พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1468 ในที่สุดเจ้าก็พูดภาษาคนเสียที

เป็นเพราะรู้สึกว่าอยู่ที่นี่นานไม่ได้ เลยไม่ได้รีบถามบางอย่างกับสาวใช้คนนั้นไป เตรียมจะออกจากตรงนี้ก่อนแล้วค่อยถามนางว่าถ้ำมังกรรังหงส์อยู่ตรงไหน พอได้ยินไฟหยางแท้กับไฟหยินแท้ ก็รู้ว่ามีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเขา ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่ใจเต้น ผลปรากฏว่ายังไม่ทันได้ถาม เฮยทั่นก็กินสาวใช้คนนี้ไปเสียแล้ว ทั้งชีวิตนี้เพิ่งจะเคยเห็นคนเป็นๆ โดนกินต่อหน้าตัวเอง ฉากโหดเหี้ยมยามกัดหัวหลุดแบบนั้นได้ทำให้ท่านขุนนางเหมียวตกใจค้างแล้วจริงๆ ถ้าจะบอกว่าขวัญผวาก็ไม่ถือกล่าวเกินไป

เฮยทั่นก็อึ้งนิดหน่อยเช่นกัน คิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นแบบนั้น ยังไม่ทันได้ถามอีกฝ่ายเลยว่าควรไปทางไหนถึงจะหลบหลีกประมุขค่ายพยัคฆ์ดำอะไรนั่นได้ กินแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเกินไปจริงๆ

มันยังไม่ทันได้คิดอะไรเยอะ จู่ๆ ก็พบว่าเกราะรบบนร่างกายตัวเองถูกเก็บกลับไปที่คอแล้ว เปลี่ยนกลับเป็นห่วงเหล็กแล้ว จากนั้นก็ตามด้วยภาพตรงหน้าที่พร่ามัว ทวนเกล็ดย้อนควงเข้ามาราวกับไม้กระบอง ฟาดที่หัวของมันอย่างรุนแรงเสียงดังตุ้บ

“อ๋าว…” เฮยทั่นร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วรีบหมอบลงพื้น ใช้กีบเท้าสองข้างปิดตา มันก็รู้ตัวเหมือนกัน รู้ว่าการโดนสั่งสอนสักยกคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

“บังอาจกินคนต่อหน้าพ่อ!”

“รู้จักแต่กิน นอกจากกินแล้วรู้จักอย่างอื่นบ้างมั้ย ทำไมเจ้าไม่ท้องแตกตาย…”

ท่านขุนนางเหมียวโบกทวนราวกับสายฝน เรียกได้ว่าลงมือรุนแรง เดิมอ้อมรอบตัวมันพลางฟาดอย่างบ้าระห่ำ ฟาดไปพลางด่าไปพลาง โมโหแทบบ้าแล้วจริงๆ

หลังจากมีเสียงระเบิดดังเหมือนฟ้าร้องพักหนึ่ง เหมียวอี้ยืนถือทวนค้ำพื้น ด่าจนปากแห้งลิ้นแห้งไปหมดแล้ว เหนื่อยหอบแล้วเหมือนกัน น่าโมโหนัก

เฮยทั่นวางกีบเท้าสองข้างที่ปิดตาลงอย่างช้าๆ ขณะกำลังจะลุกขึ้นมา จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถลึงตาใส่อย่างโมโห มันจึงรีบหมอบลงไปอีก เอากีบเท้าปิดตาอีกครั้ง

เหมียวอี้อยากจะแทงเจ้าเวรนี่ให้ตายจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป สักวันมันต้องวางกับดักให้เขาตายแน่ แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีทางลงมือกับมันได้

แกร๊ง!ทวนกระแทกที่หัวเฮยทั่นอีกครั้ง “ยังจะนอนหมอบอยู่ที่นี่ทำไม?รอให้ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำนั่นมาคิดบัญชีกับพวกเราเหรอ?”

เฮยทั่นลุกขึ้นมาจากพื้น ปัดฝุ่นดินบนร่างกายตัวเอง ขยับร่างกายที่โดนซ้อมจนชาเล็กน้อย มันอาจจะไม่มีความสามารถอื่น แต่มันทนไม้ทนมือเก่ง

พอหันตัวเสร็จมันก็ปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งไปตรงจุดที่จิ้งหูเหนียงเหนียงกลายเป็นเถ้าถ่ายปลิดปลิว ยื่นกรงเล็บไปดึงไข่มุกเม็ดหนึ่งจากบนพื้น แล้วหันกลับมาบ่นว่า “นายท่าน นี่เป็นของดีนะ ท่านจะเอามั้ย ถ้าไม่เอาข้ากินแล้วนะ”

เหมียวอี้กระโดดขึ้นกระโดดลงหลายครั้งไปเหยียบลงอีกด้านหนึ่งแล้วกางนิ้วทั้งห้า ดูดไข่มุกสีขาวที่แซมด้วยลายเส้นสีทองมาไว้ในมือแล้วตรวจดู

ทว่าเมื่อของสิ่งนี้มาอยู่ในมือ ทั้งตัวเขาก็ราวกับโดนไฟฟ้าโจมตี เรียกได้ว่าสูญเสียสติสัมปชัญญะในชั่วพริบตาเดียว ตกอยู่ท่ามกลางทะเลแค้นอันไร้ที่สิ้นสุดอีกครั้ง

พอคลายนิ้วทั้งห้าออกทีละนิด ไข่มุกก็กลิ้งไปอยู่ที่ปลายนิ้วแล้วตกลงสู่พื้น เหมียวอี้ตัวสั่นเล็กน้อย แล้วก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง สายตาจ้องบนไข่มุกเม็ดนั้น ยื่นมือไปดูดมาไว้ในมืออีกรอบ เพียงแต่ครั้งนี้เตรียมใจไว้แล้ว ใช้เคล็ดวิชาอัคนีดารากั้นไม่ให้พลังของวิญญาณอาฆาตขยายตัว

เมื่อนำไข่มุกในมือมาตรวจดูอย่างละเอียด ในใจก็แอบตกตะลึงไม่หยุด ของที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณอาฆาตแข็งแกร่งขนาดนี้ ตอนไม่ใช้มือสัมผัสก็ไม่รู้สึกถึงปราณอาฆาตเลยสักนิด สิ่งนี้คงจะเป็นไข่มุกวิญญาณอาฆาตที่สาวใช้พูดถึง สิ่งนี้คล้ายกับยาเจี๋ยตันของนักพรต นับว่าเป็นต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณอาฆาต เพียงแต่สาเหตุการเกิดต่างกัน ในนี้มีพลังวิญญาณอาฆาตปะนอยู่เยอะเกินไป ตามที่สาวใช้คนนั้นบอก พวกผู้ทรงอิทธิพลของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ พวกที่มีพลังอ่อนแอมักจะนำของไปบรรณาการให้ผู้แข็งแกร่งเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง เป็นของที่ใช้ดูดกลืนเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง

ด้านข้างมีเสียงกลืนน้ำลายดังขึ้น เฮยทั่นกำลังจ้องมองตาปริบๆ เหมียวอี้เหล่ตามองมันแวบหนึ่ง แล้วโยนให้อย่างไม่ใส่ใจ เฮยทั่นอ้าปากรับกลืนลงท้อง แล้วก็สั่นหัวส่ายหางอย่างร่าเริง ลืมเรื่องที่ตัวเองเพิ่งโดนตีไปแล้ว

จากนั้นก็เห็นเฮยทั่นปลดปล่อยฝีเท้าวิ่งไปหาสาวใช้ห้าคนที่โดนเหมียวอี้ฆ่าตายก่อนหน้านี้ น่าเสียดายมาก เจอแค่ไข่มุกวิญญาณอาฆาตที่ไม่สมบูรณ์สองเม็ดเท่านั้น ที่เหลือถูกเหมียวอี้ใช้เพลิงจิตเผาไหม้ไปหมดแล้ว

เฮยทั่นวิ่งกลับมา เหมียวอี้ที่ยืนถือทวนค้ำพื้นทอดสายตามองไปไกลพลางถอนหายใจเบาๆ พอโบกมือหนึ่งที ห่วงเหล็กบนคอเฮยทั่นก็ขยายออกอีกครั้ง ส่วนเหมียวอี้ก็ปีนขึ้นขี่บนหลังมัน แต่กลับไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี

“จะกลับไปเหรอ?” เฮยทั่นส่ายหางถาม

พอพูดถึงเรื่องนี้เหมียวอี้ก็โมโหอีกแล้ว ควงทวนเกล็ดย้อนเคาะบนหัวมันอีกที แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “กลับไปเหรอ? กะจะรอให้อีกฝ่ายมาหาเรื่องถึงที่รึไง?”

เฮยทั่นยอมรับชะตากรรม ถามอย่างหดหู่ไร้ชีวิตชีวาว่า “งั้นจะไปที่ไหนล่ะ?”

“คนนำทางโดนเจ้ากินไปแล้ว เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใคร?” เหมียวอี้ใช้ทวนฟาดหัวมันอีกครั้ง

พูดอะไรก็ผิดหมด เฮยทั่นจึงหุบปากไม่พูดอะไรเสียเลย

เหมียวอี้มองไปรอบๆ อีกครั้ง คนหนึ่งคนกับสัตว์พาหนะหนึ่งตัวยืนสวมเกราะรบอยู่บนทุ่งรกร้าง ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ความรู้สึกงดงาม เก่าแก่ เศร้าวังเวงอย่างบรรยายไม่ถูก

“เฮ้อ!” เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ ถือทวนยาววางนอนบนขาสองข้าง

พอโดนเฮยทั่นก่อเรื่องแบบนี้ ก็ชัดเจนว่ากลับไปที่ถ้ำริมทะเลสาบไม่ได้แล้ว ต่อไปประมุขค่ายพยัคฆ์ดำอะไรนั่นจะต้องมาหาถึงที่แน่นอน สำหรับเหมียวอี้ที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำกระจอกๆ คนหนึ่งไม่น่ากลัวเท่าไรนัก ต่อให้มีทัพใหญ่หนึ่งพันมาขวาง แต่ถ้าเขามีสัตว์พาหนะและทวนอยู่ในมือ ก็กล้าสังหารจนเกิดทางเลือดอยู่ดี เขากลัวก็แต่ว่าข่าวจะแพร่ออกไปในวงกว้าง ล่อให้อำนาจหลายฝ่ายออกมา ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยุ่งยากแล้ว

“ฮักชิ่ว…” เฮยทั่นส่ายหน้าจามหนึ่งที่ “นายท่าน ข้ารู้ว่าข้าทำผิดไปแล้ว แต่ท่านก็ไม่ต้องถอนหายใจหรอก ก็แค่ประมุขค่ายพยัคฆ์ดำเองไม่ใช่เหรอ ไม่มีอะไรน่ากลัว อาศัยความเหี้ยมหาญของนายท่าน ถ้าเขากล้ามาหาถึงที่จริงๆ ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะตายเพราะใครกันแน่”

ตุ้บ! เหมียวอี้ฟาดทวนบนหัวมันอีกครั้ง แล้วพูดอย่างโมโหว่า “เจ้านี่นอกจากเรื่องกินแล้วมีสมองคิดเรื่องอื่นสักนิดมั้ย? ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ฆ่าประมุขค่ายพยัคฆ์ดำคนเดียวแล้วจะมีประโยชน์อะไร ตอนหลังยังมีคนที่ร้ายกาจกว่าประมุขค่ายพยัคฆ์ดำอีก อาศัยแค่เจ้ากับข้าจะสังหารหมดเหรอ? ยังไม่รู้เลยว่าใครจะฆ่าใครกันแน่!”

เฮยทั่นกลุ้มใจแล้ว พบว่าตัวเองพูดอะไรก็ผิดไปหมด จึงกล่าวเสียงอ่อนว่า “ข้าไม่มีสมอง ท่านไปหาคนมีสมองแล้วถามหาวิธีการก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าจำได้ว่าตอนที่อยู่พิภพเล็ก ตอนที่นายท่านไม่อยู่แล้วฮูหยินประสบกับเรื่องที่ยุ่งยาก นางก็จะไปถามหยางชิ่งตลอด หยางชิ่งมักจะคิดหาหนทางได้เสมอ ข้าได้ยินฮูหยินชมว่าหยางชิ่งสมองดีไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ถามหยางชิ่งไม่ได้เหรอ?”

“เออ…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ใช่แล้ว! สามารถถามหยางชิ่งได้

ตัวอยู่ในสถานที่แบบนี้ ไม่ใช่ที่ที่ระดับพลังอย่างหยางชิ่งจะเล่นด้วยไหว จิตใต้สำนึกของเขาตัดหยางชิ่งออกไป ไม่ได้คิดถึงหยางชิ่งในทางนั้นเลย แต่ถ้าลงคิดดูใหม่ ถึงแม้พลังของหยางชิ่งจะใช้ไม่ได้ผล แต่อยู่ที่นี่ตัวเขาเองก็ใช้พลังแข่งไม่ไหวเหมือนกัน ทว่าหยางชิ่งนั้นเจ้าแผนการกว่าคนทั่วไป สมองดีมาก ทำไมลืมหยางชิ่งไปได้นะ?

ช่างเป็นประโยคที่ปลุกให้ตื่นจากความฝันจริงๆ ตุ้บ! เหมียวอี้ใช้ทวนตีหัวเฮยทั่นอีกที

เฮยทั่นยังนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปอีกแล้ว มันเพิ่งจะก้มหัวลง แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับหัวเราะเสียงดัง “โจรอ้วน ในที่สุดเจ้าก็พูดภาษาคนเสียที ถูกต้องแล้ว ไปถามหยางชิ่งก็ได้”

เฮยทั่นพลันเงยหน้า มันตกตะลึงแล้ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ถามอย่างตกใจว่า “มีสิทธิ์อะไร ข้าพูดถูกแล้วท่านยังตีข้าอีกเหรอ?”

“ทดสอบพลังป้องกันของเกราะรบบนตัวเจ้าสักหน่อยว่าเป็นยังไง” เหมียวอี้ทิ้งประโยคที่ทำให้ตัวเองขาวสะอาด

“…” เฮยทั่นพูดไม่ออกแล้ว ที่แท้คนเราก็สามารถไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้นี่เอง ควรค่าแก่การเอาเยี่ยงอย่าง

เหมียวอี้ขี้เกียจจะพูดมากกับมัน หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหยางชิ่งแล้ว

ในตอนนี้หยางชิ่งไม่ได้อยู่ที่อุทยานหลวง แต่อยู่ในเขตที่พักครอบครัวกองทัพองครักษ์นอกวังสวรรค์

ที่จริงหยางชิ่งมาเพื่อเยี่ยมชิงจวี๋ ทว่าชิงจวี๋ไม่พอใจ เขาเองก็ปวดหัวเช่นกัน สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะหญิงงามที่เนี่ยอู๋เซี่ยวส่งให้เหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ดันทุรังยัดมาให้เขาคนหนึ่ง จะไม่รับก็ไม่ได้

ด้วยระดับของหยางชิ่ง ถ้าอยากจะได้คฤหาสน์ใหญ่สักหลังที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้ เรือนพักเดี่ยวก็มีอยู่หลังหนึ่ง ชิงจวี๋เก็บกวาดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ในศาลากลางลานบ้าน หลังจากหญิงงามคนนั้นทำความเคารพแล้ว ก็ถูกชิงจวี๋ไล่ออกไป เป็นเพราะของขวัญที่เนี่ยอู๋เซี่ยวมอบให้เหมียวอี้นั้นใช้ความพยายามจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงนำมามอบให้ไม่ได้ เรียกได้ว่างามล่มเมือง งามจนก่อหายนะจริงๆ

การกระทำของชิงจวี๋ทำให้หยางชิ่งอับอายเล็กน้อย หลังจากชิงจวี๋รินน้ำชาให้เขาแล้ว ก็ยังพูดอย่างกึ่งอ่อนกึ่งแข็งว่า “ที่จริงความงามของนางก็ยังห่างชั้นกว่าฮูหยินตั้งไกล นายท่านไม่ได้ชอบจริงๆ หรอกเจ้าค่ะ สามารถเอาเยี่ยงอย่างท่านแม่ทัพภาคได้ มอบเป็นรางวัลให้ลูกร้องไปเลย จะได้ป้องกันไม่ให้ฮูหยินกับคุณหนูรู้แล้วขุ่นเคืองใจ”

มีหรือที่หยางชิ่งจะไม่รู้ว่านางหึงหวง แค่เอาฉินซีกับฉินเวยเวยมาเป็นข้ออ้างเท่านั้น เขาจิบน้ำชาคำหนึ่ง หลังจากวางถ้วยน้ำชาลง ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ชิงจวี๋ เจ้าต้องทำความเข้าใจไว้นะ เรื่องบางเรื่องมันเป็นปัญหาเรื่องการแสดงท่าที นายท่านดึงดันจะยัดคนมาให้ข้าให้ได้ แต่ข้ากลับส่งต่อให้คนอื่น ถ้าต่อไปนายท่านถามถึง ถึงแม้จะบอกว่าไม่ชอบแล้วพาไปที่อื่นได้ แต่ใครจะรู้ว่าการที่นายท่านมอบของขวัญให้ข้าเป็นการหยั่งเชิงข้าอยู่หรือเปล่า? ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ นายท่านตั้งใจจะควบคุมข้ามาตลอด ถ้าข้าอยู่ตัวคนเดียวก็ว่าไปอย่าง อย่างมากก็แค่แยกทางกัน แต่เวยเวยจะทำยังไงล่ะ? เวยเวยเป็นผู้หญิงของนายท่านนะ นอกจากข้าที่เป็นแรงสนับสนุนภายนอก ก็ไม่มีใครที่ช่วยนางได้แล้ว ไม่เหมือนอนุภรรยาคนอื่นของนายท่านที่เบื้องหลังมีกำลังพลหนึ่งฝ่ายสนับสนุน เรื่องบางเรื่องยอมระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า จะให้เกิดการผิดพลาดไม่ได้”

พูดแบบนี้แปลว่าต้องการจะเก็บหญิงงามเอาไว้ ชิงจวี๋เม้มปาก ถึงแม้นางจะไม่ชอบ แต่หญิงรับใช้อย่างนางก็ไม่สะดวกจะทำอะไรมากเกินไป กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไม่รู้หมือนกันว่าท่านแม่ทัพภาคอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วจะเป็นยังไงบ้าง”

หยางชิ่งเอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง จากน้ำเสียงของนาง เขาฟังออกว่านางกำลังพูดแดกดันว่าการที่เหมียวอี้ไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นการโดนกรรมตามสนอง จึงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แต่จากนั้นก็ทำหน้าตะลึงทันที เอามือคลำระฆังดาราแล้วขมวดคิ้ว “พอพูดถึงนายท่าน นายท่านก็ส่งข่าวมาแล้ว อย่าบอกนะว่าเจอปัญหาอะไร?”

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ทำการตอบกลับ เป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ เหมียวอี้พูดทันที่เอ่ยปาก : หยางชิ่ง ข้าอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ประสบปัญหานิดหน่อย เลยจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อยว่าแก้ปัญหายังไงดี

หยางชิ่งถามทันทีว่า : ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร?

เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ในตอนนี้ให้ฟังทันที

หยางชิ่งฟังจบแล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า : นายท่านโปรดพยายามเล่าสถานการณ์โดยละเอียดจะดีกว่า ถ้าไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าเริ่มลงมือจากตรงไหน

กับเรื่องแบบนี้เหมียวอี้ย่อมไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้ว ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็ไม่ได้มีความลับอะไรของเขา เขาจึงอธิบายสถานการณ์ให้ละเอียด แต่ความลับเกี่ยวกับเฮยทั่น เขายังเลือกที่จะปิดบังเอาไว้

หลังจากฟังจบ หยางชิ่งก็ยืนขึ้นเงียบๆ ถือระฆังดาราพร้อมเอาสองมือไขว้หลัง เดินออกนอกศาลาอย่างช้าๆ แล้วเดินกลับไปกลับมาในสวนพลางจัดระเบียบความคิดเรื่องที่เหมียวอี้เล่า กำลังครุ่นคิดหาแผนรับมือ

ชิงจวี๋อยู่เงียบๆ อย่างไม่ได้รบกวน รู้ว่าตอนนี้หยางชิ่งกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างแน่นอน ไม่สะดวกจะไปรบกวน

หลังจากผ่านไปสักพัก หยางชิ่งก็หยุดฝีเท้า ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ระฆังดาราที่ถือไขว้อยู่ข้างหลังเปล่งแสงอีกครั้งแล้วตอบว่า : นายท่าน ข้าน้อยครุ่นคิดได้ไม่รอบด้าน ตอนนี้มีแค่กลยุทธ์ชั้นยอด กลยุทธ์ชั้นกลาง กลยุทธ์ชั้นต่ำ มีทั้งหมดสามกลยุทธ์ให้นายท่านเลือกไปใช้รับมือ หวังว่าจะช่วยนายท่านได้อีกแรง

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset