ที่เขาว่ากันว่าอยู่ห่างกันสักพักแล้วพบกันอีก จะรักกันยิ่งกว่าเพิ่งแต่งงาน คำพูดนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล นางกำลังแช่อิ่มอยู่ในความปีติยินดีของหญิงที่เพิ่งมีสามี กอปรกับไม่ได้เจอเหมียวอี้บ่อยๆ ดังนั้นพอได้เจอก็ยังรู้สึกหัวใจเต้นแรง พอได้ยินว่าเหมียวอี้ต้องการจะค้างที่นี่ ในใจก็เต็มไปด้วยความเขินอายหวานชื่น นี่คือข้อดีข้อเดียวของการเป็นอนุภรรยา
สิ่งที่มีไม่พอก็คือ เมื่อก่อนถึงแม้หยางชิ่งจะตำแหน่งไม่สูง แต่ก็เติมเต็มปัจจัยในการดำรงชีวิตให้ฉินเวยเวยได้อย่างไม่มีปัญหา ฉินเวยเวยเรียกได้ว่าถูกปรนนิบัติดูแลตั้งแต่เด็กยันโต เคยปรนนิบัติคนอื่นเสียที่ไหนกัน
พอนั่งลงในศาลา หงเหมียน ลู่หลิวก็นำน้ำชามาให้ ฉินเวยเวยรับมาวางไว้ตรงหน้าเหมียวอี้อย่างงุ่มง่าม “นายท่าน เชิญดื่มน้ำชาค่ะ!”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ รับประทานอาหารที่นี่อย่างรู้สึกขำ เป็นเรื่องที่ทำให้ฉินเวยเวยกังวลมาก
ก็ช่วยไม่ได้ มีภรรยาเอกของบ้านเป็นตัวอย่าง ไม่ว่างานอะไรอวิ๋นจือฉิวก็ทำได้ทั้งนั้น ทำได้ทั้งงานนอกบ้านและงานในบ้าน รับรองแขกและจัดการธุระได้รอบด้าน โดยเฉพาะการดูแลเรื่องอาหารการกินของเหมียวอี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ลงมือทำเองตลอด หลังจากเป็นท่านทูตแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม ขอเพียงเหมียวอี้อยู่ข้างกาย อวิ๋นจือฉิวก็ทำหน้าที่ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่เคยยืมมือคนอื่นมาทำให้เลย เข้าใจนิสัยการกินและรสชาติที่ถูกปากเหมียวอี้เป็นอย่างดี
สิ่งเหล่านี้ฉินเวยเวยล้วนเห็นมากับตาตัวเอง ขนาดภรรยาเอกยังทำเองทุกอย่าง อนุภรรยาอย่างนางมีสิทธิ์อะไรมาวางมาดเรียกใช้คนอื่น กลัวว่าถ้าทำได้ไม่ดีแล้วจะกุมหัวใจเหมียวอี้ไม่ได้ แล้วต่อไปเหมียวอี้จะไม่อยากมาที่นี่ อาหารที่นำมาวางวันนี้ถึงแม้ฝีมือจะมีการพัฒนา แต่กลับยังทำหยาบเกินไป ฝีมือด้านนี้ต้องใช้ประสบการณ์ ใชว่าจะทำได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ตอนที่นั่งรับประทานกับอาหารกับเหมียวอี้ ฉินเวยเวยก็ทำสีหน้าเขินอาย แต่ก็จ้องเขาพร้อมถามอย่างกังวลมากว่า “นายท่าน รสชาติเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
ในจุดนี้เหมียวอี้จำเป็นต้องบอก “เทียบกับฮูหยินไม่ได้แน่นอน แต่เจ้ากับสองพี่น้องฝาแฝดไม่เคยทำมาตั้งแต่เด็กๆ ทำไม่เป็นก็เป็นเรื่องปกติมาก งานหนักแบบนี้ส่งให้ลูกน้องทำไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเองให้ยุ่งยาก”
ทำไมรู้สึกว่าเขากำลังว่าตนว่าไร้ประโยชน์ล่ะ? ฉินเวยเวยทำสีหน้าอับอายยิ่งกว่าเดิม ในใจแอบตั้งปณิธานว่าจะทำให้ดีให้ได้ ต่อให้เทียบกับฮูหยินไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ห้ามแย่กว่าสองพี่น้องฝาแฝด จะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ได้
เมื่อตกกลางคืน ฉินเวยเวยที่ช่วยเหมียวอี้ถอดเสื้อผ้าก็พอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว
ตรงข้างอ่างอาบน้ำ ฉินเวยเวยถูกเหมียวอี้ดึงไปอาบน้ำด้วยกันเป็นครั้งแรก นางยังคงประหม่าเขินอาย โดยเฉพาะการเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ต่อหน้าผู้ชาย จะให้ฉินเวยเวยทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร นางลุกลี้ลุกลนปิดบังร่างกาย แต่เหมียวอี้กลับเชยชมอย่างร่าเริง แช่อยู่ในน้ำพลางมองดูนางทำท่าทางเขินอายเพราะจะหลบก็หลบไม่พ้น จะซ่อนก็ซ่อนไม่มิด เรือนร่างขาวหมดจดที่สูงสง่าน่าประทับใจนั้นช่างเป็นจุดเด่นจริงๆ ในเวลานี้เหมียวอี้ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองมีวาสนาไม่เบา…
ในค่ำคืนนั้น หลังจากพายุฝนสงบลง ฉินเวยเวยก็นอนกอดอยู่ในอ้อมอกเหมียวอี้ด้วยสีหน้าสุขสันต์ ใช้เสียงเล็กเสียงน้อยกระซิบพูดคุย
พอคุยไปคุยมา จู่ๆ ฉินเวยเวยก็พูดเสียงต่ำว่า “นายท่าน หงเหมียนกับลู่หลิวก็ถือว่าแต่งงานมาพร้อมกับข้าเหมือนกัน ถ้านายท่านสะดวก เมื่อได้จะได้ไปร่วมห้องกับพวกนางคะ?”
เหมียวอี้พูดไม่ออก อีกสามวันก็ต้องไปแล้ว ตอนนี้เขาจะมีอารมณ์มาทำเรื่องนี้เสียที่ไหนกัน ลำพังแค่อนุภรรยาที่มีอยู่ตรงหน้า เขาก็แทบจะอยู่ด้วยไม่ครบแล้ว ทำได้เพียงตอบไปว่า “ตอนหลังค่อยว่ากัน”
ได้ยินว่าผู้ชายชอบเรื่องแบบนี้ ฉินเวยเวยก็นึกว่าเขาไม่สะดวกจะพูดตรงๆ เพราะอยู่ต่อหน้านาง นางจึงพูดเสียงต่ำว่า “ถ้ามีโอกาสข้าจะช่วยจัดเตรียมให้นายท่านค่ะ!”
สามวันติดต่อกัน วันนี้อยู่กับฉินเวยเวยที่ตำหนักอินทนิล พรุ่งนี้ก็ต้องไปอยู่กับหลางหลางและหวนหวนที่ตำหนักคู่แฝด ขนาดเหมียวอี้เองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำภารกิจให้เสร็จ ทำบ่อยเกินไปแล้ว รู้สึกว่าความสนุกที่ควรจะมีมันหายไป
แต่จะว่าไปแล้ว ตอนนี้เหมียวอี้ก็น่าสงสารมากเหมือนกัน ที่ปรึกษาคนอื่นๆ ล้วนมีจวนที่พักของตัวเอง แต่เขากลับไม่มี จากเมื่อก่อนที่เคยกุมอำนาจมากมาย ตอนนี้กลายเป็นแค่ตำแหน่งเล็กๆ รู้สึกว่ายิ่งอยู่ยิ่งถอยหลัง ตอนนี้อยู่ปะปนกับผู้หญิงหลายคนในบ้านหลังเดียว แต่ถ้าเจ้าไปอยู่พับพวกนางแล้ว จะไม่ ‘มีปฏิสัมพันธ์’ ในด้านนั้นก็ไม่ได้ ถ้าอยู่กับคนนี้แล้วไม่อยู่กับคนนั้นก็จะไม่เหมาะสมอีก
แต่อนุภรรยาทั้งสามดันถูกอวิ๋นจือฉิวสั่งไว้ ว่าในทุกๆ วันต้องบังคับให้เขาฝึกคัดอักษร ถ้าหนีไปบ้านไหนก็หนีไม่พ้น อวิ๋นจือฉิวต้องการตรวจสอบ พวกนางสามคนไม่กล้าขัดคำสั่ง
หลังจากนั้นสามวัน อวิ๋นจือฉิวก็ส่งเหมียวอี้ขึ้นไปบนจักรวาล ก่อนที่จะแยกกัน อวิ๋นจือชิวก็แสดงจุดเด่นของแม่บ้านอีกครั้ง กำชับว่า “วรยุทธ์คือรากฐาน ถ้ามีเวลาก็ขยันฝึกตนเข้าไว้!”
“ทราบแล้วขอรับ!” เหมียวอี้รีบกุมหมัดน้อมส่ง “ฮูหยินเชิญกลับไปเถอะ!”
อวิ๋นจือฉิวกลอกตามองบน อยู่ด้วยกันมาหลายปี นางจะไม่รู้จักเขาเชียวเหรอ? นางรู้ว่าเขากลัวนางบ่นเยอะ จึงกำชับอีกว่า “เมื่อออกไปอยู่ข้างนอก จำไว้ว่าความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ถ้าไม่มีธุระก็กลับมาทันที อย่าลืมว่าในบ้านดินแดนที่นุ่มละมุนของเมียๆ รออยู่ ถ้าอยู่ที่บ้านกินไม่อิ่ม ก็อย่าไปหาเศษหาเลยกินนอกบ้าน ถ้านางจับได้ขึ้นมา ก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ!” พูดจบก็ยื่นมือ บอกใบ้ว่าให้เขาไปได้แล้ว
เหมียวอี้แอบปากเหงื่อในใจ กุมหมัดคารวะนางอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังให้ มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองหลุดพ้นจากเครื่องจองจำ แทบจะกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว เมื่อเลือกทิศทางของพิภพใหญ่ได้แล้ว เขามุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นจือฉิวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามองคล้อยหลังเขาจากไป นางถอนหายใจเบา “ข้าควบคุมเจ้าทำให้เจ้าเป็นทุกข์ขนาดนี้เชียวเหรอ? คนอื่นอยากให้ข้าควบคุมข้ายังไม่อยากสนใจเลย คนไร้มโนธรรม ชาติก่อนข้าคงติดหนี้เจ้า…”
ตอนใกล้จะถึงดาวเทียนหยวน เหมียวอี้นำระฆังดารามาติดต่อจงหลีค่วยอีกครั้ง เดาว่าต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจงหลีค่วยจะมาถึง เหมียวอี้จึงมุ่งตรงไปหาเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก สอบถามว่าศีลแปดกลับมารึยัง
เซี่ยโห้วหลงเฉิงส่งคนไปคอยเฝ้าจับตาดูเรื่องนี้แล้ว ถ้าศีลแปดกลับมา ก็จะมาคนมารายงานทางนี้ทันที
“ข้าว่าเจ้าจะเอาแต่สนใจพระรูปนั้นไปทำไม? เขาหนีไปแล้ว ไม่ได้มาทวงเงินเจ้าแล้ว เจ้าควรจะดีใจสิถึงจะถูก!” เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่เข้าใจ
“เฮ้อ! ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คืน แค่ตอนนี้ข้าคืนไม่เฉยๆ ไปมีเรื่องกับคนของแดนสุขาวดีไม่ไหวหรอก!” เหมียวอี้ถอนหายใจ
“เรื่องเหลวไหลของเจ้าข้าไม่สนใจหรอก เจ้ารีบจัดการเรื่องแต่งงานของข้ากับหวงฝู่เถอะ”
“ผู้บัญชาการเซี่ยโห้ว เจ้าเร่งข้าก็ไม่มีประโยชน์ ข้าช่วยตัดสินใจแทนหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ ทำไมเจ้าไม่เป็นฝ่ายจีบเองล่ะ?”
“เหลวไหล! ข้าเป็นฝ่ายจีบเองมาหลายปีแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไร อีกฝ่ายก็ไม่ให้ข้าเข้าใกล้เลย ท่านย่าเอ๊ย”
“ข้าบอกได้แค่ว่า ข้าจะพยายามเต็มที่แล้วกัน”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงเบิกตาโพลง “เจ้าแซ่หนิว ที่เจ้าเคยซ้อมข้า ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลยนะ เจ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่มั้ย?”
ไม่เคยเห็นคนพึลึกแบบนี้มาก่อน! เหมียวอี้กลัวเขาแล้ว พูดยอมศิโรราบซ้ำๆ ว่า “ได้ๆๆ ข้าจะพยายาม!”
ที่จริงเขาไม่มีทางเป็นพ่อสื่อให้เรื่องนี้ได้เลย ผู้หญิงที่ตัวเองเคยนอนด้วยแล้ว จะให้เป็นคนกลางติดต่อให้คนอื่นมันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน?
เมื่ออกจากจวนผู้บัญชาการ เดินอยู่บนถนนได้ไม่ไกล เหมียวอี้ที่เดินขมวดคิ้วมาตลอดทางก็หันขวับไปมองข้างหลังอย่างอดไม่ได้ สตรีที่รูปร่างสะโอดสะองขาวใสกำลังเดินตามเขาอยู่ เขาหยุดนางก็หยุด เขาเดินเร็วนางก็เดินเร็ว เขาเดินช้านางก็เดินช้า
เหมียวอี้จำต้องหันตัวไปถาม “แม่นาง พวกเรารู้จักกันเหรอ? ทำไมต้องเดินตามข้า?”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก แล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้านี่ขี้ลืมจริงๆ เลย เจ้าลืมข้าไวขนาดนี้เชียวเหรอ? แต่ข้าลืมเจ้าไม่ลงเลยนะ!”
เสียงแบบนี้… เหมียวอี้เบิกตากว้าง อุทานถามว่า “ปีศาจโลหิต! เจ้ายังไม่ตายเหรอ?”
หญิงสาวค่อยๆ ก้าวเข้ามาใกล้ แล้วยกมุมปากแสยะยิ้ม “อาศัยแค่ฝีมืออันต่ำต้อยของเจ้า ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก คืนของมาให้ข้าเสียดีๆ แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!”
เหมียวอี้แอบตกตะลึงในใจ ปีศาจตนนี้ถูกทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะยังสบายดีเหมือนคนไม่เป็นอะไร ช่างน่ากลัวจริงๆ เขาก้าวถอยหลังช้าๆ “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าแตะต้องข้าที่ตลาดสวรรค์!”
ปีศาจโลหิตเข้ามาประชิดทีละก้าว ทำเอาเขาถอยจนติดกำแพง ริมฝีปากแดงพ่นลมหายใจกลิ่นคาวเลือดใส่ “อยู่ที่นี่ข้าไม่กล้าแตะต้องเจ้าหรอก ข้าแนะนำให้เจ้าหัดอ่านสถานการณ์เอาไว้เสียบ้าง ไม่อย่างนั้นได้ลิ้มลองรสชาติเคล็ดวิชามารโลหิตของข้าแน่ เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือข้าหรอก นำหุ้นสองส่วนของร้านขายของชำซื่อตรงกับของของข้าออกมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
หุ้นสองส่วนของร้านขายของชำ… นางมารร้ายหวงฝู่! เหมียวอี้หรี่ตาพลางด่าในใจ โดนหวงฝู่จวินโหรวหลอกเข้าแล้วจริงๆ ตัวเองถามหวงฝู่จวินโหรวเกี่ยวกับที่อยู่ของปีศาจโลหิตหลายครั้ง เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาตามมา แต่หวงฝู่จวินโหรวบอกว่าตอนนี้ปีศาจโลหิตใกล้จะตายแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ตนเพิ่งจะกลับมาถึงตลาดสวรรค์ แต่ก็โดนปีศาจโลหิตจับตาดูแล้ว ปีศาจโลหิตจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากร้านค้าสมาคมวีรชนแน่นอน ถ้าหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้ช่วยก็แปลกแล้ว ถ้าปีศาจโลหิตจับตาดูเขามาตั้งแต่แรก ก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้แล้วค่อยมาดักเจอหรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนปีศาจโลหิตดักตั้งแต่ตอนอยู่นอกเมืองแล้ว
เหมียวอี้คิดแล้วรู้สึกกลัว ถ้าโดนปีศาจโลหิตดักตอนจะกลับพิภพเล็ก เกรงว่าแม้แต่อวิ๋นจือฉิวก็จะมีภัยไปด้วย
ชั่วขณะนี้ เหมียวอี้แทบจะอยากลงมือฆ่าหวงฝู่จวินโหรวให้ตาย เขาทำเสียงฮึดฮัด แล้วหันตัวเดินจากไปไม่แยเสอะไรมาก ถึงอย่างไรตอนอยู่ที่นี่อีกฝ่ายก็ไม่กล้าทำอะไรตน
ปีศาจโลหิตยังคงเดินตามหลังเขา พลางพูดเย้ยว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าแนะนำเจ้าให้นะ ทางที่ดีอย่าให้ถึงขั้นสุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์”
“แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วมุ่งตรงสู่ร้านขายของชำซื่อตรง
เมื่อขึ้นตึกมาถึงห้องนอนของตัวเอง เหมียวอี้ก็ผลักหน้าต่างมองออกไปด้านนอก พบว่าปีศาจโลหิตยังไม่ได้จากไปไหน ยังยืนสบตากับเขาอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามร้านขายของชำ ปีศาจโลหิตยกมุมปากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พลิกมือหยิบขลุ่ยสีเขาออกมาเลาหนึ่ง แล้วเป่าบรรเลงทำนองเพลง
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว เกิดความระแวดระวังในใจ ไม่รู้ว่านางกำลังเล่นบ้าอะไร เพราะไม่ได้ยินเสียงดนตรีอะไรที่นางเป่าเลย แต่ปีศาจโลหิตกลับเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังร่ายอิทธิฤทธิ์เป่าบรรเลงเพลง สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แปลกใจก็คือ วรยุทธ์ของนางลดลงแค่สองขั้นเท่านั้นเอง
ขณะกำลังครุ่นคิด จู่ๆ เหมียวอี้ก็พบความไม่ชอบมาพากล พบว่าแขนขาทั้งสี่ของตัวเองสั่นเทิ้มนิดหน่อย อดไม่ได้ที่จะก้มมองสองมือของตัวเอง ภาพที่ปรากฏสู่สายตาคือเงามายา ปรากฏเป็นสีแดงเลือดรางๆ รู้สึกว่าน้ำเลือดในร่างกายตัวเองค่อยๆ หมุนขึ้นหมุนลง รุนแรงขึ้นทีละนิดราวกับพลิกแม่น้ำคว่ำทะเล เขาควบคุมไม่ได้เลย มันพุ่งไปที่หัวใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับต้องการให้หัวใจของเขาระเบิดออก ในหูได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงราวกับเสียงกลอง ตึกตักตึกตัก อาการมึนศีรษะกำเริบทีละนิด
แทบจะชั่วพริบตาเดียว เม็ดเหงื่อก็ผุดเต็มหน้าผากเหมียวอี้ เขาหายใจถี่กระชั้น เบิกตากว้างมองปีศาจโลหิตที่อยูบนถนนฝั่งตรงข้าม มองเห็นรางๆ ว่าปีศาจโลหิตที่กำลังยิ้มชั่วร้ายวางขลุ่ยสีขาวในมือลงแล้ว แต่ความเจ็บปวดในร่างกายเหมียวอี้กลับยังไม่หายไปแม้แต่นิดเดียว กลับยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ
เหมียวอี้พยายามต้านทานอย่างสุดชีวิต ปกป้องเส้นเลือดใหญ่ตัวเอง หัวใจจะได้ไม่ระเบิดเพราะโดนน้ำเลือดไหลมารวมกัน