้ถึงตาย”
“อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการโค่วก็ยินดีจะแต่งงานเข้าบ้านผู้หญิง?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง
“เหลวไหล! เจ้าหนุ่มหน้าขาวนั่นก็ขอให้ราชันสวรรค์ประทานงานสมรสได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจะมีสิทธิ์อะไรมาแย่งผู้หญิงกับข้าล่ะ?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงทำสีหน้าไม่สบอารมณ์
เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว แอบตกใจ สงสัยว่าเจ้าบ้าที่อยู่ตรงหน้ากับโค่วเหวินหลานมีที่มาแปลกประหลาดอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถใช้เส้นสายกับทางราชันสวรรค์ได้
สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาหวาดกลัว ถ้าเล่นงานเจ้าบ้านี่ถึงตาย ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดภัยอะไรตามมา คาดว่าคงร้ายแรงกว่าปล้นเกาะศักดิ์สิทธิ์เสียอีก แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ มีภูมิหลังเส้นสายแบบนี้ยังขาดเงินอีกแหรอ? จำเป็นต้องเที่ยวตักตวงเงินคนอื่นไปทั่วแบบนี้อีกเหรอ?
ขณะที่กำลังคุยกัน จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนเข้ามารายงาน “นายท่าน ข้างนอกมีพระสงฆ์จากแดนสุขาวดีรูปหนึ่งมาหาขอรับ”
“คนของแดนสุขาวดีจะถ่อมาทำอะไรที่นี่?” เซี่ยโห้วหลงเฉิงงุนงง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี?”
อย่าว่าแต่เขาที่แปลกใจ แม้แต่เหมียวอี้ก็ฉงนใจเช่นกัน ตำหนักสวรรค์กับแดนสุขาวดีอยู่สูงสุดในบรรดาเก้าโลก เขายังไม่เคยเห็นคนที่มาจากสองแห่งนั้นเลย ไม่รู้ว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาจากตำหนักสวรรค์ด้วยรึเปล่า
ทหารที่เข้ามารายงานตอบว่า “ดูเหมือนจะใช่ น่าจะไม่ปลอมนะขอรับ”
“มาหาข้าเหรอ” เซี่ยโห้วหลงเฉิงถามอีก
“ไม่ได้มาหานายท่านขอรับ มาหาเขา” ทหารชี้ไปที่เหมียวอี้ “บอกว่าท่านนี้ติดหนี้เขาอยู่ เขามาคิดบัญชี”
“มาหาข้า?” เหมียวอี้ชี้หน้าตัวเอง ถามกลั้วหัวเราะว่า “ล้อเล่นอะไรกัน ข้าจะไปติดเงินคนของแดนสุขาวดีได้อย่างไร?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับหัวเราะร่า โบกมือบอกอย่างรู้สึกสนใจ “เชิญเข้ามา มายืนยันต่อหน้าเดี๋ยวก็กระจ่างเอง”
“ขอรับ!” ทหารเอ่ยรับแล้วถอยออกไป
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับไปนั่งหลังโต๊ะยาวเพื่อรอดูเอาสนุก ส่วนเหมียวอี้ก็เดินไปนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านข้าง ทำสีหน้าอึดอัดใจ เขาเป็นใครกัน?
ผ่านไปครู่เดียว พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องรูปหนึ่งที่สวมจีวรสีขาวก็ถูกนำทางเข้ามา ดูเป็นอัจฉริยบุรุษที่หล่อเหลา แค่มองปราดเดียวก็รู้สึกว่าโดดเด่นไม่ธรรมดา บนตัวมีสง่าราศีของพระสงฆ์ ท่วงทีที่สง่างามแบบนี้ทำให้เซี่ยโห้วหลงเฉิงตะลึงงันเล็กน้อย ไม่เหมือนพระสงฆ์ที่มาจากสถานที่ธรรมดาทั่วไปเลยจริงๆ
เหมียวอี้กลับตกตะลึงอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าพระสงฆ์ที่มาจะเป็นศีลแปด เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว แอบด่าในใจว่าเจ้าบ้านี่เล่นอะไรของเจ้า กล้าแม้กระทั้งแอบอ้างเป็นคนของแดนสุขาวดี
ศีลแปดกวาดตามอง พอเห็นเหมียวอี้นั่งสงบอยู่อย่างนั้น ไม่เหมือนคนที่มีปัญหาอะไร ในใจก็รู้สึกโล่ง ตอนนี้หายห่วงแล้ว
เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่มาจากแดนสุขาวดีจริงๆ เซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ไม่สะดวกจะวางก้ามเช่นกัน เดินอ้อมหลังโต๊ะยาวมากุมหมัดคารวะ “เซี่ยโห้วหลงเฉิงผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกของตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ขอคารวะ ไม่ทราบว่าไต้ซือมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ส่วนไหนของแดนสุขาวดี?”
“อามิตตาพุทธ!” ศีลแปดประนมมือ แล้วกล่าวพร้อมยิ้มอย่างบริสุทธิ์ไร้ราคี “มิใช่มารมิใช่โจร ไม่หยุดนิ่งไม่ว่างเปล่า ไร้คราบไร้ฝุ่น”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงอ้าปากกว้าง รู้สึกมึนงงนิดหน่อย ฟังไม่เข้าใจเลย มาจากไหนกันแน่?
เขาเอียงหน้าหันมองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ฟังเข้าใจหรือเปล่า ในเมื่อรู้จักกับเหมียวอี้ เขาเดาว่าเหมียวอี้คงรู้ว่าอีกฝ่ายมาจากไหน
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกำลังเอียงหน้ามองเขาอยู่ ฟังไม่รู้เรื่องเช่นกัน กำลังจะถามพอดีว่าเขาฟังเข้าใจรึเปล่า เหมียวอี้คิดว่าในเมื่อศีลแปดกล้าแอบอ้างว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี ก็คงนำชื่อสถานที่ที่เคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งมาแอบอ้าง เซี่ยโห้วหลงเฉิงอาจจะรู้ก็ได้ว่าเป็นที่ไหน
ทั้งสองถลึงตาใส่กัน
ที่จริงความหมายของศีลแปดก็คือ ไม่ต้องยึดติดว่าเขามาจากที่ไหน แต่ชาวพุทธมักจะชอบอะไรแบบนี้ จะพูดทุกอย่างให้ดูคลุมเครือ เหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่ ลึกลับซับซ้อน เปรียบเปรียบแฝงคติ ทำให้ทุกคนพยายามบรรลุ อันที่จริงต่อให้บรรลุแล้ว ท้ายที่สุดก็ยังต้องกินเที่ยวเยี่ยวขี้อยู่ดี ส่วนศีลแปดนั้นหลอกลวงคนอื่นจนเป็นนิสัย ท่าทางแบบนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ฝึกมาจนชำนาญแล้ว
แต่เซี่ยโห้วหลงเฉิงดันไม่อยากเสียหน้า แสร้งทำท่าเหมือนฟังรู้เรื่อง พยักหน้าขานรับแล้วบอกว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ไม่ทราบว่าไต้ซือมีฉายานามว่าอะไร”
ที่จริงเหมียวอี้ก็พอจะมองออกนิดหน่อยว่าเขาฟังไม่รู้เรื่อง เพียงแต่สงสัยในใจ ตกลงเจ้าฟังออกจริงๆ หรือแกล้งฟังออก
ศีลแปดตอบเสียงเรียบว่า “ศีลข้อหนึ่งคือเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศีลข้อสองคือเว้นจากการลักขโมย ศีลข้อสามคือเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ศีลข้อสี่คือเว้นจากการพูดโกหก ศีลข้อห้าคือเว้นจากสุรา ศีลข้อหกคือเว้นจากการฟ้อนรำขับร้อง ศีลเจ็ดคือเว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่ง ศีลแปดเว้นจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล อาตมามีฉายานามว่าศีลแปด!”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงฟังจนอึ้งแล้วอึ้งอีก ฟังและทำความเข้าใจอยู่ตั้งนาน พอฟังถึงตอนท้ายถึงได้รู้ว่าอธิบายที่มาของฉายานาม คิดไปคิดมามาก็พบว่าเป็นสองคำสุดท้าย จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนั้นมั้ย? เข้าพึมพำในใจ คุยกับพระสงฆ์รูปนี้เหนื่อยจริงๆ… เขายิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นไต้ซือศีลแปด…” เขารีบวกเข้าหาประเด็น กลัวว่าอ้อมไปอ้อมมาแล้วสมองจะมีไม่พอใช้งาน ชี้เหมียวอี้พร้อมถามว่า “ได้ยินว่าไต้ซือมาคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” ศีลแปดพยักหน้าเบาๆ แล้วหันไปพูดกับเหมียวอี้ “ฆราวาส ไม่เจอกันหลายปี อาตมามาทวงเงินทำบุญคืนจากเจ้า”
เงินทำบุญ? เงินทำบุญหัวโปกเจ้าสิ! เหมียวอี้ยืนขึ้นแล้วขมวดคิ้ว “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นไต้ซือศีลแปดนี่เอง ทำไมท่านถึงมาเก็บเงินที่นี่ล่ะ ไม่ดูเสียบ้างว่าที่นี่คือที่ไหน” ในใจเดือดดาลมาก ในน้ำเสียงเจือความโมโหหลายส่วน เพราะเคยสั่งไว้แล้วว่ามาที่นี่ห้ามประกาศว่ามีความเกี่ยวข้องกับเขา
ศีลแปดยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “จิตว่าง ดวงตาว่าง มีที่ใดบ้างที่ไปไม่ได้?”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงพูดแทรกอย่างประหลาดใจ “ไต้ซือศีลแปด เขาไปติดเงินทำบุญท่านได้อย่างไร ติดเงินท่านเท่าไร?”
ศีลแปดหันมามองเขาแล้วยิ้มบางๆ “เงินคือกรรม เพื่อที่จะตัดกรรม เท่าไรก็ไม่สำคัญหรอก อาตมาเห็นว่าผู้บัญชาการเซี่ยโห้วมีสติปัญญามาก อยากจะไขปริศนาของพุทธธรรมร่วมกับผู้บัญชาการ ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
ข้าจะไปมีสติปัญญาบ้าบออะไรล่ะ! เซี่ยโห้วหลงเฉิงปวดหัวทันที หัวเราะแห้งๆ พร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการผู้นี้โง่เขลา สนทนาธรรมกับไต้ซือไม่ไหว! เอ่อคือ ผู้บัญชาการผู้นี้ยังมีงานต้องทำ ไม่รบกวนการทวงเงินทำบุญของไต้ซือแล้ว” กุมหมัดคารวะส่งแขก
ศีลแปดทำสีหน้าสุดแสนจะเสียายทันที ส่วนเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ส่งสายตาให้เหมียวอี้ไม่หยุด ให้เหมียวอี้รีบพาพระสงฆ์พร่ำเพ้อคนนี้ออกไป อย่ามาสร้างความรำคาญให้เขาที่นี่ เขาเองก็ไม่สะดวกจะไปล่วงเกินคนของแดนสุขาวดี
เหมียวอี้เองก็ไม่อยากเห็นศีลแปดมาก่อเรื่องซี้ซั้วที่นี่แล้ว รีบกล่าวอำลาทันที
พอออกจากศาลพิจารณาคดี ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ส่งเสียงดัง ไม่น่าเชื่อว่าจงหลีค่วยจะส่งข่าวมา ถามว่าเหมียวอี้อยู่ที่ไหน บอกว่าจะมาหา เหมียวอี้ย่อมตอบว่าที่เดิม
“ใครส่งข่าวมา?” ศีลแปดแปลกใจ
เหมียวอี้ไม่ตอบ เพียงเดินออกจากจวนผู้บัญชาการไป เมื่อเดินอยู่บนถนนแล้ว ถึงได้แอบถ่ายทอดเสียงตำหนิศีลแปด “เจ้านี่ใจกล้าไม่เบา บังอาจแอบอ้างว่าเป็นคนของแดนสุขาวดี เจ้ารู้รึเปล่าว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงมีใครหนุนหลัง? เจ้าบ้านั่นอาจจะมาจากตำหนักสวรรค์ก็ได้ ถ้าสามารถคุยกับฝ่ายประมุขชิงได้ ไม่แน่ว่าอาจจะไปมาหาสู่กับแดนสุขาวดี ถ้าเขาจับได้ว่าเจ้าเล่นละคร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะยุติปัญหายังไง!”
“เจ้าหมีควายนั่นมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดนั้นเลยเหรอ? งั้นถ้ามีโอกาสจะต้องทำความรู้จักสักหน่อยแล้ว” ศีลแปดตื่นเต้นประหลาดใจ
เหมียวอี้จึงกล่าวอย่างโมโห “ทำความรู้จักบ้าอะไรล่ะ เจ้าบ้านั่นทั้งโลภเงินทั้งไร้เหตุผล เจ้าอย่าไปยุ่งกับเขาเลย อย่าหาเรื่องใส่ตัว ตอนนี้ข้าไปยุ่งกับเขาแล้ว จะสลัดทิ้งยังไงก็สลัดไม่หลุด ข้าถามหน่อยเถอะ เจ้าเห็นคำพูดข้าเป็นแค่ลมที่ผ่านหูใช่มั้ย ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าอย่าประกาศความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ทำไมเจ้ายังมาที่นี่อีก?”
ศีลแปดร้องขอความเป็นธรรมทันที “ท่านคิดว่าข้าอยากทำรึไง! พวกเรามองจากบนโรงเตี๊ยมแล้วเห็นท่านโดนทหารสวรรค์จับตัวไป พี่สะใภ้ร้อนใจมาก ข้าเองก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือก ถึงได้มาสืบข่าว ตอนนี้พี่สะใภ้ยังรอฟังข่าวจากข้าอยู่นะ”
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะไปปลอมตัวแล้วค่อยกลับไป” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วแยกทางกับศีลแปดที่ปากซอยแห่งหนึ่ง