ประการแรก ตราบใดที่ยอดฝีมือวิญญาณชั่วร้ายยังคิดจะบุกเข้าไปที่แหล่งกำเนิดปราณชั่วร้าย เขาก็ยังมีหนทางที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง เป็นเพราะเขามีไพ่ใบสุดท้าย เขาสามารถเข้ารังหงส์ได้
บนพื้นฐานแบบนี้ เขาอยากจะเดิมพันดูสักครั้ง…
ดังนั้นเหมียวอี้จึงไม่อธิบายอะไรกับอั้นโยวหลินมากนัก เชิดคางไปข้างหน้าด้วยท่าทีที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธอีกครั้ง “ไปเถอะ!”
อั้นโยวหลินพูดไม่ออก ทำได้เพียงปล่อยอินทรีสามหัวออกมา
ทั้งสองเหยียบบนตัวอินทรีสามหัวแล้วบินแฉลบขึ้นฟ้าไป ยิ่งบินยิ่งสูง บินไปยังท้องฟ้าสูงอันไกลโพ้นอีกครั้ง มุ่งไปข้างหน้าโดยใช้วิธีเดียวกับตอนที่ออกจากค่ายป่าครึ้มไปทุ่งน้ำแข็งโบราณ
บนท้องฟ้า เหมียวอี้หยิบแผนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ที่หลิงหลันมอบให้ออกมา กำหนดพิกัดทุ่งน้ำแข็งโบราณและหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ แล้วตัดสินตำแหน่งที่ตัวเองอยู่จากระยะทางแนวตรงที่อยู่ระหว่างนั้น ก่อนจะเริ่มตรวจดูภูมิประเทศด้านหน้า เพื่อเตรียมตัวสำหรับสิ่งจำเป็นในบางครั้งคราว
ครั้งก่อนใช้วลาเดินทางจากค่ายป่าครึ้มไปทุ่งน้ำแข็งโบราณครึ่งปีกว่า ครั้งนี้ออกจากทุ่งน้ำแข็งโบราณไปหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญก็ไม่ได้ใช้เวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น
หลังจากนั้นเกือบสิบเดือน จู่ๆ เหมียวอี้ที่หยิบแผนที่ขึ้นมาดูในบางครั้งก็กล่าวเสียงต่ำว่า “อยู่ห่างจากขอบเขตหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญไม่ไกลแล้ว หาที่ลงกันเถอะ”
“จะลงเหรอ?” อั้นโยวหลินแปลกใจ “นายท่านไม่ไปแล้วเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไปทางอากาศจะโดนคนอื่นสังเกตเห็นได้ง่ายเกินไป ข้าเตรียมจะเดินเท้าไป อาณาเขตหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญใหญ่ขนาดนั้น นอกเสียจากรอบหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญจะมียอดฝีมือวิญญาณชั่วร้ายเฝ้าอยู่เต็มเท่านั้นแหละ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะโชคซวยเจอเข้าพอดี “
“…” อั้นโยวหลินไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี อยู่ที่รังหงส์อย่างสบายดีแท้ๆ จะถ่อมาเสี่ยงอันตรายที่ถ้ำมังกรอีกทำไม?
เหมียวอี้ยืนหยัดจะทำแบบนี้ นางเองก็ได้แต่ปฏิบัติตาม
สำรวจด้านล่างจากบนฟ้า หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีปราณชั่วร้ายเยอะ อินทรีสามหัวโฉบลงมาจอดได้อย่างราบรื่น
พอเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็เก็บอินทรีสามหัวกับอั้นโยวหลินพร้อมกัน แล้วหาถ้ำฟื้นฟูพลังสักสองสามวัน ถึงได้ปล่อยเฮยทั่นออกมาอีกครั้ง
เมื่อปีนขึ้นขี่บนหลังเฮยทั่นแล้ว เหมียวอี้ก็บอกว่า “วิ่งไปตามแนวเส้นตรง พุ่งไปด้วยความเร็วทั้งหมดที่เจ้ามี พยายามไปถึงเป้าหมายในอึดใจเดียว ไปเถอะ!”
พรึ่บ! เฮยทั่นกระโจนออกไป ความถี่ในการขยับขาทั้งสี่ยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ บุกไปข้างหน้าตลอดทาง เหมียวอี้ที่ตัวกระเพื่อมขึ้นลงมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังไม่หยุด
ข้ามผ่านภูเขา ผ่านที่ราบและหุบเขา หนึ่งคนกับหนึ่งตัววิ่งตะบึงอย่างอิสระตามอำเภอใจ
หลังจากนั้นครึ่งวัน อุณหภูมิโดยรอบก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เศษหินบนพื้นเริ่มมีน้อยลง คุณภาพผิวดินค่อยๆ กลายเป็นถ่าน ระหว่างทางที่ไป เหมียวอี้ที่ดูแผนที่ภูมิประเทศหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญหลายรอบก็รู้ว่าตัวเองได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญแล้ว
ขึ้นเขาลงเนิน พอเจอร่องน้ำก็กระโดดข้าม เงาร่างที่แข็งแรงของเฮยทั่นพยายามไปข้างหน้าในทางตรง
ตามอุณหภูมิอากาศที่ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ผิวดินกลายเป็นหินเกรียมแล้ว ทั้งผืนแผ่นดินนี้ราวกับเป็นก้อนหินขนาดใหญ่สีดำที่ครบสมบูรณ์ก้อนหนึ่ง ร้อนและแห้งแล้งมาก มองไม่เห็นร่องรอยสิ่งมีชีวิตใดๆ
หลังจากถึงที่นี่และได้เห็นสภาพแวดล้อมของที่นี่แล้ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองอาจจะกังวลมากเกินไป
เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ที่นี่ไม่ใช่ทุ่งน้ำแข็งโบราณ ต่อให้ที่นี่จะเป็นรอบนอกของหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ แต่ก็ไม่เหมาะจะให้วิญญาณชั่วร้ายแฝงตัว วิญญาณชั่วร้ายกลัวไฟ ปรับตัวกับอุณหภูมิสูงที่นี่ไม่ไหว
เมื่อทอดสายมองแผ่นดินผืนใหญ่สีดำแข็งกระด้างที่ร้อนแห้งแล้ง ก็พบว่าพื้นดินเชื่อมต่อกันด้วยวิธีการที่น่าเบื่อแบบสูงบ้างต่ำบ้าง บางครั้งก็ปรากฏหลุมใหญ่ หุบเขาลึกที่ถูกทำให้แยกออกจากกันอย่างประหลาด มีก้อนหินทั้งเล็กทั้งใหญ่กระจายอยู่หร็อมแหนม รกร้างหนาวเย็น ร้อนและแห้งแล้ง
รอบข้างสงบเงียบไร้ที่เปรียบ มีเพียงเสียงของเฮยทั่นที่วิ่งอยู่ตามลำพัง
ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าการคาดการณ์ของเหมียวอี้นั้นถูกต้อง ตามอุณหภูมิสูงในเส้นทางช่วงหลังที่ร้อนจนไม่มีใครซ่อนตัวได้ แผ่นดินใหญ่ก็เหมือนจะมีควันขึ้นแล้ว ธาตุไฟในอากาศล่องลอย พิสูจน์แล้วว่าถ้าไม่ใช่คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟ ก็ไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้นานเลย
เส้นทางในตอนหลังยังคงเงียบเหงาโดดเดี่ยว ไม่เห็นใครปรากฏตัวสักคน ไม่มีใครรบกวนพวกเขา พวกเขาก็ย่อมไม่คุกคามใคร เรียกได้ว่าราบรื่นอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากวิ่งตะบึงไปหลายวัน ทันใดนั้นตรงจุดไกลๆ ก็ปรากฏภูเขาสูงลูกหนึ่ง เงาภูเขาที่เลือนรางสูงเทียมฟ้า
เฮยทั่นวิ่งไปข้างหน้าและยังไม่ทันเข้าใกล้ แต่จู่ๆ ก็หยุดอย่างกะทันหัน หยุดอยู่ที่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง
เหมียวอี้ที่ถือทวนอยู่ในมือกำลังนั่งตัวตรงบนหลังเฮยทั่น มองดูภาพทิวทัศน์ข้างหน้าอย่างเงียบๆ
ข้างล่างไม่ใช่หน้าผา ถ้ามองให้กว้างขึ้นหน่อย ก็จะพบว่าเป็นแอ่งกระทะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านล่างแอ่งกระทะมีหินหนืดไหลกลิ้ง มีฟองอากาศแตกระเบิดอยู่ในหินหนืดไม่หยุด เพลิงล่องหนที่พ่นออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าหายไปในอากาศ ทั้งแอ่งกระทะเรียกได้ว่าเป็นทะเลสาบหินหนืดแห่งหนึ่ง ส่วนภูเขาที่ยิ่งใหญ่อลังการลูกนั้นก็อยู่ตรงกลางของทะเลสาบหินหนืดนั่นเอง
บนภูเขาสูงสีดำขลับมีมังกรเพลิงแหวกว่าย เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มันไม่ใช่มังกรเพลิงอะไรหรอก แต่เป็นเส้นทางการไหลที่แน่นอนของหินหนืดที่ไหลลงมาจากบนภูเขา ถ้ามองจากมุมแคบก็เหมือนมังกรเพลิงหลายตัวจริงๆ
ภูเขาสูงที่ดูโบราณเรียบง่าย ตั้งตระหง่านอย่างยิ่งใหญ่อลังการ แข็งแกร่งราวกับหอคอยทมิฬดึกดำบรรพ์ ลักษณะของภูเขาบางช่วงก็สูงชันอันตราย บางช่วงก็สูงโดด บางช่วงก็กลมหนา ทั้งยังมีถ้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่จำนวนไม่น้อยเลยด้วย เผยความรกร้างราวกับยุคดึกดำบรรพ์ ทำให้คนรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังถือแตรวงเป่าจนเกิดเสียงหดหู่ “อูอู” อยู่บนยอดเขา กลิ่นอายโบราณดึกดำบรรพ์โผเข้ามาปะทะหน้า
บนยอดเขามีปราณชั่วร้ายสี่สีพวยพุ่งออกมา ถึงถ้ำมังกรแล้ว!
ระหว่างริมภูผาฝั่งนี้ไปจนถึงภูเขาฝั่งโน้น มีทะเลสาบหินหนืดที่ไหลกลิ้งสิบกว่าลี้กั้นไว้ ถ้าอยากจะไปถึงภูเขาสูงที่อยู่ตรงข้าม ก็จะต้องข้ามทะเลสาบหินหนืดผืนนี้ไป เฮยทั่นกระโดดได้ไม่ไกลขนาดนั้น เหมียวอี้อยู่ที่นี่ก็เหาะไม่ได้เช่นกัน
เหมียวอี้สามารถเรียกอั้นโยวหลินออกมาได้ แล้วร่ายเคล็ดวิชาธาตุไฟปกป้องร่างกาย ให้อั้นโยวหลินพาตนข้ามผ่านไป แต่ก็เป็นแค่ทะเลสาบหินหนืดผืนเดียวเท่านั้น เหมือนจะไม่มีความจำเป็นสำหรับเหมียวอี้
เหมียวอี้กระโดลงจากตัวเฮยทั่น เก็บเฮยทั่นเข้าในกระเป๋าสัตว์ พื้นรองเท้ายาวโลหะกำลังเดินไปเดินมาอยู่บนพื้นที่ร้อนจี๋จนเกิดเสียงดังซ่าๆ ตึง! ใช้ทวนยาวค้ำกับพื้น เขาจ้องประเมินสถานการณ์ของทะเลสาบหินหนืดเงียบๆ พักหนึ่ง แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
แต่เขาเองก็รู้ ตามที่เขาได้ยินมาจากหลิงหลัน ทะเลสาบหินหนืดผืนนี้คือที่ที่วิญญาณชั่วร้ายด้านนอกไม่มีทางข้ามผ่านไปได้ รังหงส์มีวิญญาณน้ำแข็งเฝ้ายาม ถ้ำมังกรมีวิญญาณอัคคีเฝ้ายาม ทะเลสาบหินหนืดตรงหน้าก็คือรังของวิญญาณอัคคี ถึงขั้นยึดครองไปถึงบนภูเขาลูกนั้นด้วยซ้ำ
สุดท้าย เหมียวอี้ก็เดินช้าๆ กระโดดดิ่งลงไปที่เหวลึกหลายร้อยจั้ง เสียงตกกระทบกับผิวทะเลสาบหินหนืดดังปั้ง เขาถือทวนเฉียงในมือ แล้ววิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับย่ำบนคลื่นได้
ผิวของทะเลสาบหินหนืดเริ่มเดือดปุดๆ ที่ผิวทะเลสาบมีสัตว์ประหลาดที่เป็นหินหนืดหลายสายโผล่ขึ้นมา บนตัวของสัตว์ประหลาดทุกตัวมีชายผมแดงเปลือยท่อนบนยืนอยู่คนหนึ่ง เท้าเปลือยแต่กลับไม่กลัวหินหนืดที่ร้อนเดือดอยู่ใต้เท้า แต่ละคนล้วนมีลักษณะดุร้าย
สัตว์ประหลาดหินหนืดที่แบกชายผมแดงโผล่ขึ้นมาที่ผิวทะเลสาบหินหนืดอย่างหนาแน่น แต่ที่แปลกก็คือ ตามที่เหมียวอี้วิ่งตะบึงเข้ามาตลอดทาง ชายผมแดงที่ขวางอยู่ด้านหน้าก็ทยอยกันขี่สัตว์ประหลาดหินหนืดหลีกทางให้สองฝั่ง หลีกทางให้จนเกิดเป็นเส้นทางตรงบนผิวทะเลสาบหินหนืด
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าพวกเขาทำแบบนี้หมายความว่าอะไร อีกฝ่ายหลีกทางให้เงียบๆ เขาเองก็วิ่งต่อไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน พร้อมทั้งถือทวนเฝ้าระวังไว้ตลอด
วิ่งบนผิวทะเลสาบหินหนืดสิบกว่าลี้มาตลอดทาง สัตว์ประหลาดหินหนืดกับะวกชายผมแดงไม่ได้รบกวนเลยสักนิด ได้แต่มองตามเหมียวอี้กระโดดขึ้นไปบนภูเขาใหญ่สีดำทะมึนลูกนั้น
พอขาสองข้างเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็ถือทวนและหันตัวไปมองพวกเขาจากนั้นพยักหน้าเบาๆ แสดงความขอบคุณ
ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาเห็นแล้วเข้าใจหรือเปล่า แต่กลับเห็นสัตว์ประหลาดหินหนืดพวกนั้นพาชายผมแดงดำลงไปในทะเลสาบหินหนืดอย่างเงียบๆ ผิวทะเลสาบกลับมาเป็นปกติแล้ว
เหมียวอี้หันตัวกลับมาและเงยหน้ามองบนภูเขาสูง ในแม่น้ำหินหนืดที่ไหลลงมาจากภูเขา สัตว์ประหลาดหินหนืดที่โผล่ออกมาดำกลับลงไปอย่างเงียบๆ ชายผมแดงที่โผล่ออกมาจากถ้ำภูเขาน้อยใหญ่พวกนั้นก็หันตัวกลับข้าถ้ำไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงนิ่งเงียบและมองข้ามแบบนี้ จึงหยิบแผนที่ที่หลิงหลันให้ออกมาอีกครั้ง หาตำแหน่งประตูใหญ่ของถ้ำมังกร
พอเก็บแผนที่แล้ว ก็รีบอ้อมไปด้านซ้ายเพื่อขึ้นบนภูเขาใหญ่ ตลอดทางมีความลาดเอียง บางครั้งก็เป็นหน้าผา บางทีก็ต้องกระโดข้ามอยู่ระหว่างหินภูเขาที่ตัดสลับกันเป็นฟันปลา
สุดท้ายก็เจอตำแหน่งตรงทิศตะวันออกแล้ว เจอบันไดที่ยาวคดเคี้ยวขึ้นไป เหมียวอี้ยืนอยู่บนแท่นบันไดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นเพียงตรงจุดที่เป็นไหล่เขามีประตูใหญ่รูปหัวมังกรโบราณที่กำลังอ้าปาก
เหมียวอี้วิ่งตะบึงขึ้นไปอีกครั้ง มาถึงบนแท่นลิ้นในปากมังกรที่อ้ากว้าง เขากำลังยืนอยู่ตรงประตูแล้ว
ไม่เหมือนรังหงส์ที่มีประตูน้ำแข็งปิดสนิท ประตูใหญ่ของที่นี่ไม่มีอะไรกั้น มีเพียงบันไดที่เอียงลาดขึ้นไป เขาเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ พร้อมมองระแวดระวังรอบข้าง
พอเดินเข้าไปในปากมังกร ก็มีลมเย็นสดชื่นกลุ่มหนึ่งโผใส่หน้าทันที เป็นลมที่ไม่มีธาตุไฟพัดกระพือ พอข้ามเข้ามาในประตูใหญ่ก็ราวกับโดนตัดขาดออกจากโลกภายนอกแล้ว
พอมาถึงส่วนยอดของบันได ตำหนักใหญ่ที่มีลักษณะโบราณเรียบง่ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว กลางตำหนักใหญ่ที่ลึกและมืดทึบ มีสระเพลิงเดือดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บางทีเรียกว่าบ่อเพลิงอาจจะเหมาะสมกว่า เพลิงที่โผล่ขึ้นมาจากบ่อเพลิงเป็นภาพที่มหัศจรรย์จริงๆ เพลิงเดือดที่บิดม้วนราวกับเป็นมังกรเพลิงตัวหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่กลางอากาศ
ชั่วพริบตาที่มองไป เหมียวอี้ก็แทบจะแน่ใจได้แล้ว น่าจะเป็นบ่อเพลิงมังกรที่หลิงหลันบอก เป็นเพราะบ่อเพลิงนี้มีชื่อเหมาะเจาะกับ ‘บ่อเพลิงมังกร’ เกินไปแล้ว
เหมียวอี้ก้าวเข้าไปในตำหนักใหญ่โตลึกลับ แล้วเริ่มมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ตำหนักใหญ่หลังนี้มีร่องรอยงานแกะสลักโดยฝีมือคนอยู่ไม่เยอะ มีลักษณะเหมือนถ้ำใหญ่สมัยดึกดำบรรพ์ ร่องรอยของคนเพียงอย่างเดียวที่ชัดเจนมากก็คือเก้าอี้หินทั้งตัวที่มีท่วงทำนองโบราณเรียบง่ายจำนวนแปดตัว
ชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเก้าอี้สองตัวที่ตั้งอยู่เบื้องสูงในรังหงส์ ตามที่หลิงหลันบอก นั่นคือบัลลังก์เทพสตรีสองคนของเผ่าหงส์ในปีนั้น ถ้านำมาเทียบกันแล้วและเดาไม่ผิด เก้าอี้แปดตัวนี้ก็คงจะเป็นที่นั่งเทพมังกรทั้งแปดขอเผ่ามังกรในปีนั้น แต่ช่วยไม่ได้ที่ฉากยังยู่แต่ตัวคนไม่อยู่ตั้งนานแล้ว
จากประตูไปจนถึง ‘บ่อเพลิงมังกร’ ในตำหนักมีระยะห่างร้อยจั้ง เหมียวอี้ที่เดินไปข้างบ่อเพลิงรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิสูงอันน่าสะพรึงกลัว แต่เหมือนจะมีเขตแดนที่แบ่งแยกไว้อย่างชัดเจน พอเหมียวอี้ถอยหลังหนึ่งก้าว อุณหภูมิสูงก็หายไปอีกแล้ว พอก้าวเข้าไปใกล้ อุณหภูมิสูงก็โผเข้ามาอีก จะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงในบ่อเพลิงถูกวิชาอะไรบางอย่างควบคุมไว้
เมื่อเงยหน้าจ้องเพลิงมังกรที่พวยพุ่งขึ้นสูงหลายจั้งจากขอบเขตบ่อเพลิงในตำหนักใหญ่ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็ใช้เคล็ดวิชาธาตุไฟยื่นศีรษะเข้าริมบ่อเพลิงแล้ว เขามองลงไปด้านล่าง ผลก็คือพบว่าลึกจนมองไม่เห็นก้น ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ก็ไม่มีประโยชน์ เพลิงเดือดที่อยู่ข้างล่างทำให้สายตาพร่าเลือน
บางทีถ้าใช้ตาทิพย์อาจจะมองเห็นชัดก็ได้ แต่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ แต่เขาก็ไม่ยอมใช้วิชาตาทิพย์ง่ายๆ
เขาหดหัวกลับมาแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นก็ถลันตัวไปสำรวจทุกซอกทุกมุมทั้งตำหนักใหญ่รอบหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครมองอยู่ เขาก็กลับไปข้างบ่อเพลิงมังกรอีก เขาลูบคางพลางมองบ่อเพลิงมังกรอย่างลังเล ไม่รู้ว่าการที่หลิงหลันให้ตนนำของสองอย่างนั่นมาส่งที่บ่อเพลิงมังกรหมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าให้โยนลงไป?
เหมียวอี้เก็บทวนในมือ แล้วหยิบไข่หินสองใบออกมาดู หลายครั้งที่คิดอยากจะโยนเข้าไป แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางแน่ใจได้ว่าต้องทำแบบนี้หรือเปล่า หลายครั้งที่ที่ยื่นมือแต่ก็ไม่ได้โยนออกไป สุดท้ายก็หดมือกลับมา ถ้าไม่ใช่แบบนี้ขึ้นมาล่ะ ตัวเองจะไม่ทำให้คนที่ไหว้วานเสียงานหรอกเหรอ
หารู้ไม่ว่าชั่วพริบตาที่เขาหยิบไข่สองใบออกมา เพลิงมังกรแหวกว่ายที่พวยพุ่งขึ้นก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบเชียบ กลายเป็นรูปหัวมังกรโบราณที่ดุร้ายมีพลังอำนาจตัวหนึ่งแล้ว ดวงตาไฟสองข้างของหัวมังกรกำลังเหลือบลงดูการกระทำของเหมียวอี้ที่อยู่ข้างล่าง
…………………………