“เอ่อ…” ครั้งนี้เหมียวอี้ตกตะลึงพรึงเพริดแล้วจริงๆ ถ้าหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งนี้มีผลมหัศจรรย์แบบนี้จริงๆ เช่นนั้นก็มีประโยชน์ต่อการฝึกตนที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณของเขา แต่ประเด็นสำคัญคือเผ่าหงส์ที่โดนจับไปเป็นทาสรู้ได้อย่างไร อย่าบอกนะว่าเผ่าหงส์รู้ว่าคนที่ไขปริศนา ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ได้คือคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา? แล้วที่บอกว่าไมตรีระหว่างคนสองรุ่นนั่นหมายความว่าอะไร? เขากับเผ่าหงส์จะเอาไมตรีของคนสองรุ่นมาจากไหน?
เรื่องนี้ได้กระตุ้นเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัยในใจมากนาน เพื่อสิ่งนี้เขาถึงขั้นอยากจะเข้าไปหาคำตอบที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งใหม่อีกครั้ง ชั่วพริบตาเดียวในหัวก็คิดไปร้อยตลบ ถามทันทีว่า “ไมตรีของคนสองรุ่นคืออะไร?”
เฮยทั่นกลอกลุกตาไปมา มองดูหลิงหลันที่นั่งคุกเข่า แล้วก็มองเหมียวอี้ที่กำลังประหลาดใจสงสัย
หลิงหลันอึ้งไปครู่เดียว ก่อนจะตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน นี่เป็นคำพูดเดิมของนายท่าน”
ในใจเหมียวอี้รู้สึกสงสัยอย่างหนัก รู้สึกเก็บกดจนเริ่มทรมาน รู้ว่าทุกครั้งที่กำลังจะได้คำตอบ ก็มักจะไม่มีทางเปิดม่านชั้นสุดท้ายเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองคาดเดาได้เลย ถ้าคำตอบที่ทำให้เขาหวาดระแวงกลัวไม่ได้รับการยืนยัน เขาก็ไม่กล้าทำให้ให้เชื่อเลยจริงๆ
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าจงใจปิดบัง?” เหมียวอี้กดดันถาม
“บ่าวไม่รู้จริงๆ ค่ะ” หลิงหลันส่ายหน้า
เหมียวอี้เงียบแล้ว หลังจากเงียบงันไปนานมาก ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ เรื่องนี้เดี๋ยวข้าค่อยพิจารณาอีกที”
หลิงหลันรู้จักแต่ส่ายหน้า “ถ้าท่านไม่ตอบตกลง บ่าวก็ลุกขึ้นไม่ได้ค่ะ…ท่านได้โปรดตอบตกลง หลิงหลันขอร้องท่าน…” พูดจบก็เอาศีรษะโขกพื้นไม่หยุด เรียกได้ว่าโขกจนเกิดเสียงดัง
ไม่ว่าจะอย่างไรเหมียวอี้ก็นึกไม่ถึงเลยว่าการที่ตัวเองเสี่ยงอันตรายมาจนถึงที่นี่แล้วจะพบกับเรื่องแบบนี้ รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย จึงพูดห้ามว่า “พอแล้ว ไม่ต้องโขกพื้นแล้ว ถ้าจะให้ข้าตอบตกลงก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนเลยนะ ข้ามาที่นี่แล้วแต่จะไม่จากไปทันที ข้าไปที่ถ้ำมังกรให้ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
หลิงหลันทำสีหน้าดีใจ พยักหน้าไม่หยุด “ขอเพียงท่านตอบตกลงก็พอแล้ว ขอเพียงตอนที่นายท่านออกไปแล้วนำของไปส่งให้ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ก็พอแล้ว ไม่บังอาจไปกำหนดเวลานายท่านค่ะ”
“ข้าเป็นแขก เจ้าเป็นเจ้าบ้านครึ่งหนึ่งของที่นี่ ถ้าเจ้าคุกเข่าต่อไป ยังจะให้ข้าพูดอะไรได้อีกล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
หลิงหลันรีบลุกขึ้นมา ใช้ฝ่ามือสองข้างรอง ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ยื่นให้ตรงหน้าเหมียวอี้ เหมียวอี้ได้โปรดรับไว้
เหมียวอี้หยิบหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งจากฝ่ามือนางมาไว้ในมือตัวเอง จากนั้นพลิกดูอีกนิดหน่อย แล้วถามอย่างสงสัยว่า “สิ่งนี้สามารถสั่งวิญญาณหงส์กับวิญญาณน้ำแข็งที่ทุ่งน้ำแข็งโบราณได้เหรอ?”
หลิงหลันตอบว่า “อย่างน้อยถ้าท่านมีสิ่งนี้ไว้ในมือ วิญญาณหงส์กับวิญญาณน้ำแข็งในทุ่งน้ำแข็งโบราณก็ไม่กล้ามาล่วงเกินท่านแล้ว ถ้าโดนล่วงเกิน ท่านก็สามารถกรอกพลังอิทธิฤทธิ์ใส่ในรูที่เพิ่งเจาะเมื่อครู่นี้…”
หลังจากอธิบายไปสักพัก เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว เขาทำตามที่นางบอก ลองกรอกพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไป
ไข่มุกที่เดิมทีก็ส่องประกายสะดุดตาอยู่แล้วพลันเปล่งแสงสีฟ้าออกมา จากนั้นรัศมีก็ส่ายไปส่ายมาและหมุนเป็นเกลียวทันที ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นหงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าตัวหนึ่งที่มีชีวิตชีวา ท่วงท่าสง่างาม ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาจริงๆ คล่องแคล่วและสูงส่ง กางปีกบินวนรอบเขาด้วยท่าทางโอหัง
เฮยทั่นเบิกตากว้างขระที่มองดู หลิงหลันเผยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังแสดงความเคารพ
เหมียวอี้ที่หันซ้ายหันขวามองดูอยู่ครู่หนึ่ง พอหยุดใช้พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง หงส์เฟิ่งหวงสีฟ้าก็กลายเป็นลำแสงที่หมุนเกลียวไหลลงพื้น กลับเข้าไปในรูของหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งที่เจาะไว้ เหลือเพียงไข่มุกที่ส่องประกายสะดุดตาอยู่บนฝ่ามือเหมียวอี้
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เหมียวอี้ก็ใช้นิ้วขยี้ไข่มุกพร้อมถามว่า “ตอนนี้เจ้ามอบของสิง่นี้ให้ข้า ไม่กลัวว่าตอนหลังข้าจะกลับคำพูดเหรอ?”
“ไม่มีทางค่ะ” หลิงหลันส่ายหน้า “นายท่านบอกไว้แล้ว บอกว่าระมัดระวังมากในการเลือกท่านเป็นลูกศิษย์ ถ้าไม่ได้ตามมาตรฐานก็ยอมไม่มีเสียดีกว่า ลูกศิษย์ผ่านการคัดสรรมาแล้วอย่างพิถีพิถัน ถ้าไม่ผ่านการทดสอบหลายชั้น ก็ไม่มีทางที่จะมาถึงรังหงส์ได้ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในหน้าที่สำคัญ เมื่อตอบตกลงแล้วก็จะไม่กลับคำ”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออกแล้ว ทดสอบเหรอ? ทดสอบอะไรกัน? ที่ตนมาอยู่ที่นี่ได้ก็เป็นเพราะหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น เป็นหายนะที่ตนก่อขึ้นเอง แล้วอีกอย่าง ใครมาทดสอบตนล่ะ? ที่บอกว่าทดสอบหลายชั้นนั้นเอามาจากไหน?
เขารู้สึกว่ารังหงส์อาจจะเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงเวลาเขาสงสัยก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง ตอนที่คิดว่ากำลังจะจับได้ แต่ความจริงแล้วเหมือนจะเข้าใจผิด มักจะทำให้เขาครุ่นคิดไม่หยุด เรื่องบางเรื่องเหมือนจะใกล้ก็ไม่ใช่ เหมือนจะไกลก็ไม่เชิง ไม่ยอมให้เปิดม่านชั้นที่ลึกลับนั่นเลย
หลังจากอ้าปากค้างไปสักประเดี๋ยว เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “นายท่านของเจ้ายังบอกไรเจ้าอีกมั้ย เจ้าบอกมาตรงๆ พร้อมกันเลยเถอะ”
หลิงหลันส่ายหน้า “ไม่มีแล้วค่ะ บอกแค่เท่านี้”
เหมียวอี้พูดไม่ออก ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ในเมื่อเจ้าเชื่อใจข้าขนาดนี้ ตอนนี้บอกได้แล้วละมั้งว่าจะให้ข้าส่งของอะไรไปที่ ‘บ่อเพลิงมังกร’ ?”
หลิงหลันส่ายหน้าอย่างอ่อนโยนใจเย็นอีก “บ่าวไม่ทราบจริงๆ ค่ะ นายท่านแค่ชี้แนะว่าให้ผู้ที่ได้ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ใช้ประโยชน์จาก ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ เพื่อเข้าไปในแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย เดี๋ยวก็จะพบของที่ต้องส่งเองค่ะ ส่วนรายละเอียดว่าส่งของอะไร ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”
เหมียวอี้กลอกตามองบน “เจ้าบอกว่านายท่านของพวกเจ้าพูดเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมบอกว่าใช้ประโยชน์จากหัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็งเพื่อเข้าแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายอีก? เจ้าปิดบังเรื่องราวไว้มากแค่ไหนกันแน่ มีอะไรก็รีบพูดมาให้หมด อย่ามาเปิดเผยทีละเรื่องแบบนี้”
หลิงหลันกล่าวอย่างละอายใจเล็กน้อยว่า “นายท่านสั่งไว้แล้ว ว่าเรื่องนี้มีแต่ต้องค่อยๆ ก้าวไปตามลำดับเท่านั้น เมื่อเจอคนที่ได้ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ถึงจะบอกเรื่องเหล่านี้กับเขาได้ มีเท่านี้จริงๆ ค่ะ เรื่องอื่นบ่าวไม่รู้จริงๆ”
“เจ้ารู้จักบ่อเพลิงมังกรหรือเปล่า? บ่อเพลิงมังกรมันคืออะไรกันแน่?”
“บ่าวไม่รู้ บ่าวก็ไม่เคยไปถ้ำมังกรเหมือนกัน แค่บอกต่อในสิ่งที่นายท่านเคยพูดเอาไว้ค่ะ”
“…” เหมียวอี้จ้องนางอย่างเหม่อลอยนานมาก ถึงได้ถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะให้ข้าเอาของอะไรไปส่งที่บ่อเพลิงมังกร แต่เจ้าก็ให้ข้าเอาไปส่งให้เหรอ? ข้าก็ต้องรู้สึกหน่อยสิว่าจะให้ข้าเอาของอะไรไปส่ง? ไม่อย่างนั้นเจ้าอยาจกะให้ข้านำของไปทำยังไงต่อ? ให้โยนทิ้งหรือว่าทุบทิ้งล่ะ?”
หลิงหลันโดนเขากดดันจนเริ่มร้อนรนนิดหน่อย มองออกเลยว่าคบค้ากับคนอื่นน้อยมาก นางโบกมือซ้ำๆ พร้อมบอกว่า “บ่าวไม่ได้หลอกท่าน บ่าวไม่รู้จริงๆ นายท่านบอกเอาไว้เพียงเท่านี้ แล้วไม่ได้บอกด้วยว่าถ้านำของไปที่บ่อเพลิงมังกรแล้วต้องทำอะไรต่อ แต่การที่นายท่านไม่บอกก็ย่อมมีสาเหตุ ที่เตรียมการไว้อย่างนี้เพราะมีสาเหตุแน่นอน คาดว่าหลังจากนายท่านไปแล้วก็ย่อมเข้าใจเอง”
“เหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ แล้ว” เหมียวอี้หัวเราะแห้ง “เหอะๆ” ให้นาง แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าอาจจะเป็นอย่างที่นางบอกจริงๆ นายท่านของรังหงส์เตรียมการไว้แบบนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับหน้าที่สำคัญก็ได้ ก่อนที่เรื่องนี้จะสำเร็จก็ไม่สะดวกจะเปิดเผยล่วงหน้า เขาจึงโบกมือบอกว่า “ข้าก็อยากจะเห็นว่าต้องช่วยเจ้าส่งของอะไรกันแน่ ไป พาข้าไปแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย”
“เชิญท่านตามบ่าวมาได้เลยค่ะ” หลิงหลันรีบนำทางอยู่ข้างหน้า แต่เดินไปได้ไม่มีกี่ก้าวก็เห็นเฮยทั่นตามหลังเหมือนกัน จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าแล้วถามอย่างลังเลว่า “ท่าน ให้สัตว์พาหนะของท่านรอข้างนอกก่อนได้หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร” เหมียวอี้หันกลับมาเตือนเฮยทั่น “สิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยินวันนี้ พอออกไปแล้วอย่าเที่ยวพูดซี้ซั้วนะ”
เฮยทั่นรับประกันทันที “ไม่ต้องห่วง ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่พูดสุ่มสี่สุ่มห้า”
พอมันอ้าปากพูด หลิงหลันก็กลัวนิดหน่อย เหมือนจะนึกไม่ถึงว่าเฮยทั่นฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง “ท่านคะ นายท่านเคยสั่งไว้ ว่าห้ามเปิดเผยเรื่องนี้กับคนอื่นเด็ดขาด”
เฮยทั่นทำเสียงฟึดฟัดสองที เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์
“เจ้าไม่ต้องห่วง มันไม่เปิดเผยต่อภายนอกหรอก ไปกันเถอะ!” เหมียวอี้กล่าว
หลิงหลันจนใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะฝืนใจเหมียวอี้ จึงทำได้เพียงนำทางต่อไป เพียงแต่ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปชำเลืองมองเฮยทั่นเรื่อยๆ นางทรยศคำสั่งนายท่านตัวเองแล้ว ทำท่าทางสงสัยมาก
สองฝั่งของตำหนักหลัก มีบันไดน้ำแข็งที่เป็นวงแหวนขึ้นไปครึ่งหนึ่ง ตรงกลางด้านบนมีประตูใหญ่บ้านหนึ่ง หลังจากเข้าไปแล้วก็จะเจอบันไดน้ำแข็งยาวคดเคี้ยวขึ้นไป แต่พวกเขากลับไม่ได้เดินขึ้นไปข้างบน หลิงหลันโบกแขนเสื้อกวาดหนึ่งครั้ง ชั้นน้ำแข็งบนพื้นที่ว่างสองฝั่งของบันไดน้ำแข็งละลายออกเป็นสองทาง แล้วก็ปรากฏบันไดน้ำแข็งที่ทอดลงไปด้านล่างอีก ถ้าไม่ใช่เพราะมีหลิงหลันนำทาง ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปเขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าข้างล่างยังมีทางอีก
ขณะเดินเดินตามบันไดน้ำแข็งลงไป บนกำแพงน้ำแข็งก็มีอัคคีน้ำแข็งปรากฏเป็นระยะ ส่องว่างให้เส้นทางที่เดินลง
หลังจากเดินลงไปประมาณหนึ่งพันจั้ง ก็มาถึงก้นบึ้งของทุ่งน้ำแข็งโบราณแล้ว พวกเขาเดินมาถึงแท่นหลังหนึ่ง ทางข้างหน้าถูกกำแพงน้ำแข็งผนึกปิดตายไว้ หลิงหลันโบกแขนเสื้อเปิดใช้งานอีกครั้ง
กำแพงน้ำแข็งที่กะพริบแสงถอยร่นไปรอบๆ เล็กน้อย แล้วก็เผยบันไดขึ้นด้านบนอีก เป็นบันไดที่ไม่สูง พอเดินขึ้นไปได้ประมาณหนึ่งจั้ง ตัวก็อยู่ในวังใต้ดินที่ใหญ่โตมโหฬารแห่งหนึ่งแล้ว
ยังไม่ต้องพูดถึงภาพสลักหงส์เฟิ่งหงส์อันงดงามประณีตบนผนังรอบๆ ตรงกลางตำหนักจัดวางเตียงน้ำแข็งภาพหงส์เฟิ่งหวงหลังใหญ่ที่งดงามไว้สี่ตัวเป็นรูปวงกลม บนเตียงมีปราณชั่วร้ายสี่สีพ่นขึ้นมาพร้อมเสียงดังวูบๆ กระพือขึ้นมาราวกับพายุหมุน พุ่งชนบนเพดานโค้งร้อยจั้ง ทะลุเข้าไปในรูที่หนาแน่นบนเพดานหลังคา
พอเดินมาดูหน้าเตียงน้ำแข็ง ถึงได้พบว่าในเตียงน้ำแข็งแต่ละหลังมีถ้ำอยู่หนึ่งห้อง ปราณชั่วร้ายโผล่ออกมาจากตรงนี้พอดี
เฮยทั่นเห็นแล้วตาลุกวาว แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก
เหมียวอี้เดินอ้อมตรวจดู นอกจากปราณชั่วร้ายเข้มข้นที่พ่นออกมา ก็ไม่พบอะไรที่พิเศษแล้ว เขาชี้ไปยังจุดที่ปราณชั่วร้ายพ่น พร้อมถามว่า “นี่คือแหล่งกำเนิดปราณชั่วร้ายเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” หลิงหลันพยักหน้า
เหมียวอี้ถามต่อว่า “ต้องมุดในนี้ลงไปเอาของเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” หลิงหลันยังคงพยักหน้า
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ให้ข้าเอาของสองอย่าง แต่ที่นี่กลับมีสี่ถ้ำ แปลว่าของอยู่แค่สองถ้ำจากทั้งหมดเหรอ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตรงไหนซ่อนของไว้?”
“บ่าวไม่รู้ค่ะ ท่านต้องลงไปค้นหา” หลิงหลันส่ายหน้า
“ให้ข้าลงไปหาทีละถ้ำเหรอ? เจ้าแน่ใจนะว่านายท่านไม่ได้บอกอะไรเจ้าไว้อีก?” เหมียวอี้เหล่ตามถาม
เห็นได้ชัดว่าหลิงหลันค่อนข้างลำบากใจ กล่าวเสียงอ่อนว่า “นายท่านบอกว่า ถ้าเจอความว่างเปล่าก็แสดงว่าไปถึงปลายสุดแล้ว จะไปข้างหน้าต่ออีกไม่ได้ ถ้าข้ามช่องสุญญะนั่นไปก็จะอาจจะไปโผล่ที่อีกแห่งของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ แบบนั้นจะต้องถ่อมาอีกรอบค่ะ…” ยังไม่ทันพูดจบ นางก็พบว่าเหมียวอี้มองนางด้วยสายตาแปลกๆ จึงรีบโบกมือพูดเสริมว่า “นี่เป็นคำสั่งครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ นายท่านบอกไว้แล้วว่าให้บอกทีละลำดับ ถ้าหากผู้ที่มาไม่ยอมช่วย ก็ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องในตอนหลังค่ะ อย่างอื่นบ่าวไม่รู้แล้วจริงๆ”
เหมียวอี้มองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ เหมือนกำลังบอกว่า คำพูดของเจ้ายังเชื่อถือได้อีกมั้ย?
หลิงหลันก้มหน้า พลางกล่าวเสียงอ่อนว่า “ไม่มีคำสั่งอื่นแล้วจริงๆ…” น้ำเสียงยิ่งเบาลงเรื่อย
“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าเล่นตุกติกอะไรดีกว่า!” เหมียวอี้เตือน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หยิบ ‘หัวใจแห่งอัคคีน้ำแข็ง’ ออกมา แล้วกระโดดขึ้นไปบนเตียงน้ำแข็งหลังใหญ่ สาตาเหลือบไปมองเฮยทั่น แล้วก็มองหลิงหลันอีก กังวลนิดหน่อยว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาเฮยทั่นจะเสียเปรียบ จึงเรียกเฮยทั่นเข้ากระเป๋าสัตว์ ใช้เพลิงจิตปกป้องร่างกาย แล้วก้าวเข้าไปในปราณเหี้ยมโหดที่พ่นขึ้นมาราวกับพายุหมุน
…………………………