สิบคืนหนึ่งวัน สิบวันหนึ่งคืน แสงอาทิตย์อ่อนจางที่ส่องสว่างอยู่ไกลๆ ไปหลบอยู่ตรงไหนอีกก็ไม่รู้ ฟ้ามืดอีกแล้ว แต่กลับมองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้าอย่างชัดเจน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหา อินทรีสามหัวบินอยู่นท้องฟ้าในระดับที่สูงมาก ปราณชั่วร้ายที่ปกคลุมปิดบังอยู่ใต้เท้าไกลมาก อากาศบนที่สูงสะอาดสดชื่น ทำให้คนรู้สึกเหมือนตัวอยู่ในดาราจักร เหมียวอี้เหมือนได้กลับไปยังดาราจักรที่ตัวเองคุ้นเคยอีกครั้ง
พอทอดสายตามองไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล แต่ทำไมถึงออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ได้?”
อั้นโยวหลินที่อยู่ข้างกันตอบว่า “พวกเราก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร ท้องฟ้าอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่ว่าเจ้าจะเหาะได้สูงหรือเร็วแค่ไหน ก็เหมือนว่าไม่มีทางไปอยู่รวมกับดาราจักรผืนนั้นได้เลย ได้ยินว่าแม้แต่เผ่ามังกรกับเผ่าหงส์ในปีนั้นก็ทำไม่ได้เหมือนกัน สำหรับพวกเรา ดาราจักรผืนนี้คือที่ที่ใฝ่ฝันแต่เอื้อมไม่ถึงตลอดไป” พอพูดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามอีกว่า “ได้ยินว่าดาราจักรและพื้นดินนอกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ นักพรตสามารถวิ่งไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระเหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ถ้าวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองก็จะเป็นแบบนี้จริงๆ ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ”
ผู้หญิงที่ไม่ว่าเวลาไหนก็หน้าบึ่งอยู่ตลอดเวลาราวกับเขาติดเงินนาง ในตอนนี้ในดวงตาฉายแววเคลิบเคลิ้มอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน ถามอีกว่า “ได้ยินว่าสรรพสิ่งต่างๆ ภูตผีปีศาจมารเซียนพระที่อยู่ข้างนอกใช้ดาราจักรร่วมกัน มีโลกมนุษย์เจริญรุ่งเรือง ระหว่างคนด้วยกันสามารถยอมทิ้งหัวสละชีพเพราะคำว่า ‘มิตรภาพ’ ระหว่างชายหญิงสามารถร่วมเป็นร่วมตายกันเพราะกับว่า ‘รัก’ สรรพสิ่งมากมายยิ่งผ่านประสบการณ์มากก็ยิ่งขบคิดไม่รู้ลืม ไม่เหมือนแดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่แห้งเหี่ยวตลอดมาไม่เคยเปลี่ยน เป็นแบบนี้หรือเปล่า?”
คำถามนี้ทำให้เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เจ้าอยากจะออกไปดูสักหน่อยมั้ยล่ะ?”
อั้นโยวหลินกล่าวอย่างโหยหาสิ่งนี้ “ก็อยากจะออกไปดูอยู่หรอก แต่ไม่มีทางออกไปได้เลย กลัวก็แต่ว่าถ้าครั้งหน้าทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์มากวาดล้างที่นี่ ข้าจะรอดชีวิตต่อไปได้หรือเปล่าก็ยังเป็นปัญหาเลย ข้าไม่เข้าใจ เป็นดาราจักรที่ภูตผีปีศาจมารพระเซียนอยู่ร่วมกันแท้ๆ ทำไมถึงไม่ยอมรับพวกเราอยู่แค่พวกเดียว ทำไมถึงต้องขังพวกเราไว้ที่นี่。”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองนาง ขณะที่เห็นนางเงยหน้ามองดาราจักรอย่างเหม่อลอย เขาก็บอกว่า “ถ้าเจ้าช่วยข้าจัดการเรื่องนี้ให้ดีๆ ข้าก็จะลองพยายาม ดูว่าจะพาเจ้าออกไปข้างนอกได้หรือไม่”
อั้นโยวหลินพลันหันกลับมา แล้วถามด้วยแววตาเป็นประกาย “นายท่านพูดจริงเหรอ?”
เหมียวอี้บอกว่า “แต่เจ้าต้องเข้าใจเอาไว้อย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิตข้างนอกยอมให้พวกเจ้าอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ ปราณมรณะบนตัวเจ้ารุนแรงเกินไป ถ้าคนทั่วไปแตะต้องเจ้าก็คงจะมีอันตรายถึงชีวิต เวลาต้นไม้ใบหญ้าเจอเจ้าก็จะต้องเหี่ยวเฉา ก็เหมือนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ข้าได้ยินมาว่าเมื่อก่อนที่นี่มีธรรมชาติงดงาม แต่หลังจากการปรากฏตัวของพวกเจ้า ที่นี่กลายเป็นแบบไหนไปแล้วล่ะ? ต่อให้เจ้าออกไปแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะปรับตัวกับสภาพต่างๆ ในชีวิตได้ พอโผล่หน้าออกไป คนในโลกก็จะมองเจ้าเป็นสิ่งอัปมงคล ไม่มีใครให้เจ้าอยู่ด้วยได้ ถึงตอนนั้นก็จะมีคนที่โผล่มาจัดการเจ้าเร็วมาก ทำให้เจ้าสลายหายไป มีราคาที่ต้องจ่ายมากขนาดนี้ เจ้ายังอยากจะไปอีกเหรอ?”
อั้นโยวหลินแทบจะไม่ลังเลอีก “ขอเพียงนายท่านพาข้าออกไปได้ ข้าก็จรับมืออย่างระมัดระวัง”
เหมียวอี้จึงถามว่า “แล้วแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายที่ถ้ำมังกรรังหงส์ล่ะ? ถ้าข้าพาเจ้าออกไปด้วย เจ้าจะตัดใจทิ้งที่นี่ลงเหรอ?”
อั้นโยวหลินจึงถามกลับมา “ข้างนอกไม่มีแหล่งทรัพยากรฝึกตนอย่างอื่นเลยเหรอ? ทำให้วรยุทธ์เพิ่มสูงขึ้นได้เหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ถ้าสามารถออกจากที่นี่ได้ ข้าสามารถยอมทิ้งพลังวิญญาณมรณะ ไม่ต้องเพิ่มวรยุทธ์อีกก็ได้”
เหมียวอี้พยักหน้า “ได้! ข้าตอบตกลง ขอเพียงเจ้าช่วยข้าทำเรื่องครั้งนี้ให้สำเร็จ ข้าก็จะหาทางพาเจ้าออกไป ส่วนจะพาเจ้าออกไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ ข้าก็ไม่รับประกันนะ แต่เจ้าต้องตอบตกลงข้าเรื่องหนึ่ง หลังจากออกไปแล้วคลุกคลีหรือเข้าใกล้มนุษย์ธรรมดา”
“ได้! ตราบใดที่ท่านสามารถพาข้าออกไปได้ ข้าก็รับรองว่าจะไม่เปิดเผยกับใครว่าท่านเป็นคนพาข้าออกไป”
เหมียวอี้ไม่พูดอะไรอีก เขาไม่รู้ว่าการที่ตัวเองตอบตกลงนางเรื่องนี้เป็นการช่วยหรือทำร้ายนางกันแน่ แต่เขารู้ว่าอาศัยศักยภาพอย่างอั้นโยวหลิน ถ้าออกไปก็มีแต่จะต้องตายแน่นอน นอกเสียจากจะไม่โผล่หน้าไปหาใครเลย ตราบใดที่อยากได้ทรัพยากรฝึกตน นั่นก็เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในสักวันอยู่แล้ว มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก
ในใจเขาได้แต่แอบยิ้มเจื่อน รู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก ตนไปตอบตกลงเรื่องแบบนี้กับวิญญาณชั่วร้ายได้อย่างไร แบบนี้ไม่ใช่การสร้างปัญหาให้ตัวเองหรอกเหรอ ตัวเองเป็นคนหัวร้อนบุ่มบ่ามจริงๆ ด้วย
เขาอยากจะกลับคำพูด แต่ก็พูดไม่ออกแล้ว
เขาไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “พวกเจ้าก่อตัวขึ้นมาจากแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายในถ้ำมังกรรังหงส์ แล้วแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายนั่นมาจากไหน?”
อั้นโยวหลินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามาจากไหน”
“ได้ยินมาว่าที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ฟ้ากลมดินเหลี่ยม กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต ไม่มีทางหาปลายสุดเจอเลย เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถาม
อั้นโยวหลินส่ายหน้า “ถ้าฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยมแล้วจะไม่มีปลายสุดได้ยังไง ที่บอกว่าใหญ่นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่มีปลายสุด ได้ยินว่าถ้าเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จะเจอช่องสุญญะผืนหนึ่ง ถ้าบุกฝ่าช่องสุญญะออกไปก็จะไปโผล่อีกฝั่งหนึ่งในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่มีวันออกไปได้ก็เท่านั้นเอง แต่ทำหรับนักพรตที่อยู่ข้างนอก ถ้าไม่สามารถเหาะเหินได้ แดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็กว้างใหญ่มาก เดินเท่าไรก็ไปถึงปลายสุดได้ยากจริงๆ”
แบบนี้…เหมียวอี้พยักหน้าเงียบๆ เขาเข้าใจแล้ว เรื่องบางเรื่องก็ต้องเดินไปสัมผัสมากๆ หน่อยถึงจะเข้าใจ
จำเป็นต้องบอกไว้ก่อน ว่าการให้อั้นโยวหลินเป็นคนนำทางเป็นการจับพลัดจับผลูแต่เลือกคนถูกจริงๆ ระหว่างทางถ้าบังเอิญเจอจุดไหนที่พลังปราณเยอะเกินไป ยกตัวอย่างเช่นถ้าจ้างหน้ามีปราณเหี้ยมโหดรุนแรงเกินไป นางก็จะควบคุมให้อินทรีสามหัวบินอ้อมทันที ถึงแม้นางจะไม่รู้ว่าเป็นอาณาเขตของใคร แต่นางเดาว่าสถานที่แบบนี้อาจจะมียอดฝีมือที่พวกเขามีเรื่องด้วยไม่ไหวอยู่ ยอมอ้อมไปไกลดีกว่า ไม่ยอมล่วงล้ำเข้าไป
เหมียวอี้พบว่าผู้หญิงคนนี้ช่างข่มอารมณ์เก่งจริงๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางเป็นวิญญาณมรณะหรือเปล่า เวลาพูดจาฟังดูไร้ชีวิตชีวา
เดี๋ยวก็อ้อมไปทางทิศตะวันตก เดี๋ยวก็อ้อมไปทางทิศตะวันออก เป็นแบบนี้ตลอด เหมียวอี้นับนิ้วคำนวณ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้เวลาไปเกือบครึ่งปีแล้ว
หลังจากนั้นครึ่งปี อากาศก็เริ่มเย็นลงทีละนิด บนแผ่นดินข้างหน้าปรากฏทุ่งหิมะที่กว้างใหญ่ไพศาล
บินอยู่บนท้องฟ้าเหนือทุ่งหิมะเป็นเวลาสองวันเต็มๆ ที่ราบสูงหิมะอันโอ่อ่าอลังการแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ภูเขาน้ำแข็งนั้นเป็นภูเขาน้ำแข็งที่แท้จริง ยอดเขาน้ำแข็งสีฟ้าสดใสมีทั้งสูงทั้งต่ำติดกันเป็นพืด ยอดเขาน้ำแข็งที่สูงก็เรียกได้ว่าตั้งตระหง่านเทียมฟ้า ไม่มีแสงแดดส่องสะท้อนแต่กลับเปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆ หิมะขาวเป็นเพียงจุดเล็กๆ บนภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นโลกอัญมณีสีฟ้าที่ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสดชื่นสบายใจจริงๆ
“น่าจะถึงทุ่งน้ำแข็งโบราณแล้ว…” น้ำเสียงของอั้นโยวหลินฟังดูตื่นเต้นปนหวาดกลัวนิดหน่อย
เหมียวอี้เอียงหน้ามองนางแวบหนึ่ง ไม่ใช่แค่นาง แม้แต่อินทรีสามหัวที่อยู่ใต้เท้าก็ตัวสั่นเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะหยุดลอยอยู่กลางอากาศแล้ว ไม่บินไปข้างหน้าอีก เจ้าสิ่งมีชีวิตที่ไม่ยอมเป็นคนแต่ยอมกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ยังไม่เบิกสติปัญญา ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางและหนีกลับทันที
อั้นโยวหลินลงมืออย่างรวดเร็ว เก็บมันไว้ในกำไลเก็บสมบัติทันที
เมื่อไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว ทั้งสองก็ตกลงจากท้องฟ้าพร้อมกัน เหยียบลงบนแผ่นน้ำแข็งผืนหนึ่งที่เป็นสีฟ้าใสราวกับกระจก
“เป็นอะไรไป?” เหมียวอี้ที่เหยียบลงพื้นขมวดคิ้วถาม
อั้นโยวหลินมองไปรอบๆ ด้วยสายตาหวาดกลัวเล็กน้อย “ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งที่ข่มวิญญาณชั่วร้ายอย่างพวกเราโดยธรรมชาติ อยู่ข้างหน้านี้เอง…ไฟ เป็นไฟหยินแท้”
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทันที ชั่วพริบตานั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าในอากาศที่อยู่ข้างหน้าจะมีธาตุไฟสีฟ้าที่เล็กจนตาเปล่ามองไม่เห็นล่องลอยอยู่ ราวกับเป็นวิญญาณสีฟ้า ที่แท้แสงสว่างสีฟ้าที่อ่อนจางนั่นก็คือธาตุไฟหยินนี่เอง
ไม่น่าเชื่อว่าธาตุไฟหยินของที่นี่จะเข้มข้นขนาดนี้! เหมียวอี้เรียกได้ว่าดีอกดีใจมาก สงสัยจะไม่ได้มาผิดที่แล้ว
“ข้างหน้าข้าไม่กล้าไปต่อแล้ว” อั้นโยวหลินหันกลับมา แล้วพูดด้วยแววตามีหวังนิดหน่อยว่า “รังหงส์น่าจะอยู่ลึกในภูเขาน้ำแข็งข้างหน้า นายท่านบอกว่ามีหนทางพาข้าเข้าไปได้ ไม่รู้ว่าจะรักษาคำพูดหรือเปล่า”
เดี๋ยวกลับมาเหมียวอี้ก็ยังต้องให้นางพาตนไปที่ถ้ำมังกรอีก ต่อให้อยากจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง แต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ เขาจึงพยักหน้าบอกว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ในเมื่อข้ากล้ามา อุปสรรคเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”
อั้นโยวหลินดีใจมาก รีบบอกว่า “ต่อไปก็ต้องพึ่งนายท่านแล้ว”
“แค่ไปกับข้าก็พอ” เหมียวอี้โบกแขนเสื้อ แล้วไหลไปตามแผ่นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว อยู่ที่นี่ต่อให้ไม่ใช่ความเร็วในการเหาะ แต่ก็ช้าไม่ได้เช่นกัน
อั้นโยวหลินรีบเหาะตามไป หลังจากตามทันแล้ว เดิมทีอยากจะดึงเหมียวอี้ให้เหาะไปด้วยกัน แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด เกรงว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมตกอยู่ในมือของตน ดังนั้นนางจึงเหยียบลงพื้น แล้วไหลไปพร้อมกับเหมียวอี้
เมื่อเห็นว่ากำลังจะได้ล่วงล้ำเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยปีศาจสีฟ้า เหมียวอี้ก็โบกมือชี้ เคล็ดวิชาอัคนีดาราถูกปล่อยออกมาแล้ว ปีศาจสีฟ้าที่ล่องลอยก็หลีกทางให้ทั้งสองพุ่งไปข้างหน้าต่อทันที
พอเห็นแบบนี้ อั้นโยวหลินที่มีใบหน้าบึ้งตึงก็เผยสีหน้าแทบบ้าแล้ว นางพบว่าเหมียวอี้ไม่ได้หลอกลวงนาง มีหนทางพานางไปจริงๆ ด้วย
ใครจะคิดว่าชั่วพริบตาที่ทั้งสองเพิ่งจะบุกเข้าไปในโลกปีศาจสีฟ้า ความรู้สึกที่แย่ถึงขีดสุดก็ทำให้ทั้งสองตกใจจนขนลุกขนชันแล้ว
ปราณสังหารที่น่าสะพรึงกลัวจนทำให้คนหยุดหายใจกลุ่มหนึ่งได้เล็งพวกเขาสองคนไว้แล้ว ยังไม่ทันรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร พลังอิทธิฤทธิ์อันน่าสะพรึงกลุ่มหนึ่งที่แข็งแกร่งจนทำให้ทั้งสองไม่มีทางต้านทานได้ก็ดึงทั้งสองเข้าไปแล้ว
หลังจากหยุดแล้ว ทั้งสองก็ค่อยๆ หันตัวและหันหน้ากลับมา เห็นเพียงเนินหิมะแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้าทั้งสอง ทั้งสองมองหน้ากันเลิกลั่ก เมื่อครู่นี้ตอนสัมผัสได้ถึงปราณสังหารอันน่าสะพรึงกลัว พวกเขาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว
จู่ๆ เนินหิมะก็โผล่ขึ้นมาจากรอยแยก แล้วแตกกระจายเกลื่อนพื้น ชายชุดแดงคนหนึ่งที่ผิวขาวหมดจดผมยาวคลุมบ่ากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง ดูผอมบาง ดื้อรั้น หล่อเหลา รอบกายมีปราณสังหารสีเลือดลอยวนเวียน ปราณสังหารนั้นวนอยู่รอบกายเขาราวกับมังกร แล้วก็เจาะเข้าไปในร่างกายเขา ลายเลือดดอกหนึ่งตรงหว่างคิ้วจางลงทีละนิด ส่วนเขาก็ลืมตาที่เป็นประกายดุจดวงดาวอย่างช้าๆ พร้อมยืนขึ้น จ้องทั้งสองที่กำลังตกใจพลางเผยรอยยิ้มทีละนิด
เหมียวอี้ตกใจ แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าในกองหิมะนี้จะซ่อนวิญญาณสังหารระดับบงกชกลายเอาไว้ ดูจากการลงมือเมื่อครู่นี้ เหมือนจะเป็นเป็นระดับบงกชกลายขั้นสูงแล้ว ทำไมตอนตำหนักสวรรค์กวาดล้างถึงปล่อยให้คนประเภทนี้หลุดรอดไปได้? อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ที่ตนจะต้านทานไหวเลย จึงถามเสียงต่ำว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“อวี้ซา!” ชายชุดแดงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“หา!” อั้นโยวหลินถอยหลังก้าวหนึ่ง แล้วอุทานอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าเองเหรออวี้ซา?”
ผู้ที่เรียกตัวเองว่าอวี้ซาพยักหน้า “หลบมาหลายปีขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่ายังมีคนจำข้าได้ด้วย”
เหมียวอี้หันกลับมาถามอั้นโยวหลิน “เขาเป็นใคร? เจ้ารู้จักเหรอ?”
อั้นโยวหลินส่ายหน้าอย่างสิ้นหวังและกังวลเป็นพิเศษ
สายตาของอวี้ซากลอกไปมาบนตัวของทั้งสอง จากนั้นยิ้มเผยฟันขาวทั้งปาก “น่าสนใจ วิญญาณมรณะดวงหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่กับนักพรตที่มาจากภายนอก พวกเจ้าจะไปไหนกัน จะไปรังหงส์เหรอ? ข้าก็อยากไปเหมือนกัน พาข้าไปด้วยกันสิ ทั้งสองคิดว่ายังไงบ้าง?”
…………………………