ยังต้องถามอีกเหรอว่าคิดยังไง? ทั้งสองไม่อยากพาเขาไปด้วยแน่นอน
ดูจากท่าทางของอั้นโยวหลิน พอเห็นอวี้ซาท่านนี้แล้วก็เหมือนจะตกใจจนไม่กล้าพูด เหมียวอี้จึงไม่หวังว่านางจะมีวิธีการอะไรแล้ว บอกไปตรงๆ เลยว่า “พวกเราก็อยากจะไปดูรังหงส์สักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำยังไงถึงจะได้เข้าไป หวังว่าผู้อาวุโสจะชี้แนะสักหน่อย”
อวี้ซามองเขาพลางยิ้มบางๆ “ตอนอยู่ต่อหน้าข้า เล่นละครแบบนี้ไม่สนุกหรอก ถึงข้าจะโดนหิมะผนึกไว้ แต่ก็เห็นเจ้าร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมไฟหยินแท้นั่นได้ ถือโอกาสตอนที่ข้ายังทนไหว อย่ายั่วโมโหข้าเลย”
“แล้วถ้าข้าไม่พาเจ้าไปล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
อวี้ซาบอกว่า “งั้นข้าก็ทำได้เพียงอาศัยกายหยาบของเจ้าแล้วค่อยคิดหาทางเข้าไป แต่ในเมื่อเจ้ามีวิชาควบคุมไฟแล้ว ข้าจำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นด้วยเหรอ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงพาวิญญาณนี่เข้าไปด้วย แต่เดาว่าเจ้าก็คงจะมีจุดหมายของตัวเอง พวกเรามาร่วมงานกันเถอะ หลังจากเข้าไปแล้วก็ต่างคนต่างเอาสิ่งที่ต้องการ เป็นยังไง?”
“ทำงานร่วมกันเหรอ? แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือการขู่คุกคามนะ” เหมียวอี้บอก
อวี้ซาโบกมือเบาๆ “ผิดแล้ว! ถ้าไม่ได้การช่วยเหลือจากข้า อาศัยวรยุทธ์อย่างเจ้าน่ะ เกรงว่าจะเข้าไปได้ยากมาก หรือเจ้าคิดว่าตรงนี้มีแค่ข้าคนเดียวที่อยากเข้าไปในรังหงส์?”
เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินมองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก แล้วเหมียวอี้ก็ถามว่า “อย่าบอกนะว่าที่นี่ยังมีคนอื่นซ่อนอยู่อีก?”
อวี้ซาพยักหน้า “เกรงว่าเจ้าคงจะโดนคนอื่นจับตามองตั้งนานแล้วน่ะสิ เป็นเพราะพวกเจ้าผ่านอาณาเขตที่ข้าคุมพอดี พวกเขาไม่รู้ตื้นลึกหน้าบางของข้าก็เลยไม่กล้าบุ่มบ่ามก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเจ้าจึงต้องการใครสักคนเพื่อเบิกทางให้เจ้า ข้าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนะ”
“หมายความว่า ข้ายังสามารถเลือกคนอื่นมาร่วมงานได้อีกเหรอ” เหมียวอี้กล่าว
อวี้ซายิ้มบางๆ “เจ้าตกอยู่ในมือข้าแล้ว เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?” จู่ๆ สายตาก็กวาดไปที่อั้นโยวหลิน ปราณสังหารที่ดุร้ายกลุ่มหนึ่งพลันปล่อยออกมาพร้อมกัน ควบคุมอั้นโยวหลินไว้ทั้งตัว
ถึงแม้เป้าหมายที่เล็งไว้จะไม่ใช่เหมียวอี้ แต่ปราณสังหารที่ล่องหนนั้นก็ทำให้เหมียวอี้รู้สึกเจ็บแปลบ ราวกับมีมีดล่องหนกำลังกรีดเนื้อตัวเองอยู่
“เอื้อ…” อั้นโยวหลินครางเสียงต่แสดงความเจ็บปวดทันที ทำสีหน้าขื่นขมทรมาน แต่กลับโดนควบคุมจนไม่มีทางหลุดพ้นได้ ปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการอยู่อย่างนั้น
ที่น่ากลัวก็คือ ผิวภายนอกของอั้นโยวหลินราวกับมีรอยแยก ราวกับกำลังจะโดนบางอย่างฉีกให้ขาด
“หยุดนะ!” เหมียวอี้พลันตะคอก
ปราณสังหารหายไปอย่างไร้ร่องรอย อั้นโยวหลินที่โล่งเหมือนยกหินออกจากอกนั่งคุกเข่าบนพื้น ร่างกายสั่นไปทั้งตัว รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เยียวยาบาดแผล รอยแยกบนผิวหนังสมานตัวอย่างช้าๆ เงยหน้ามองไปทางอวี้ซาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อวี้ซามองเหมียวอี้พลางหรี่ตายิ้ม “พูดแบบนี้ แสดงว่าตอบตกลงแล้วเหรอ?”
“ข้ามีทางเลือกรึไงล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
อวี้ซาเชิดคางไปทางภูเขาน้ำแข็งที่สูงต่ำสลับกันเป็นพืด “งั้นก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้ารอมาหลายปีแล้ว รอไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“เจ้าไม่ถามหน่อยเหรอว่าข้าเป็นใคร?” เหมียวอี้ถาม
อวี้ซายิ้มเบาๆ “สามารถผ่านทางที่ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมเข้ามาได้ นอกจากคนของตำหนักสวรรค์แล้วจะเป็นใครไปได้อีก เจ้าเป็นใครก็ไม่สำคัญสำหรับข้าหรอก สิ่งที่ข้าต้องการก็คือเข้าไปในรังหงส์แล้วได้รับพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้มาต่อต้านการกวาดล้างครั้งต่อไปของตำหนักสวรรค์”
เหมียวอี้ยังอยากอ้างฐานะตำหนักสวรรค์มาขู่สักหน่อย แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไร เลยไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงหยิบเกราะรบออกมาสวมบนตัว
“เกราะรบของเจ้าดูไม่เลวเลยนะ” อวี้ซายิ้มมุมปาก และหยิบเกราะรบผลึกแดงออกมาสวมใช่เช่นกัน เป็นเกราะรบเครื่องแบบของตำหนักสวรรค์
เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองสองครั้ง เห็นได้ชัดว่าตำหนักสวรรค์ไม่ได้มอบให้เขา หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีแม่ทัพใหญ่ของตำหนักสวรรค์ตายด้วยน้ำมือของชายคนนี้
อั้นโยวหลินที่ลุกขึ้นยืนอีกครั้งก็หยิบเกราะรบขึ้นมาสวมเช่นเดียวกัน
เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินยังไม่ทันเตรียมตัวเสร็จ จู่ๆ อวี้ซาก็ใช้สองมือตบบ่าทั้งสองแล้วบอกว่า “ไปทางบกจะปลอดภัยและมั่นใจกว่า เหาะบนท้องฟ้าดึงดูดสายตาคนอื่นเกินไป ถ้าโดนล้อมโจมตีขึ้นมาจะแย่ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่จ้องอยากได้ ในภูเขายังมีสัตว์ประหลาดมากมายซ่อนตัวอยู่ ข้าเคยเห็นเองกับตาว่าหลังจากมียอดฝีมือเข้าไปแล้วก็มีเสียงต่อสู้ดังขึ้น น้องชาย เรื่องเบิกทางให้ข้าจัดการเถอะ เจ้าแค่รับหน้าที่ควบคุมไฟหยินแท้”
ไม่รอให้เหมียวอี้ตอบตกลง ทั้งสามก็ไถลไปยังจุดลึกของทุ่งน้ำแข็งแล้ว เมื่อเจอเนินหรือทางกั้นก็จะกระโดดเบาๆ เป็นแนวครึ่งวงกลมผ่านไป รวดเร็วถึงขีดสุด
ในขณะนี้เอง เหมือนจะมีคนทนไม่ไหวแล้ว ทางซ้ายมีเงาคนสองคน ทางขวามีเงาคนหนึ่งคน พุ่งเข้ามาเร็วมากราวกับดาวตก
ทั้งสามหยุดอย่างกะทันหัน อวี้ซาใช้ฝ่ามือสองข้างกด เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินราวกับเป็นตะปูสองตัว มีเสียงดังปั้ง ใช้หน้าอกไถลพื้นหยุดพร้อมกัน แล้วจมลงในผิวน้ำแข็งด้านล่าง
อวี้ซาที่กวาดสายตามองซ้ายมองขวายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม ผมยาวปลิวไสวอยู่ใต้เกราะหัว เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินรู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งที่ปกป้องพวกเขาเอาไว้
จนกระทั่งสามคนนั้นจู่โจมเข้ามาใกล้ อวี้ซาก็พลันหมุนตัวราวกับลม ราวกบัมีเงามายาพันมือ หมื่นนิ้วดีดพร้อมกัน รอบกายมีแสงกระบี่สีเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนเข้าคายออก สามคนที่พุ่งเข้ามาป้องกันไม่ทัน ชั่วพริบตาเดียวก็โดนกลืนหายไปแล้ว
“อา…อา…อา…” มีเสียงกรีดร้องสามครั้งดังทั่วทั้งทุ่งน้ำแข็ง
อวี้ซาที่กำลังหมุนตัวด้วยความเร็วสูงพลันหยุดกะทันหัน สองฝ่ามือที่ยกแบขึ้นทางซ้ายและขวาจีบเป็นรูปดอกไม้ รอบกายมีแสงกระบี่สีเลือดยาวร้อยจั้งจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งก่อตัวขึ้นจากปราณสังหาร ทำให้เขาดูเหมือนเม่น รอจนกระทั่งตอนที่เขาวางมือสองข้างลงอย่างช้าๆ แสงกระบี่ที่อยู่รอบกายก็จางลงไปทีละนิดราวกับเงามายา ทั้งสามที่ดิ้นพล่านอยู่กลางอกาศทยอยกันตกลงพื้นแล้ว
แต่กลับเห็นอวี้ซาดีดนิ้วสามครั้งติดต่อกัน เงานิ้วสามเงาถูกปล่อยออกมาราวกับเป็นแสงกระบี่อีกครั้ง เหมือนมีอัสนีบาตสีเลือดสามสายแวบกะพริบอยู่กลางอากาศ ตัดศีรษะสามคนนั้นตกลงพื้นแล้ว
ปราณสังหารดุจกระบี่ เมื่อดีดนิ้วออกมา ก็ราวกับอัสนีบาตฟาดเปรี้ยงๆ กำจัดทิ้งในชั่วพริบตาเดียว!
อั้นโยวหลินทำสายตาตระหนกตกใจกลัว เหมียวอี้สูดหายใจอย่างตกตะลึง เขาเห็นกับตาว่าสามคนที่บุกเข้ามาเป็นนักพรตระดับบงกชกลายเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนอวี้ซากำจัดทิ้งเพียงชั่วดีดนิ้วแล้ว เมื่ออยู่ข้างนอกวรยุทธ์อวี้ซาอาจจะไม่นับว่าสูงมาก แต่ถ้าอยู่ข้างนอกก็นับว่ามีศักยภาพน่าหวาดกลัวจริงๆ!
ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอั้นโยวหลินได้ยินชื่อ ‘อวี้ซา’ แล้วมีท่าทางหวาดกลัวขนาดนั้น
ในที่ลับตรงจุดไกลๆ ยังมีอีกคนที่กำลังแอบมอง ถ้าจะพูดให้ถูกคือรอจังหวะลงมือ แต่พอเห็นวิธีการของอวี้ซาที่ลงมือกับจัดได้ในชั่วพริบตาเดียว ทุกคนก็พากันตกใจ แล้วก็หายตัวไปอย่างเงียบๆ เหมือนจะเดาตัวตนของอวี้ซาได้แล้ว ไม่ใช่คนที่พวกเขาจะไปมีเรื่องด้วยไหว
อวี้ซาที่กวาดสายตามองซ้ายมองขวาแสยะยิ้ม การโจมตีนี้เรียกได้ว่าใช้กำลังทั้งหมดที่มี ทั้งเป็นการเปิดเผยฐานะ ทั้งเป็นการเขย่าขวัญพวกที่คิดไม่ซื่อว่าอย่าอยากได้อะไรซี้ซั้ว
โจมตีครั้งเดียวก็ได้ผล ทำให้คนที่แอบมองอยู่ในที่ลับตกใจจนถอยออกไป จากนั้นอวี้ซาก็โบกมือให้สามศพบนพื้นลอยขึ้นมา แล้วโบกมือกวาดเข้ากำไลเก็บสมบัติตัวเอง จากนั้นขยุ้มฝ่ามือสองข้างไปทางผิวน้ำแข็ง เหมียวอี้กับอั้นโยวหลินถูกถึงขึ้นมาจากผิวน้ำแข็งแล้ว ตกอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “มิน่าล่ะเจ้าถึงรอดจากการกวาดล้างของตำหนักสวรรค์ได้ มีศักยภาพจริงๆ”
อวี้ซาบอกว่า “นั่นเป็นเพราะข้าหลบไวต่างหาก ไม่อย่างนั้นต่อให้มีศักยภาพขนาดไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตำหนักสวรรค์อยู่ดี” สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ตัวอั้นโยวหลิน “การไปหุบเขาน้ำแข็งครั้งนี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีสถานการณ์อะไรโผล่มาอีก ข้าทั้งต้องปกป้องเจ้า ทั้งต้องปกป้องนาง กลัวก็แต่จะเกิดเหตุไม่คาดคิด ในเมื่อมีข้าร่วมเดินทางปกป้อง ก็ไม่จำเป็นต้องพานางไปด้วยแล้ว วิญญาณอาฆาตเล็กๆ แบบนี้จะกลายเป็นตัวถ่วง ไม่เอาก็ได้หรอก เกราะรบของนางยกให้เจ้าแล้ว”
อั้นโยวหลินตกใจมาก รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะลงมือสังหารนาง เหมียวอี้ก็ตกใจเช่นกัน จิตใต้สำนึกสั่งให้ตะโกนว่า “หยุดนะ!”
อวี้ซาเหมือนไม่ค่อยเข้าใจ “นางยังมีประโยชน์อะไรอีกล่ะ? ข้ารู้ว่าตอนพวกเจ้าอยู่ข้างนอกมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความรัก’ ระหว่างชายหญิง เจ้าคงไม่ได้ชอบนางหรอกใช่มั้ย? คนหน้าตายอย่างนางทำให้เจ้าหวั่นไหวได้วยเหรอ? อย่าบอกนะว่าสดใสมีชีวิตชีวากว่าผู้หญิงที่อยู่ข้างนอก?”
ที่จริงเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องปกป้องอั้นโยวหลิน เขาเองก็อธิบายไม่ได้เช่นกัน มีเพียงเหตุผลเดียวที่ปกป้องเขาได้ นั่นก็คือเดี๋ยวตอนที่ต้องไปถ้ำมังกรก็ยังต้องใช้งานนางอีก แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ? ตอนนี้เขาเห็นเงาคนอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นในแววตาสิ้นหวังของอั้นโยวหลิน เงาของคนที่เขาทิ้งไปที่อุทยานหลวง คนคนนั้นก็เคยมองเขาด้วยแววตาสิ้นหวังแบบนี้เช่นกัน…
“ให้นางเข้ามาอยู่ในกำไลเก็บสมบัติของข้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องฆ่านางเสมอไป” เหมียวอี้กล่าว
อวี้ซาเลิกคิ้ว เขาไม่อยากเก็บอั้นโยวหลินไว้ ต่อให้สามารถไปที่รังหงส์ได้อย่างราบรื่น เขาก็ยังจะฆ่านางทิ้งอยู่ดี เขาจะปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายดวงอื่นมาแบ่งแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายกับเขาได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ยังต้องการความร่วมมือจากเหมียวอี้ ดังนั้นเขาจึงวางมือลง ปล่อยนางแล้ว
เหมียวอี้พลิกมือถือกำไลเก็บสมบัติหันไปทางอั้นโยวหลิน นาพยักหน้าให้เขาด้วยความซาบซึ้ง นับว่าตอบตกลงแล้ว
เหมียวอี้จึงโบกมือเก็บนางใส่ไวในกำไลเก็บสมบัติ
อั้นโยวหลินเป็นวิญญาณอาฆาต สภาพแวดล้อมในกำไลเก็บสมบัติทำอะไรนางไม่ค่อยได้
หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็หันกลับมาบอกว่า “ไปกันเถอะ!”
อวี้ซาวางฝ่ามือบนบ่าเขา แล้วทั้งสองก็ถลันตัวไปด้วยกัน ไถลอยู่ในภูเขาน้ำแข็งที่สูงต่ำไม่เสมอกันด้วยความเร็ว
หุบเขาน้ำแข็งที่อยู่ในภูเขา ประหลาดอันตรายเกินคาดเดา บางครั้งก็ยื่นออกมา บางครั้งก็กว้างใหญ่ บางครั้งก็สูงชัน โครงสร้างที่เกือบจะเหมือนภาพมายาเผยสีน้ำเงินที่งดงามให้เห็นทุกที่
หลังจากบุกเข้ามากลางหุบเขาน้ำแข็งแล้ว การมีเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ปัดเป่าธาตุไฟหยินที่เข้มข้นก็เรียกได้ว่าทำให้อวี้ซาโล่งอกมาก ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยวรยุทธ์ของเขาอย่างเดียว ต่อให้จะมีศักยภาพมากกว่านี้ แต่เกราะอิทธิฤทธิ์ก็ทนการกัดกร่อนไม่ไหวอยู่ดี ถึงอย่างไรธาตุไฟหยินประหลาดนี้ก็ข่มเขาเหมือนกัน
ระดับความหนาวเหน็บเข้ากระดูกในหุบเขาน้ำแข็งทำให้เหมียวอี้แปลกใจอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝึกวิชาธาตุไฟจึงต้านทานความหนาวได้ เขาก็คงรู้สึกหนาวเหน็บไร้ที่เปรียบเช่นกัน ตอนที่ทั้งสองหยุดพักเพื่อจำแนกทิศทาง เหมียวอี้ก็ยื่นมือไปบิหน่อน้ำแข็งต้นหนึ่ง แต่พยายามออกแรงแล้วก็ยังทำให้หักไม่ได้ ยังต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่น้อยเลยกว่าจะหักได้
เสียงแกร๊กดังก้องอยู่ในหุบเขานานมาก เหมียวอี้มองไปรอบๆ แล้วก็มองดูหน่อน้ำแข็งที่หักไว้ในมืออีก แล้วก็ใช้นิ้วเคาะ เหมือนจะนึกไม่ถึงว่ามันจะแข็งแรงทนทานขนาดนี้
อวี้ซาที่กำลังแยกแยะทิศทางหันมามองแวบหนึ่งแล้วบอกว่า “น้ำแข็งที่นี่ไม่ใช่น้ำแข็งธรรมดา แต่เป็นน้ำแข็งหนา มีมาตั้งแต่เกิดแดนดึกดำบรรพ์แล้ว จะบอกว่าเป็นน้ำแข็งหนาร้อยล้านปีก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป มันย่อมแข็งแรงทนทานเป็นธรรมดา” เสียงพูดของเขาดังก้องอยู่ในหุบเขาน้ำแข็ง
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง เหมียวอี้แอบพยักหน้า แล้วจู่ๆ ร่างกายก็ขยับ โดนอวี้ซาลากไปข้างหน้าต่อแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงอะไรบางอย่างตามที่ปากอวี้ซาบอก ทั้งสองทะลุไปยังจุดที่สภาพพื้นที่ค่อนข้างต่ำตลอดทาง พยายามหลีกเลี่ยงที่สูงเพราะสะดุดตาเกินไป
ทว่าตอนที่เพิ่งผ่านแนวภูเขาแถบหนึ่งได้ไม่นาน จู่ๆ อวี้ซาก็กดบ่าเหมียวอี้ ทั้งสองหยุดนิ่งพร้อมกัน เห็นเพียงอวี้ซากวาดมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าระแวดระวัง
เหมียวอี้จึงถามว่า “เป็นอะไรไป? เพิ่งจะสิ้นเสียง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “คิกคัก” ดังแว่วมา เสียงใสดุจระฆัง เป็นเสียงหัวเราของผู้หญิง ทั้งยังเป็นผู้หญิงกลุ่มหนึ่งด้วย
…………………………