พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 941

 ข้าเกลียดเจ้า

เขาดีใจได้เพียงประเดี๋ยวเดียว แล้วก็ออกจากห้องไปหาอวี้ซวีเจินเหริน ไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘วิญญาณโลหิต’ ที่จริงพิษนี้มีลับลมคมในมากเกินไป เขาเองก็กังวลว่าจะมีอาการอะไรหลงเหลืออยู่อีก อยากจะทำให้ชัดเจนไปเลย

อวี้ซวีเจินเหรินรู้จักพิษนี้เสียที่ไหนกัน แม้แต่ชื่อก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน เพียงแต่ตกตะลึงมากเมื่อได้ยินว่าปีศาจโลหิตโดนทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์แล้วยังมีชีวิตอยู่ได้สบายๆ ขนาดปราสาทดำเนินนภาปราบมาหลายปี แต่ก็ยังทำอะไรปีศาจโลหิตไม่ได้ สำนักลมปราณก็ช่วยอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เช่นกัน

“ทางที่ดีฆราวาสพยายามอย่าไปไหนซี้ซั้วอีก ถ้าจะไปจริงๆ ก็จ้างคนของร้านคุ้มภัยให้คุ้มกันส่ง” อวี้ซวีเจินเหรินเตือนด้วยความหวังดี

“คงจะให้คนของร้านคุ้มภัยปกป้องไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง?” เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน ถ้าต้องทำเรื่องบางอย่างที่น่าอับอาย จะสะดวกให้คนนอกมาเห็นได้อย่างไรล่ะ มิหนำซ้ำการหลบซ่อนอยู่ตลอดก็ไม่ใช่เรื่องดี จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นเสียที ถ้าปีศาจโลหิตกระจอกๆ จะขวางทางเขาไปทั้งชีวิต แบบนั้นก็ไม่ต้องทำงานทำการอะไรแล้ว

หลังจากปรึกษาหารือกับอวี้ซวีเจินเหริน เหมียวอี้ก็กลับมาหยิบระฆังดาราที่ห้องนอนตัวเอง แล้วติดต่อจงหลีค่วยเพื่อบอกเรื่องที่ตัวเองโดนวางยาพิษ ให้จงหลีค่วยปลอมตัวมาที่นี่ มาปรึกษาหารือเพื่อแก้ปัญหาเรื่องปีศาจโลหิต

ปีศาจโลหิตโดนทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะยังอยู่อย่างสุขสบายดี จงหลีค่วยได้ยินแล้วตกใจมากเช่นกัน บอกว่าจะรีบมาที่นี่ให้เร็วที่สุด เรื่องบางเรื่องติดต่อกันผ่านฟ้ากั้นไม่ค่อยสะดวก

ส่วนเหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าพิษในร่างกายตัวเองถูกชำระล้างไปหมดแล้วหรือยัง มีแค่เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ ถึงอย่างไรปีศาจโลหิตก็บอกไว้แล้วว่าพิษจะกำเริบวันละสามครั้ง เขาจึงนั่งสมาธิฝึกตนบนเตียงโดยกำยาเม็ดโลหิตไว้ในมือ

หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหมียวอี้ก็ลืมตาสองข้างแล้วยิ้มบางๆ ไม่เกิดเหตุการณ์พิษกำเริบสามครั้งต่อวัน สงสัยพิษประหลาด ‘วิญญาณโลหิต’ นี้ เมื่อเจอกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราของเขาก็ยังสู้ไม่ไหวอยู่ดี เขาถึงได้สงบใจและฝึกตนต่อไป

ณ ลานบ้านด้านหลังของร้านค้าสมาคมวีรชน รอไปแล้วหนึ่งวันแต่ยังไม่เห็นเหมียวอี้มายอมจำนน หวงฝู่จวินโหรวเดินไปเดินมาในตึกศาลา จากนั้นก็มานั่งตรงข้ามกับปีศาจโลหิตที่กำลังเย็บผ้าอยู่ในศาลากลางน้ำ แล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจนะว่าพิษนี้ได้ผลกับเขาจริงๆ”

“เถ้าแก่น้อยไม่ต้องห่วงค่ะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพลาด แต่ไอ้จัญไรนั่นนับว่ากระดูกแข็ง ทนได้หนึ่งวันไม่ยอมมาขอร้อง ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทนได้นานสักแค่ไหน” ปีศาจโลหิตที่กำลังตั้งใจเย็บผ้าพูดกลั้วหัวเราะ ยังไม่หยุดทำงานที่อยู่ในมือ เย็บผ้าไหมแดงไว้ให้ตัวเองใช้โดยเฉพาะ

หวงฝู่จวินโหรวหมุนตัวนั่งพิงรั้ว ทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าแปลกๆ ใบบัวเขียวชอุ่มที่อยู่รอบๆ สั่นไหว สามารถมีทะเลสาบเล็กๆ ในที่ดินราคาแพงของตลาดสวรรค์ได้ นับเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยมาก

ตอนเย็นวันต่อมา เป่าเหลียนรออยู่ตรงประตูลานบ้านของร้านขายของชำ นางรับชายชราคนหนึ่งและพาเข้ามาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจงหลีค่วยที่ปลอมตัวเรียบร้อยแล้ว นางพาเขาไปที่ห้องนอนของเหมียวอี้โดยตรง

เหมียวอี้บอกให้เป่าเหลียนออกไปก่อน แล้วกุมหมัดทักทาย “ลุงหนวด ช่วงนี้สบายดีมั้ย?”

จงหลีค่วยขี้คร้านจะมากพิธีรีตอง ถามตรงๆ เลยว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่? เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นปีศาจโลหิต?”

เหมียวอี้ตะลึงไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าช้าๆ “พอได้ยินท่านพูดแบบนี้ ข้าก็สงสัยอยู่บ้างนิดหน่อย เพราะข้าไม่ได้กลิ่นอายปีศาจโลหิตบนตัวนางเลย แถมนางมีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชทองขั้นเจ็ดด้วย… ท่านรอก่อนนะ ข้าจะไปสืบข่าวที่ร้านค้าสมาคมวีรชนสักหน่อย”

“ระวังตัวหน่อยนะ” จงหลีค่วยเตือน

“ท่านไม่ต้องห่วง ปีศาจโลหิตไม่ถึงขนาดกล้าลงมือกับข้าที่ร้านค้าสมาคมวีรชนหรอก” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่กังวล แล้วเดินออกไปทันที

ทางฝั่งร้านค้าสมาคมวีรชน พอได้รับรายงานว่าเหมียวอี้มา ปีศาจโลหิตที่ยังนั่งเย็บผ้าอยู่ในศาลากลางสระน้ำก็เอามือป้องปากหัวเราะ “เถ้าแก่น้อย เป็นยังไงล่ะ? สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว ต้องมาขอร้องแล้ว”

หวงฝู่จวินโหรวไม่ตกใจและไม่ดีใจ พยักหน้าบอกหญิงรับใช้ว่า “ไปพาเขาเข้ามา”

หญิงรับใช้เดินออกไป รอสักประเดี๋ยวก็นำเหมียวอี้เดินเข้ามา เหมียวอี้เองก็เพิ่งเคยมาที่ตึกศาลากลางสระน้ำนี้เป็นครั้งแรก พอเห็นหวงฝู่จวินโหรว รอยยิ้มก็ดูเย็นชาขึ้นหลายส่วน หวงฝู่จวินโหรวย่อมรู้สึกได้อยู่แล้ว

ตอนนี้สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวปีศาจโลหิตที่กำลังเย็บผ้า เขาเอามือไขว้หลังพลางเดินเข้ามาช้าๆ “ผู้หญิงก็เป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ เรื่องต่อสู้เข่นฆ่าไม่เหมาะกับเจ้าหรอก นั่งเย็บผ้าอยู่ในบ้านอย่างซื่อสัตย์เถอะ คอยช่วยเหลือสามีและสั่งสอนบุตรอยู่บ้านดีจะตาย ทำไมต้องไปวางแผนทำร้ายคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ”

เขาตั้งใจพูดสิ่งนี้กับปีศาจโลหิต แต่หวงฝู่จวินโหรวกลับรู้สึกว่ามีความหมายแฝงอยู่ในนั้น ใช่ว่าจะไม่ได้พูดให้นางฟังด้วย

ปีศาจโลหิตไม่แม้แต่จะหันหน้ามา เพียงกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ทำไมล่ะ? ทนไม่ไหวแล้วล่ะสิ มาขอร้องเหรอ? ในเมื่อมาขอร้องก็อย่าปากแข็ง!”

“ขอร้องเหรอ? ช่างน่าขำ!” เหมียวอี้พูดหยามเหยียด เดินมาตรงหน้าผ้าไหมแดงที่ถักทอขึ้นมาด้วยมือ แล้วพูดหยอกล้อว่า “ข้ามาเพื่อขอบคุณเจ้า ก่อนหน้านี้วรยุทธ์ติดอยู่ระดับบงกชม่วงขั้นเก้ามาตลอด ใครจะคิดว่าหลังจากโดนพิษของเจ้าแล้ว จะกลายเป็นตัวช่วยให้ข้าบรรลุวรยุทธ์ ถ้าไม่มาแสดงความขอบคุณสักหน่อย มันก็จะฟังดูไม่เข้าท่า”

หวงฝู่จวินโหรวหันมามองอย่างงุนงง มือของปีศาจโลหิตชะงักนิ่ง เงยหน้าช้าๆ มองไปทางเหมียวอี้

เหมียวอี้ก็ให้ความร่วมมือมาก ยกมือขึ้นตรงหว่างคิ้วแล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เช็ดโคลนซ่อนจิต ภาพมายาดอกบัวสีทองอร่ามบานหนึ่งกลีบปรากฏตรงแท่นจิต ไม่ใช่ของปลอมแล้ว เขากุมหมัดคารวะ “ขอบคุณที่ช่วยเหลือ!”

ปีศาจโลหิตทำสีหน้าไม่ถูก เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยอะไรมากเลย การบรรลุระดับใหญ่ๆ จำเป็นต้องใช้จังหวะเหมาะ ภายใต้การเคี่ยวกรำของพิษวิญญาณโลหิต การบรรลุระดับใหญ่ๆ ก็มีความเป็นไปได้จริงๆ เพียงแต่การช่วยเหลือศัตรูคู่แค้นมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น

“ในเมื่อช่วยเหลือเจ้าไปมากมายขนาดนี้ เจ้าก็ควรจะคืนของของข้าได้แล้วรึเปล่า?” ปีศาจโลหิตแสยะยิ้มถาม

เหมียวอี้ส่ายหน้า “ปีศาจโลหิตถูกทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ไปแล้ว มิหนำซ้ำข้ายังไม่รู้สึกถึงปราณปีศาจโลหิตจากตัวเจ้าด้วย ทำไมข้าต้องเชื่อว่าเจ้าคือปีศาจโลหิต? ถ้าเจ้าไม่ใช่ปีศาจโลหิต แล้วทำไมข้าจะต้องคืนของให้เจ้าด้วยล่ะ!”

เหมียวอี้เพิ่งจะพูดจบ ปีศาจโลหิตก็ขยับย้ายร่างกาย เหาะวนด้วยความเร็วสูงอยู่ในศาลา จู่ๆ ก็มีผ้ามุ้งสีแดงลอยออกมาหลายผืน มาครอบคลุมปีศาจโลหิตเอาไว้ ชั่วพริบตาเดียวก็กลับสู่โฉมหน้าเดิมของปีศาจโลหิต ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นลอยวนขึ้นมา ดาบนกเป็ดน้ำสีเลือดคู่หนึ่งยิงออกมาหมุนวนรอบกายเหมียวอี้หลายรอบ แล้วจู่ๆ ก็หดเก็บเข้าไป

ปีศาจโลหิตหมุนตัวอีกครั้ง ผ้ามุ้งสีแดงหลายผืนหายไปแล้ว กลับสู่โฉมหน้าหญิงสาวธรรมดาเหมือนเมื่อครู่นี้ จากนั้นยื่นมือเข้ามา “ตอนนี้เชื่อแล้วสินะ! คืนของมาให้ข้า!”

เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกอย่างขำขัน แล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ไม่ให้! ข้าล้อเจ้าเล่น เจ้าดูไม่ออกรึไง?”

“เจ้า…” ปีศาจโลหิตเดือดดาลมาก ยิงผ้าไหมแดงออกจากกระบอกแขนเสื้อหมายจะลงมือ

“ปีศาจโลหิต!” หวงฝู่จวินโหรวตะคอก ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ลงมือ

ปีศาจโลหิตข่มไฟโกรธเอาไว้ สะบัดเสื้อเก็บผ้าไหมแดง ถ้าลงมือที่นี่ นางก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว ตลาดสวรรค์คงไม่ให้อภัยที่นางทำลายกฎของตำหนักสวรรค์แน่

เหมียวอี้ไม่สนใจนางอีก หันตัวมาหาหวงฝู่จวินโหรวแทน “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว”

หวงฝู่จวินโหรวเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหันตัวเดินออกไป เหมียวอี้หันกลับมายิ้มเย้ยปีศาจโลหิตที่กำลังทำสีหน้าโกรธแค้น แล้วเดินตามหวงฝู่ออกไป

“ถ้าเก่งนักก็อย่ามาขอร้องข้าก็แล้วกัน!” ปีศาจโลหิตตวาดเสียงเข้ม

“อาศัยแค่ฝีมืออันต่ำต้อยของเจ้า ก็คิดจะมาบีบจุดอ่อนข้าแล้วเหรอ? ไม่เจียมตัว! ข้าถอนพิษได้ตั้งนานแล้ว จำเป็นต้องมาขอร้องเจ้าด้วยเหรอ?” เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะโดยไม่หันหน้ากลับมา

เขาอยากจะเห็นว่าปีศาจโลหิตยังสามารถวางยาพิษเขาได้อีกรึเปล่า อยากจะทำความเข้าใจให้ละเอียดว่าตัวเองโดนพิษอะไรกันแน่

“ปากแข็งยิ่งกว่าเป็ด!” ปีศาจโลหิตพูดเหน็บแนม เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อเขา

เหมียวอี้ขี้คร้านจะอธิบายกับนาง

พอถึงลานบ้านที่อยู่บนฝั่ง หวงฝู่จวินโหรวก็หันตัวมาถาม “มีธุระอะไร?”

“คุยกันข้างใน!” เหมียวเดินตรงไปยังห้องนอนที่อยู่บนตึก หวงฝู่จวินโหรวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าเขาอยากจะคุยอะไร ยังคงเดินตามเข้าไป

หลังจากขึ้นมาบนตึก นางก็ถามอีก “มีเรื่องอะไร พูดมาสิ”

ใครจะไปคาดคิด พอหันตัวมาเหมียวอี้ก็อุ้มหวงฝู่ทันที แล้วประกบจูบริมฝีปากแดงสวย ไม่สนใจนางที่ร้องอู้อี้ขัดขืน แต่ไม่นานก็ถูกนางใช้มือคล้องคอเอาไว้ และจูบตอบสนองคืนอย่างเร่าร้อน ทั้งสองจูบกันอย่างดูดดื่ม เสื้อผ้าปลิวว่อนตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงขอบเตียง ร่างสองร่างก็ล้มลงไปด้วยกัน

แขนขาทั้งสี่เรียวยาวขาวละมุน หน้าอกทิ่มเอิบกลมกลึง เอวอ่อนเรียวเล็ก สะโพกกลมใหญ่ขาวเนียน น่าตื่นตาตื่นใจจนทำให้เคลิบเคลิ้ม แต่กลับได้รับความทรมานเต็มที่ ตอนนี้เหมียวอี้ลงมืออย่างหนักหน่วง ไม่ทะนุถนอมเลยสักนิด ย่ำยีอย่างเต็มกำลัง ใช้มือบีบเค้นจนหวงฝู่รู้สึกเจ็บมาก รอยเล็บและรอยฟันบนยอดเขาสีหยกปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน หวงฝู่เองก็กัดเขาอย่างแรงเช่นกัน กัดจนเขาเลือดไหลออกมา

หลังจากพายุฝนจบลง หวงฝู่ก็ดูดเลือดสดบนไหล่เขาแล้วกลืนลงไปโดยตรง นางกำลังดูดเลือดของเขา แต่ตัวเองกลับน้ำตาไหลออกมา

“กาเข้าฝูงกา หงส์เข้าฝูงหงส์จริงๆ ด้วย อยู่กับปีศาจโลหิตนานแล้ว เรียนรู้วิธีการดูดเลือดแล้วสินะ!” เหมียวอี้ที่ผลักนางล้มไปข้างๆ ดูเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วลุกขึ้นเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา

หวงฝู่จวินโหรวกัดริมฝีปากแดงที่เปื้อนเลือด ยื่นมือไปหยิบหมอนใบหนึ่งมาทุ่มใส่ เหมียวอี้ใช้มือปัดกลับไป แล้วหันกลับมาเตือนว่า “อย่าเรียกปีศาจโลหิตมาที่นี่ ถ้าให้คนอื่นเห็นเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีอะไร”

หวงฝู่จวินโหรวคว้าหมอนที่ถูกตีกลับมา กระโดดลงจากเตียง แล้วเดินตัวเปล่าเอาหมอนไปทุ่มตีเหมียวอี้ไม่หยุด

เหมียวอี้ยื่นมือมาข้างหลังแล้วคว้าแขนนางไว้ พลางกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “ที่เขาว่ากันว่า เป็นผัวเมียกันวันเดียวเท่ากับติดนี้บุญคุณกันไปร้อยวัน เจ้าอยากจะฆ่าข้าก่อนถึงจะมีความสุขใช่มั้ย? ข้าบอกแล้วว่าจะชดใช้เจ้าด้วยหุ้นสองส่วนนั่น ทำไมยังสมคบกับปีศาจโลหิตมาทำร้ายข้าอีก?

“ของที่ข้าต้องการ ข้าหาเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามามอบให้!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวพร้อมคราบน้ำตาบนใบหน้า

สายตาของเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนหน้าอกอิ่มเอิบขาวดุจหิมะของนาง “ถ้างั้นความสัมพันธ์ของเรานับเป็นแบบไหน?”

“ไม่นับว่าเป็นอะไรทั้งนั้น!” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวอย่างเคียดแค้น ร่ายอิทธิฤทธิ์ผลักเขาออกไป แล้วรีบหยิบเสื้อผ้าตัวองขึ้นมาใส่

เหมียวอี้มองดูนางที่กำลังโป๊เปลือย พลางกล่าวอย่างรู้สึกขำมาก “อีกด้านหนึ่งก็นอนกับข้า อีกด้านหนึ่งกลับอยากสังหารข้า เจ้าจะให้ข้าทำยังไง? เจ้าอยากจะให้ข้าบอกว่า ตั้งแต่นี้ไปความแค้นของเราสองคนจบลงงั้นเหรอ?”

หวงฝู่จวินโหรวที่สวมเสื้อผ้าได้ครึ่งเดียวพลันหยิบหมอนขึ้นมา แล้ววิ่งไปฟาดใส่เหมียวอี้พักหนึ่ง “ก็ไม่ได้ให้เจ้ามารับผิดชอบนี่ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ารับผิดชอบ!”

เพียะ! เหมียวอี้ข่มไฟโกรธไม่ไหว จู่ๆ ก็สะบัดฝ่ามือเข้ามา ตบที่ใบหน้านางฉาดหนึ่ง เสียงดังฟังชัดมาก

หมอนในมือของหวงฝู่จวินโหรวตกพื้น นางเอามือกุมใบหน้า มองเหมียวอี้ด้วยแววตาสับสน พลางกัดฟันตะคอกว่า “ข้าเกลียดเจ้า!”

“ดี! ตามใจเจ้าแล้วกัน งั้นต่อไปพวกเราไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก พรุ่งนี้ข้าจะไปแล้ว จะไม่กลับมาอีกแล้ว!” เหมียวอี้พูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว…

เมื่อกลับมาถึงห้องตัวเองที่ร้านขายของชำ พอเห็นจงหลีค่วย เหมียวอี้ก็บอกว่า “เป็นปีศาจโลหิตจริงๆ”

“ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ทำลายต้นกำเนิดพลังอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่อาจทำลายวรยุทธ์ของปีศาจโลหิตได้ ทำให้นางเสียวรยุทธ์ไปแค่สองขั้นเท่านั้น… แต่นั่นก็นับว่าเสียหายอย่างหนักแล้ว” จงหลีค่วยกล่าวอย่างลังเล

“ตอนนี้วรยุทธ์ของปีศาจโลหิตสูสีกับท่าน ท่านพอจะสู้ไหวรึเปล่า?” เหมียวอี้ถาม

“เมื่อไม่มีน้ำเต้าโลหิตช่วย และมีวรยุทธ์เท่ากัน นางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก” จงหลีค่วยตอบ

เหมียวอี้พยักหน้า “ดี! ข้าบอกไว้ชัดเจนแล้วว่าพรุ่งนี้จะจากที่นี่ไป บอกว่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ปีศาจโลหิตคงไม่ปล่อยให้ข้าหายตัวไปจนหาไม่พบแน่นอน จะต้องไล่สังหารข้าแน่ ถึงตอนนั้นคอยดูว่าท่านจะกำจัดนางได้หรือเปล่า!

“ถ้าไม่มีพลังที่สมบูรณ์พอที่จะสังหารนาง เรื่องคิดจะกำจัดนางทิ้งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เคล็ดวิชามารโลหิตมีจุดเด่นเฉพาะตัว ตอนสังหารมารโลหิตที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งในปีนั้น สำนักเราส่งผู้อาวุโสที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพออกไป ถึงได้กำจัดเขาได้” จงหลีค่วยส่ายหน้าตอบ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset