ตอนที่ตัวเองไปไหนมาไหนคนเดียว ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้ แต่หลังจากมีภรรยาก็เท่ากับมีอีกครึ่งชีวิตเพิ่มขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอหรือการวางตัวในสังคมก็จะต้องคำนึงถึงอีกครึ่งหนึ่งด้วย ต้องสำรวมท่าทีไว้บ้าง เจ้าจะทำเหมือนมีไม่นางอยู่บนโลกนี้ไม่ได้ จะทำตัวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เรื่องที่ทั้งสองทำร่วมกันย่อมไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียวอยู่แล้ว
เหมียวอี้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวต้องร้อนใจมากแน่นอน หลังจากปลอมตัวแล้วจึงรีบกลับไปที่โรงเตี๊ยม
ถึงแม้จะได้ยินศีลแปดบอกว่าเหมียวอี้ไม่เป็นอะไร แต่พอได้เห็นเหมียวอี้กลับมาอย่างปลอดภัย อวิ๋นจือชิวถึงได้ตบหน้าอกอย่างโล่งใจ เดินเข้าไปรับและถามว่า “หนิวเอ้อร์ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
เหมียวอี้นั่งลงข้างๆ แล้วส่ายหน้าตอบว่า “จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ ก็ผู้บัญชาการหมีควายที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ”
อวิ๋นจือชิวรินน้ำชามาวางข้างๆ เขา แล้วนั่งลงถาม “เจ้าอยู่ของเจ้าดีๆ เขามาจับตัวเจ้าไปทำไม?”
“ไม่ถือว่าจับตัวหรอก แต่เจ้าบ้านั่นไม่พูดกันด้วยเหตุผลเลย อีกฝ่ายมีคนหนุนหลัง ก่อให้หาเรื่องคนอื่นตัวเองก็ไม่เป็นไร ไม่จับข้ามัดไปก็ดีเท่าไรแล้ว”
“จับตัวเจ้าไปก็ต้องมีสาเหตุสิ?”
ที่จริงเหมียวอี้ไม่อยากพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหวงฝู่จวินโหรวเลย เขายิ้มขื่นขมพลางเล่าว่า “เจ้าเองก็เห็นสาเหตุแล้ว หวงฝู่จวินโหรวผู้จัดการร้านค้าสมาคมวีรชน ผู้บัญชาการหมีควายคนนี้ชอบนาง เขารู้ว่าข้ารู้จักกับผู้จัดการร้านหวงฝู่ เลยดันทุรังจะให้ข้าเป็นพ่อสื่ออยู่ได้ อีกฝ่ายไม่ชอบเขา แต่เขากลับเกาะติดไม่ปล่อย ข้าจะมีหนทางอะไรได้อีก”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ผู้จัดการร้านหวงฝู่นั่นก็หน้าตาสะสวยไม่ธรรมดาจริงๆ มีคนมาจีบก็เป็นเรื่องปกติมาก”
เหมียวอี้ยกน้ำชาจิบแก้คอแห้ง แล้วพูดพึมพำว่า “ฮูหยิน เจ้าเองก็ได้มาเห็นที่นี่แล้ว ควรจะกลับได้แล้วหรือเปล่า? เวยเวยเพิ่งจะเริ่มงาน กลัวว่าจะมีหลายเรื่องที่ยังไม่คุ้น”
“ทำไม?” อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองทันที ถามด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ข้าขัดหูขัดตาเจ้าเหรอ อยากจะไล่ข้ากลับแล้วล่ะสิ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้ว “เฮ้อ! ข้าจะกล้าได้ยังไง! เมื่อครู่นี้จู่ๆ เจ้ารองก็บุกไปที่จวนผู้บัญชาการ ทำเอาข้าตกใจแทบแย่ ข้าจะบอกความจริงให้แล้วกัน โรงเตี๊ยมที่เจ้าพักอยู่ก็ไม่ใช่ที่พักที่มั่นคงปลอดภัย ใครกล้ารับประกันว่าอยู่ที่โรงเตี๊ยมแล้วจะปลอดภัย พวกเราหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ สักวันจะต้องโดนคนที่สนใจจับได้แน่นอน แบบนี้ไม่เป็นผลดีกับเจ้า ข้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้า ไม่มีทางทำงานได้อย่างสงบใจเลย ไม่มีสมาธิจะฝึกตนด้วย เข้าใจรึเปล่า?”
ที่แท้ก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนาง! อวิ๋นจือชิวรู้สึกหวานซึ้งในใจ มองเขาอย่างอ่อนโยนแวบหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมานั่งตักเขา เอามือคล้องคอเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “หาที่พักที่มั่นคงปลอดภัยได้ไม่ยากหรอก เปิดร้านที่ตลาดสวรรค์สักร้านก็สิ้นเรื่องแล้ว เครื่องประดับนั่นขายดีมากไม่ใช่เหรอ พวกเราคิดหาทางทำร้านขึ้นมาสักร้านดีมั้ย? เจ้าอยู่ที่นี่ก็มีเส้นสายอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ ช่วยข้าหาหน้าร้านสักร้านดีไหม?”
เหมียวอี้เกาศีรษะ “ข้าก็เตรียมจะทำแบบนี้เหมือนกัน หาเส้นสายเพื่อตั้งร้านสักร้านน่าจะไม่ยาก แต่คนที่มีเส้นสายพวกนั้นก็จะมอบให้เปล่าๆ โดยไร้เหตุผลไม่ได้เหมือนกัน ตอนนี้ในมือเรายังไม่มีเงินเยอะขนาดนั้น ถ้าจะซื้อร้านค้าที่ตลาดสวรรค์สักร้านก็ต้องใช้เงินไม่น้อยเลย ที่ร้านขายของชำก็ต้องการเงินทุนเพื่อขยายสาขา กำไรพิเศษลดลงฮวบฮาบ เกรงว่าต้องรออีกสักพักแล้วค่อยว่ากัน”
“รอหน่อยก็ไม่เป็นไร หนิวเอ้อร์ งั้นข้าก็ตอบตกลงเจ้าแล้ว” อวิ๋นจือชิวใช้สองมือกอบใบหน้าเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจังตั้งใจ
อันที่จริงแล้ว ถ้ายังจัดการความสัมพันธ์ระหว่างตนกับหวงฝู่จวินโหรวให้ชัดเจนไม่ได้ เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวมาที่นี่เลย คิดไปคิดมาก็เลยยื้อเวลาไว้ก่อนดีกว่า ยังบอกเวลาแน่นอนไม่ได้ อย่างมากถ้าถึงตอนนั้นก็ค่อยหาข้ออ้างอีกที เขาจึงพยักหน้าตอบว่า “ของที่ฮูหยินอยากได้ ข้าจะไม่พยายามเต็มที่ได้อย่างไร!”
อวิ๋นจือชิวยิ้มหน้าระรื่น สวยหยาดเยิ้มมาก ริมฝีปากแดงน่าหลงใหลยื่นเข้ามาจูบ ลิ้นหอมเป็นฝ่ายรุกล้ำเข้ามาพัวพันในช่องปากเหมียวอี้ก่อน
เมื่อปะเหลาะให้นางมีความสุขแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมพูดง่ายตามไปด้วย หลังจากถอนจูบ นางก็เอามือคล้องคอเหมียวอี้อีก “กลับไปก่อนก็ดีเหมือนกัน ข้าคิดเอาไว้แล้ว จะขายแต่เครื่องประดับอย่างเดียวไม่ได้ ข้าจะซื้อผลึกม่วงกับผลึกแดงกลับไปก่อน แล้วให้ตั๊กแตนแปรรูปสักหน่อย กลั่นให้บริสุทธิ์ก่อน รอให้ได้หน้าร้านมาแล้ว เราก็จะขายทั้งเครื่องประดับทั้งวัสดุหลอมของวิเศษที่มีความบริสุทธิ์สูง กำไรที่ได้น่าจะไม่แย่เท่าไรหรอก”
เหมียวอี้อยากจะให้นางไปไวๆ รีบพยักหน้าให้ความร่วมมือกับนาง “ให้ข้าทำเกราะรบป้องกันตัวสักชุดก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเอาไปให้เยารั่วเซียนหลอมสร้าง ถ้าไม่มีของไว้ป้องกันตัวสักหน่อย ข้าก็รู้สึกไม่มั่นใจ”
เมื่อได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเขา อวิ๋นจือชิวก็เริ่มทำสีหน้าจริงจัง ครุ่นคิดในใจว่าต้องรีบกลับไปทำเวลาหน่อย จะมัวชักช้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ จึงพยักหน้าบอกว่า “ได้ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะซื้อของนิดหน่อย แล้ววันมะรืนก็กลับ” จากนั้นก็ยื่นปากไปข้างหูเหมียวอี้ คลอเคลียที่จอนผม กระซิบปลุกปั่นว่า “แต่สองคืนที่เหลือนี้เจ้าต้องปรนนิบัติข้าดีๆ หน่อยนะ ถ้าไม่ทุ่มเทกำลังป้อนให้ข้าอิ่ม ข้าก็จะไม่ไป”
ท่านขุนนางเหมียวย่อมทำตามคำสั่ง…
เหมียวอี้เบิกผลึกม่วงกับผลึกแดงจำนวนหนึ่งออกจากร้านขายของชำ แล้วนำมามอบให้อวิ๋นจือชิว นางจะได้นำกลับไปเตรียมตัวได้สะดวก จากนั้นก็ติดต่อกับจงหลีค่วย ฝ่ายจงหลีค่วยเดินทางออกจากปราสาทดำเนินนภาแล้ว แต่เวลาในการเดินทางจากปราสาทดำเนินนภามาถึงที่นี่ เพียงพอจะให้เขาไปส่งอวิ๋นจือชิวแล้วกลับมาอีกรอบ
เช้าตรู่ของอีกสองวันต่อมา หลังจากร่างเปลือยทั้งสองลุกจากเตียงขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ก็มาหาศีลแปดที่ห้อง ปรากฏว่าเคาะห้องศีลแปดอย่างไรก็ไม่ยอมเปิด ข้างในไม่มีคนตอบ จึงผลักเข้าไปหาข้างใน แต่ไม่เห็นเงาใครเลย
เห็นเพียงตรงจุดที่สังเกตเห็นได้ง่ายบนโต๊ะ มีแผ่นหยกวางทิ้งไว้แผ่นหนึ่ง พอเหมียวอี้หยิบขึ้นมาอ่าน ก็หน้าดำคร่ำเครียดทันที
“เป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวหยิบแผ่นหยกจากมือเขามาอ่านโดยตรง หลังจากอ่านจบก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน ตวาดเสียงแหลมว่า “หาเรื่อง! หนิวเอ้อร์ กลับไปตามหาเขาแล้วตีให้ตายเลย! ถ้าเจ้าทำไม่ลง พี่สะใภ้คนนี้ก็จะไม่เกรงใจแล้วเหมือนกัน!”
ศีลแปดออกไปแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหนีไปแล้ว พอเจ้าบ้านี้ได้ยินว่าจะกลับพิภพเล็ก เขาก็ไม่ปลื้มแล้ว บอกว่ากลับไปพิภพเล็กแล้วน่าเบื่อ ยังไม่ได้ดูพิภพใหญ่ให้เต็มตาเลย ตอนนี้ยังไม่อยากกลับ ดังนั้นจึงทิ้งจดหมายไว้แล้วแอบหนีไป ทั้งยังบอกว่าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไม่ต้องเป็นห่วง รอให้เขาเที่ยวทัศนาจรจนเต็มอิ่มแล้ว ก็จะไปติดต่อกับเหมียวอี้ที่ร้านขายของชำซื่อตรง
เหมียวอี้รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อศีลแปด เพื่อที่จะติดต่อกันได้สะดวก ก่อนหน้านี้เขานำระฆังดาราไว้ให้ศีลแปดอีกอัน ปรากฏว่าติดต่ออย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ
เหมียวอี้มั่นใจว่าเจ้าบ้านั่นต้องได้รับข้อความแล้วแน่นอน แต่จงใจไม่ตอบกลับ ถึงได้ส่งข้อความไปบอกว่า จะไม่ให้เขากลับไป เพียงแต่มีบางอย่างต้องคุยกันต่อหน้า ให้เขากลับมาพบหน้าตน
ศีลแปดจะโดนหลอกง่ายนั้นได้อย่างไร ก็แค่ไม่ตอบกลับ และไม่รู้ด้วยว่าไปหลบอยู่ที่ไหน
“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ ข้าจะไปสืบข่าวสักหน่อย ดูว่าเขาออกนอกเมืองไปรึยัง!”
เหมียวอี้พูดทิ้งไว้แล้วออกไปทันที มุ่งตรงไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิง ให้เขาช่วยถามทหารยามที่เฝ้าประตูเมือง ถึงอย่างไรศีลแปดก็หน้าตาโดดเด่น ตอนออกจากเมืองทหารยามจะต้องจำได้แน่นอน นอกเสียจากเจ้าบ้านั่นจะปลอมตัว
พอพูดถึงวิชาปลอมตัวของศีลแปด เหมียวอี้ก็ปวดหัวนิดหน่อย นั่นเรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปร้อยแปดพันเก้าจริงๆ
ธุระเล็กน้อยแค่นี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไรสำหรับเซี่ยโห้วหลงเฉิง เขาส่งไปคนไปสืบที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศทันที และไม่นานก็กลับมารายงาน มีคนเห็นศีลแปดออกจากเมืองไปแล้วจริงๆ ด้วย ออกไปทางประตูทิศเหนือ
เหมียวอี้รีบตามไปโดยออกทางประตูทิศเหนือ ค้นหาจนทั่วแล้ว ทว่าดาวเทียนหยวนกว้างใหญ่ขนาดนั้น แถมศีลแปดยังตั้งใจซ่อนตัว ผีที่ไหนจะไปหาเขาพบล่ะ ทำเอาเหมียวอี้แค้นจนกัดฟันกรอด เขย่าระฆังดาราเตือนเสียเลยว่า ศีลแปดต้องกลับมาภายในเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้นจะได้เห็นดีกัน
ศีลแปดดื้อดึงมา ไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งนั้น ในเวลานี้ใช้เหตุผลอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเหมียวอี้ตายแล้วเขาก็ไม่เชื่อ เมื่อพระสงฆ์รูปนี้ตั้งใจแล้วว่าจะหนี ถ้าอยากจะดึงกลับมาก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
เหมียวอี้กลับโรงเตี๊ยมมารออีกหนึ่งวัน ผ่านเวลาที่กำหนดแล้ว แต่ศีลแปดยังไม่กลับมา
เติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่เด็ก เหมียวอี้รู้จักศีลแปดดีว่าเป็นคนอย่างไร นิสัยเสียขาดคุณธรรม ใจกล้าคับฟ้า เมื่อทำเรื่องชั่วไว้ก็จะปิดบังจนถึงที่สุด นอกเสียจากจะหมดทางถอย ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าจับตัวเขามาไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางเต็มใจกลับมารับโทษแน่
หาไม่เจอแล้วจริงๆ อวิ๋นจือชิวจึงแสยะยิ้มและบอกว่า “งั้นก็ยังไม่ต้องหา พวกเรากลับกันก่อนดีกว่า แล้วไปหาไต้ซือศีลเจ็ด ให้อาจารย์เป็นคนสั่งให้เจ้ารองไสกัวกลับมา รอให้เจ้ามาที่นี่อีกรอบ แล้วค่อยพาเขากลับไป”
เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเจ้ารองนิสัยเป็นอย่างไร เขาสามารถหลบไปเป็นเจ้าอาวาสที่สำนักแม่ชีได้ ถ้าไต้ซือศีลเจ็ดตามเขากลับมาได้ก็แปลกแล้ว เจ้ารองเคยทรยศสำนักหนีไปหลายครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะโดนจับกลับมาทุกรอบ เจ้าคิดว่าไต้ซือศีลเจ็ดจะควบคุมเขาได้เหรอ? ใช้อุบายความเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กับเขาไม่ได้ผลหรอก เขาสามารถตะโกนเรียกไต้ซือศีลเจ็ดว่าตาแก่โล้นได้ ไปหาไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่มีประโยชน์เลย!”
อวิ๋นจือชิวตกใจมาก “ทรยศหนีออกสำนักหลายครั้ง? เรียกไต้ซือศีลเจ็ดตาแก่โล้น? เอ่อ… หนิวเอ้อร์ ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงมาก่อนเลยล่ะ?”
นางพบว่าน้องชายของสามีคนนี้ เหมือนคนของแดนมารยิ่งกว่านางเสียอีก ขนาดคนของแดนมารยังไม่ทรยศสำนักตามอำเภอใจอย่างนี้เลย
“เจ้าเคยเห็นใครอยากประกาศเรื่องเน่าเหม็นในครอบครัวบ้างล่ะ?” เหมียวอี้ใช้สองมือลูบหน้า กล่าวอย่างแค้นใจว่า “ไอ้เด็กเปรต อย่าให้ข้าจับได้ก็แล้วกัน!”
ไม่มีทางเลือก ถ้าอยากจะหาตัวศีลแปดกลับมาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งสองไม่มีความสามารถที่จะระดมคนให้หาทั่วทั้งดาวเทียนหยวน ทำได้เพียงกลับไปก่อน เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอศีลแปดซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาวันไหน
บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ อวิ๋นจือชิวทำเครื่องหมายระบุเส้นทางกลับมาตลอดทาง จนกระทั่งวาดเส้นทางกลับได้ทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็กลับมาถึงพิภพเล็กอีกครั้ง
เวลาที่ทั้งสองใช้ในการเดินทางไปกลับ บวกกับเวลาที่พักอยู่ที่พิภพใหญ่ เป็นเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น เมื่อเห็นพวกเขากลับมาแล้ว ฉินเวยเวยที่ช่วงนี้เหมือนกำลังเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ในที่สุดก็ได้โล่งใจเสียที
เมื่อได้อำนาจทางนี้กลับมา อวิ๋นจือชิวก็ไปเลี้ยงดูเอาใจใส่ตั๊กแตนพวกนั้นทันที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำธุรกิจจนชินแล้วหรือเปล่า นางตั้งอกตั้งใจเรื่องเปิดร้านที่ตลาดสวรรค์มาก เหมียวอี้โดนนางทิ้งชั่วคราว
เพียงแต่เหมียวอี้ในตอนนี้ไม่มีทางเปลี่ยวเหงา มีคนคอยอยู่ด้วยอยู่แล้ว เขาเดินไปที่ตำหนักอินทนิลคนเดียว เตรียมจะอยู่ที่นี่สักสามวัน นี่คือเจตนาของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน อย่าให้อนุภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่รู้สึกอ้างว้าง จะได้ไม่มีใครมาว่าภรรยาเอกอย่างนางว่าใจดำอำมหิต
เมื่อได้รับรายงาน ฉินเวยเวยก็รีบนำหงเหมียน ลู่หลิ่วมาต้อนรับ ทั้งสามย่อเข่าคำนับ “นายท่าน!”
คำเรียกนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกแปลก ไม่ทันไรก็กลายเป็นนายท่านแล้ว ทว่าช่วยไม่ได้ มีเพียงคืนวันแต่งงานเท่านั้น ที่นางสามารถเรียกเขาว่า ‘ท่านสามี’ ได้ หลังจากนั้นคำว่า ‘ท่านสามี’ กับ ‘ฮูหยิน’ ก็มีเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่เรียกขานกันอย่างนี้ อนุภรรยาไม่มีทางไปเทียบเสมอกับฮูหยินได้
ฉินเวยเวยที่อยู่ตรงหน้ายิ้มกว้างจนเห็นฟัน ดวงตานางเป็นประกายด้วยความยินดี ชุดกระโปรงสีขาวยังคงเป็นชุดโปรด แต่กลับเปลี่ยนจากการแต่งตัวแบบลูกสาวที่เก่งกาจ กลายเป็นชุดเครื่องแบบของสตรีที่แต่งงานแล้ว ทรงผมก็เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าเดิม แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ
เหมียวอี้ยื่นมือไปจูงมือนาง เดินเคียงคู่กัน พร้อมถือโอกาสบอกว่า “คืนนี้จะค้างกับเจ้าที่นี่”
“ค่ะ!” ฉินเวยเวยเอ่ยรับอย่างเอียงอาย