เรื่องที่ยังไม่เข้าใจชัดเจนก็ยังไม่ต้องไปคิดถึงมัน กลับไปฝึกตนต่อดีกว่า
ส่วนเฮยทั่นที่กินปลาจนอิ่มเต็มท้อง ก็ทำให้มันหลับไปได้หลายวันเช่นกัน หลังจากตื่นแล้วก็วิ่งไปจับปลามากินอีก พอกินอิ่มแล้วก็กลับมานอนต่อ
รอจนกระทั่งฟ้าสว่างอีกครั้ง เหมียวอี้ก็เดินออกมาจากถ้ำ เขานับนิ้วคำนวณวัฎจักรโคจรของร่างกาย พบว่าใช้เวลาไปสิบวันเต็มๆ กว่าฟ้าจะสว่าง เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เฮยทั่นที่วิ่งกลับมาอีกครั้งมีท่าทางผิดหวังมาก พอฟ้าสว่าง ปลาในทะเลสาบก็หายไปแล้ว
หลังจากนั้นอีกสิบวัน เฮยทั่นก็วิ่งไปใช้ชีวิตสำราญในทะเลสาบอีก ปลาสีขาวที่เกิดจากวิญญาณที่โกรธแค้นมาอีกแล้ว ทำให้เหมียวอี้แน่ใจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของที่นี่แล้วเช่นกัน แดนดึกดำบรรพ์กลางวันและกลางคืนของที่นี่ล้วนใช้เวลาประมาณสิบวัน ด้วยเหตุนี้เวลาฟ้ามืดกับฟ้าสว่างจึงดูค่อนข้างยาวนาน
สิ่งนี้ได้พิสูจน์เรื่องเรื่องหนึ่งไว้อย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน เป็นเพราะเวลากลางวันยาวนาน พอวิญญาณโกรธแค้นในท้องเฮยทั่นถูกย่อยจนหมด ต่อให้จะนอนหลับต่อ แต่บนร่างกายก็จะไม่มีกลิ่นหอมนั้นอีก หลังจากได้งนอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน เหมียวอี้ก็สามารถแน่ใจได้แล้ว ว่ากลิ่นหอมอัศจรรย์ที่ปล่อยออกมาจากตัวเฮยทั่นก็คือผลที่ได้หลังจากการย่อยปราณชั่วร้ายและวิญญาณชั่วร้าย
การค้นพบที่ทำให้คนอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่ตัวเฮยทั่นปล่อยกลิ่นหอมอัศจรรย์ วิญญาณชั่วร้ายที่ลอยผ่านปากถ้ำก็อ้อมหนีไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนปราณชั่วร้ายที่ยังไม่มีวิญญาณ พอเข้าใกล้ก็ทนการกรองอากาศตอนที่เฮยทั่นหายใจเข้าออกไม่ไหว ไม่มีทางเข้ามาในถ้ำได้เลย
นี่คือสิ่งที่ก่อนหน้านี้เหมียวอี้คิดไม่ถึง มีเฮยทั่นเฝ้าปากถ้ำให้มันได้ผลอัศจรรย์อย่างนี้นี่เอง สามารถทำให้ฝึกตนในถ้ำได้อย่างสงบใจ สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้ดีใจไม่หาย รู้สึกได้อย่างลึกซึ้งว่าการพาเฮยทั่นมาด้วยคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ทว่าเหมือนเขาจะรีบดีใจเร็วเกินไปหน่อย เขาประเมินความสามารถในการก่อหายนะของเฮยทั่นต่ำไปแล้ว…
ที่ทะเลดาวสับสน บุรุษจัญไรหกเนตรที่ยังอยู่ที่นี่เหนื่อยมาก เดิมทีหลบอยู่เงียบๆ ในมุมก็อิสระเสรีมาก แต่จนใจที่โดนตำหนักสวรรค์เพ่งเล็งแล้วเข้าแล้ว จำเป็นต้องมารับใช้เหมือนวัวเหมือนม้า พอใช้พลังอิทธิฤทธิ์หมดแล้วก็พัก พอฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์แล้วก็ต้องใช้ดวงตาพันลี้ลาดตระเวนไปทั่วทะเลดาวสับสนอีก ข้างกายมีคนของตำหนักสวรรค์ตามเป็นกอง เขาแอบอู้ไม่ได้
เขารู้สึกว่าไป๋เฟิงหวงน่าจะไม่มาที่ทะเลดาวสับสนอีกแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ แต่ตำหนักสวรรค์ต้องการจะพลิกแผ่นดินแผ่นฟ้าหาที่ทะเลดาวสับสนอย่างถึงที่สุด
วันนี้ค้นพบอาณาเขตที่แปลกประหลาดผืนกนึ่ง ในหมอกสีขาวปรากฏหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง โดดเด่นสะดุดตามาก
เมื่อสถานการณ์ไม่ปกติ กลุ่มคนของตำหนักสวรรค์ก็ย่อมต้องการจะไปดูว่ามีอะไร หลังจากมาถึงอาณาเขตหมอกสีดำผืนนี้แล้ว ก็ไม่พบว่ามีจุดไหนที่ผิดปกติ บุรุษจัญไรหกเนตรใช้ดวงตาพันลี้กวาดมองรอบๆ เห็นตรงจุดที่ไม่ไกลมีทหารสวรรค์พันคนกำลังมาทางนี้ ตอนแรกก็ยังไม่สนใจอะไร คิดว่าเป็นกำลังพลที่ลาดตระเวนเฉยๆ
หลังจากกำลังพลหนึ่งพันของฝั่งนี้กับกำลังพลหนึ่งพันของฝั่งนั้นเจอกัน ฝั่งนี้เห็นว่าอีกฝ่ายค่อนข้างคุ้นหน้า จึงตะโกนถามว่า “มาจากหน่วยไหน?”
ชายรูปร่างบึกบึนคนหนึ่งที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามร่ายอิทธิฤทธิ์ตอบเสียงดัง “ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการองครักษ์ขวา ว่าให้เชิญบุรุษจัญไรหกเนตรกลับไปถามอะไรสักหน่อย”
บุรุษจัญไรหกเนตรกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าต้องการจะถามอะไรตนกันแน่
ขุนพลที่อยู่ข้างเขากลับขมวดคิ้ว ถ้าต้องการจะเรียกบุรุษจัญไรหกเนตรกลับไปถามอะไรจริงๆ ทำไมไม่แจ้งให้ตนรู้สักคำเลยล่ะ ทางนี้พาตัวไปโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว ต้องทราบไว้ว่าทางนี้หาคนไม่สะดวก เขาสงสัยนิดหน่อยว่าคนพวกนี้หาพวกเขาเจอได้อย่างไร จึงตะโกนบอกว่า “รายงานมาก่อนว่าสังกัดไหน รอให้ข้ายืนยันตรวจสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ชายรูปร่างบึกบึนที่อยู่ตรงข้ามหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือบอกว่า “ได้ พวกเราทำให้พวกเขารู้สักหน่อยว่าพวกเราสังกัดไหน”
ชั่วพริบตานั้น คนนับพันที่อยู่ข้างหลังเขาก็พลิกมือ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งพันคันพลันปรากฏ ลูกธนูสามดอกมีครบ ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ง้างสายแล้วยิงทันที ลำแสงพันสายถูกยิงออกไปอย่างบ้าคลั่ง ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหกร้อยคันที่อยู่ในจำนวนนั้นเล็งมาที่บุรุษจัญไรหกเนตร ทำเอาบุรุษจัญไรหกเนตรตกใจจนขวัญแทบกระเจิง
ทว่าฝ่ายที่โดนโจมตีก็สมกับเป็นกองทัพองครักษ์ที่อยู่ในสนามรบมานาน รีบคว้าโล่ออกมาป้องกันตัว
ลำแสงระเบิดยิง เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นก้องดาราจักร กองทัพองครักษ์ที่ต้านทานการโจมตีอันรุนแรงระลอกนี้ไม่ไหวโดนยิงตายไปเกือบครึ่ง
กองทัพองครักษ์ที่ใช้โล่ต้านทานจนสะเทือนถอยหลังหันกลับไปมองบุรุษจัญไรหกแวบหนึ่ง พบว่าโดนยิงจนพรุนแล้ว ดับอนาถคาที่ ไม่น่าเชื่อว่ายอดฝีมือบงกชรุ้งขั้นเจ็ดจะโดนกำจัดทิ้งไปแบบนี้
หัวหน้าที่นำกองทัพองครักษ์กลุ่มนี้มาเดือดดาลแล้ว ฉวยโอกาสหาช่องโหว่ตอนอีกฝ่ายลงมือตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “จัดกระบวนทัพโจมตีกลับ!”
กำลังพลหลายร้อยที่เหลืออยู่รีบจัดกระบวนทัพ หนึ่งร้อยคนในนั้นใช้โล่เป็นกำแพง คอยป้องกันการโจมตีระลอกสองที่อาจจะเกิดขึ้นของฝ่ายศัตรู คนหลายร้อยคนที่อยู่ข้างหลังรีบง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์โจมตีกลับ ยังไม่ใช่การยิงออกไปทั้งหมดในรวดเดียว แต่เป็นการผลัดกันยิงแบบขั้นบันได
ถึงแม้จะมีอานุภาพการโจมตีไม่มาก แต่กลับทำให้จังหวะการโจมตีของฝ่ายศัตรูวุ่นวายในชั่วพริบตาเดียว กดดันให้อีกฝ่ายต้องเอาโล่ขึ้นมาบัง
หัวหน้าฝ่ายกองทัพองครักษ์ตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “ศัตรูประชิดโจมตีกะทันหัน!” ขณะเดียวกันก็รีบหยิบระฆังดาราออกมารายงานเบื้องบน ไม่ตื่นตระหนกยามเผชิญวิกฤต
พอออกคำสั่ง กลุ่มที่จัดกระบวนทัพป้องกันก็พุ่งโจมตีเข้าไปโดยใช้วิธีการทั้งรุกทั้งรับ เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์และประสิทธิภาพการใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าฝ่ายศัตรูที่ลอบโจมตี
พอเห็นกำลังพลที่ตัวเองรวบรวมขึ้นชั่วคราวเสียจังหวะแล้ว ชายรูปร่างบึกบึนที่นำกลุ่มมาโจมตีก็รู้ว่าถ้าโดนฝ่ายตรงข้ามบุกสังหารเข้ามา ต่อให้ฝ่ายตัวเองจะชนะ แต่ก็จะต้องบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักแน่นอน ถึงอย่างไรจุดประสงค์ของพวกเขาก็ไม่ใช่การสู้ศึกเลือดกับกองทัพองครักษ์ เป้าหมายสำคัญก็คือบุรุษจัญไรหกเนตร เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสู้ตายให้ถึงที่สุดอีก
“ไป!” ชายรูปร่างบึกบึนตะคอกสั่ง
กลุ่มคนใช้โล่บังทันที แล้วเลี้ยวเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
พอหัวหน้ากองทัพองครักษ์เห็นดังนั้น มีหรือที่จะปล่อยพวกเขาไป ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ฆ่า!” แล้วคว้าโล่นำไปก่อน พุ่งไล่ตามไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาใช้ทวนยาวสังหารฝ่าวงเข้าไป ปาดทวนอย่างเกรี้ยวกราดตลอดทาง โจมตีจนล้มคว่ำต่อเนื่องไปสิบกว่าคน เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พุ่งสังหารตรงไปทางชายรูปร่างบึกบึนที่เป็นหัวหน้า เห็นได้ชัดว่าต้องการจับหัวหน้าก่อน
ชายรูปร่างบึกบึนหันกลับมามอง ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไปมาก นึกไม่ถึงว่าข้างกายบุรุษจัญไรหกเนตรจะมียอดฝีมือแบบนี้ปกป้อง ถ้าโดนกัดไม่ปล่อยขึ้นมา เขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะหนีพ้น แต่โชคดีที่คนหลายสิบคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ข้างกายมีพลังค่อนข้างแข็งแกร่ง รีบร่วมมือกันสกัดขวางแม่ทัพใหญ่คนนั้นของกองทัพองครักษ์เอาไว้ ช่วยช่วงชิงเวลาในการหลบหนีให้เขา แต่ก็ทำได้เพียงโจมตีไปด้วยถ่วงเวลาไปด้วยนิดหน่อย แต่กลับไม่สามารถสกัดขวางแม่ทัพใหญ่คนนั้นได้อย่างเต็มที่
และเป็นเพราะแม่ทัพใหญ่ของกองทัพองครักษ์โจมตีเข้ามา ทำให้ถ่วงความเร็วในการถอนทัพของฝั่งนี้ กองทัพองครักษ์ที่อยู่ข้างหลังก็พุ่งเข้ามาแล้ว อาศัยคนน้อยสู้กับคนเยอะ แต่กลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ทำศึกเลือดกับกำลังพลที่ลอบโจมตี ชั่วพริบตาเดียวก็สู้กันจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ชายรูปร่างบึกบึนเห็นว่าหลุดพ้นจากแม่ทัพใหญ่ข้างหลังไม่ได้เสียที เมื่อเห็นว่าคนที่สกัดขวางแม่ทัพใหญ่โดนไล่ฆ่าทีละคน ก็ด่าว่า “ทำไมไม่ส่งยอดฝีมือมาให้แม่สักหน่อยโว้ย”
เห็นเพียงเขาโบกแขนสองข้าง วาดรูปครึ่งวงกลมประหลาดออกมา
ผ่านไปไม่นาน สถานการณ์รอบข้างก็พลันเปลี่ยนไป หมอกสีดำผืนใหญ่หมุนวนขึ้นมาอย่างช้าๆ ทั้งยังเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ตามติดด้วยเสียงฟ้าร้อง สกัดกั้นถ่วงความเร็วกำลังพลที่ไล่สังหาร ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปกะทันหัน ได้สร้างอุปสรรคที่ค่อนข้างใหญ่ให้กับกองทัพองครักษ์แล้ว ในที่สุดกำลังพลที่ลอบโจมตีก็ทยอยกันรอดตัวไป
สุดท้ายก็เหลือแค่แม่ทัพใหญ่คนนั้นที่ไล่ตามไม่หยุด เมื่อเหลือเขาอยู่คนเดียว การโจมตีหมู่ของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เพียงระลอกเดียวของข้าศึกที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งก็กดดันให้เขาทนไม่ไหวแล้ว พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็มีเพียงฝุ่นละอองที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่งและสายฟ้าที่เริงระบำอยู่ทั่ว จะเห็นเงาคนได้อย่างไร
พอหันกลับไปอีก พวกลูกน้องก็ทยอยกันพุ่งเข้ามารวมตัวอยู่ข้างกายเขา เขาโบกทวนแล้วเงยหน้าถอนหายใจยาว “จะให้ข้ารายงานกับนายท่านผู้บัญชาการองครักษ์ยังไง!”
คนข้างๆ ตอบว่า “นายท่าน ตอนนี้พวกเราจะกลับไปยังไงต่างหากที่เป็นปัญหาสำคัญ”
ทะเลดาวสับสนเกิดเปลี่ยนเป็นมีฟ้าแลบฟ้าร้องกะทันหัน ทำให้คนไม่น้อยรู้สึกตกใจ
ที่ชายขอบทะเลดาวสับสน กลุ่มคนที่ลอบโจมตีพุ่งออกมา พอนับจำนวนลูกน้องได้แล้ว ก็พบว่ามีกำลังพลหายไปเกือบครึ่ง
ชายรูปร่างบึกบึนที่เป็นหัวหน้ามองดูกลุ่มคน รู้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ปกป้องอย่างสุดชีวิต ครั้งนี้ตนก็เลิกคิดได้เลยว่าจะหนีพ้น จะต้องตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์แน่นอน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็บอกว่า “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ในมือพวกเจ้า ข้ามอบให้พวกเจ้าแล้วกัน พวกเจ้าอ้อมออกไปทางขวา หลังจากเห็นดวงดาวสีแดงดวงหนึ่ง ก็ค่อยออกไปทางข้างล่างของดาวดวงนั้น พวกเจ้าจะอ้อมออกจากเขตที่ทหารตำหนักสวรรค์เฝ้าได้”
ในคนกลุ่มนั้นมีคนแอบส่งสายตาให้กัน หนึ่งในนั้นก้าวออกมาแล้วถามว่า “สหาย เจ้ารู้รึเปล่าว่าไป๋เฟิงหวงเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
“พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ของที่รับปากว่าจะให้พวกเจ้าแล้วก็ย่อมให้พวกเจ้า” ชายรูปร่างบึกบึนตอบ
ใครจะคิดว่าคนคนนั้นจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ไปจัดการซื้อขายกันแบบต่อหน้าให้ชัดเจนจะดีกว่า รบกวนสหายพาพวกเราไปเจอสักหน่อยสิ”
ชายรูปร่างบึกบึนกลอกตา ขี้เกียจสนใจพวกเขา จึงหันตัวแล้วออกไปเลย “ในการซื้อขายไม่มีเงื่อนไขนี้ พวกเจ้าจะไปหรือไม่ไปก็ตามใจ”
“เกรงว่าเจ้าจะทำตามใจตัวเองไม่ได้น่ะสิ ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดอยู่ตรงนั้นดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” คนคนนั้นแสยะยิ้ม
ชายรูปร่างบึกบึนหันกลับมา พบว่าธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายร้อยคันง้างสายเล็งมาที่เขาแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้งๆ กลับเร่งความเร็วพุ่งเข้าไปในพายุสีขาวด้วยซ้ำ
“จับเป็น ยิง!” คนคนนั้นออกคำสั่ง
ทำให้เห็นลำแสงระนาวราวกับสายฝนทันที ธนูระเบิดยิงไปที่ชายรูปร่างบึกบึน มองออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้ยิงไปที่จุดสำคัญบนร่างกาย
ทว่าเกราะรบบนตัวชายรูปร่างบึกบึนแวบหายไป หลังจากฝนธนูที่ยิงรวมกันเข้ามาโดนร่างกายเขา แต่กลับทะลุผ่านไปราวกับยิงโดนระลอกคลื่นม่านน้ำ ไม่สามารถสร้างการบาดเจ็บใดๆ ได้เลย ชายรูปร่างบึกบึนกลายร่างเป็นเงาสีขาวสายหนึ่งมุดเข้าไปในพายุสีขาวที่มีสายฟ้าร้องครืนครานอย่างรวดเร็ว
“ท่าไม่ดีแล้ว! เขาคือไป๋เฟิงหวง!” คนที่ออกคำสั่งพลันบอกอย่างตกใจว่า “รีบไล่ตาม!”
คนกลุ่มหนึ่งรีบเข้าไปในพายุสีขาว ทว่าจะยังเห็นเงาของชายรูปร่างบึกบึนได้อย่างไร พอบุกเข้าไปข้างใน พวกเขาก็หลงหายเข้าไปแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะตอนที่ทะเลดาวสับสนหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้หลายคนที่นำหน้ามาทุบอกอย่างร้อนใจทันที นึกไม่ถึงว่าชายรูปร่างบึกบึนที่ปะปนอยู่ด้วยกันจะเป็นตัวจริงของไป๋เฟิงหวง จนกระทั่งพลาดโอกาสที่จะได้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันในรวดเดียวไป
พวกเขาไม่กล้าเข้าไปลึก ล้มเหลวตอนท้าย ภายใต้ความจนใจ พวกเขาก็ทำได้เพียงถอยออกมาอย่างหงุดหงิดแค้นเคือง
ส่วนชายรูปร่างบึกบึนที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้ก็เป็นไป๋เฟิงหวงจริงๆ ตอนนี้ปรากฏร่างเดิม ชุดกระโปรงปลิวสะบัด บินร่อนอยู่ท่ามกลางพายุ บนใบหน้าแสยะยิ้มเป็นพักๆ นางเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนกลุ่มนี้จะคิดไม่ซื่อกับนาง โชคดีที่ตอนแรกนางไม่ได้เผยโฉมหน้าที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องตายน้ำตื้นก็ได้ เดี๋ยวกลับไปจะต้องถามหนิวโหย่วเต๋อสักหน่อยว่าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
หารู้ไม่ว่านี่เป็นความเข้าใจผิดล้วนๆ คนกลุ่มนี้คือผู้เหลือรอดของหกลัทธิ ได้รับคำสั่งมาให้ร่วมมือกับนางกำจัดบุรุษจัญไรหกเนตร นางตอบตกลงเหมียวอี้แล้วว่าหลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จจะมอบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันให้เหมียวอี้ ทว่าจำนวนที่เหมียวอี้ให้สัญญาไว้กับหกลัทธิกลับเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หนึ่งล้านคัน ส่วนที่ฝั่งหกลัทธิเกิดความคิดเป็นอื่น เพราะเตรียมจะคิดหาวิธีนำธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เก้าล้านคันทั้งหมดมาไว้ในมือ ถึงได้เกิดความเข้าใจผิดนี้ขึ้น
…………………………