ส่วนปีศาจโลหิตในเวลานี้กลับคำรามร้องอย่างเจ็บปวดอยู่บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง ขณะที่สั่นศีรษะไปมา ผ้ามุ้งสีแดงที่คลุมหน้าก็ปลิวออกไปแล้ว ผมงามยุ่งเหยิงปลิวสยาย สองมือยันอยู่ระหว่างหินผาก้อนใหญ่ทางซ้ายและขวา “พลั่ก” บนก้นมีเนื้อปนเลือดก้อนหนึ่งระเบิดออกมา มันกำลังปล่อยควัน!
ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มันกำลังปล่อยไอเลือด เลือดสดในร่างกายกำลังพ่นออกจากปากแผลอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็มีชิ้นเนื้อทะลักออกมาด้วย ทุกครั้งที่ก้อนเนื้อทะลักออกมาก็จะมีน้ำเลือดพุ่งกระฉูดออกมาด้วยสายหนึ่ง
ส่วนใบหน้าสวยที่อยู่ใต้ผมงาม ตอนนี้กำลังลีบเหี่ยวลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่นทรมานจนยากที่จะระงับไว้ “เฮ่อ เฮ่อ” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดทรมานจนแทบทนไม่ไหวดังขึ้นไม่หยุด เจ็บจนใบหน้าที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยค่อยๆ เหี่ยวลีบราวกับโครงกระดูก
ก็ช่วยไม่ได้ คนอื่นไม่รู้ถึงความร้ายกาจของของประหลาดในร่างกาย แต่นางกลับรู้ชัดเจน นางรู้จักน้ำเลือดดีเกินไป เมื่อพบว่าไม่สามารถควบคุมได้ นางก็รู้ถึงผลลัพธ์ของการปล่อยให้ของประหลาดนี้ลุกลามในร่างกาย ในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่มีทางควบคุมได้ ไม่น่าเชื่อว่านางจะร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยให้เลือดไหลออกมา ระบายน้ำเลือดที่ปนกับของประหลาดนั่นออกมา เพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย นางถึงขั้นรีบตัดเนื้อส่วนที่ปนเปื้อนของประหลาดนั่นออกมาด้วย ไม่เหมือนคนทั่วไปที่ใช้แค่การร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุม
ทว่าหากคนทั่วไปปล่อยเลือดจนแห้งหมดตัว ก็มีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้แล้วเหมือนกัน แต่นางไม่กลัว…
ตอนที่ยอดหญิงงามกลายเป็นร่างผอมแห้งที่มีแค่หนังหุ้มกระดูก เสียงลมหายใจที่แหบแห้งเหมือนทะเลทรายก็ค่อยๆ สงบมั่นคงแล้วเช่นกัน ในที่สุดก็กำจัดภัยคุกคามที่เป็นอันตรายถึงชีวิตออกจากร่างกายแล้ว นางตบยาเม็ดสีแดงเข้าปากเม็ดหนึ่ง ในดวงตาที่กลวงเว้าเข้าไปค่อยๆ เปล่งแสงสีแดง ร่างที่โงนเงนก็เริ่มมั่นคงขึ้นแล้วเช่นกัน
ภายใต้กระโปรงสีแดง สามารถใช้คำว่าโครงกระดูกงามมาบรรยายได้เลย ร่างกายที่เหี่ยวลีบลงค่อยๆ หันมา เห็นเพียงเลือดเนื้อที่กระจายอยู่บนพื้นกำลังกลายเป็นน้ำข้น ยังคงปล่อยฟองออกมา ในเบ้าตาที่กลวงลึกเข้าไปฉายแววหวาดผวา ไม่รู้ว่าตัวเองโดนพิษอะไรมา ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นพิษร้ายขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว
ฝ่ามือสองข้างที่ผอมแห้งกำบีบจนเกิดเสียงดังแกร๊ก นางนึกเสียใจทีหลัง และได้สติรู้ตัวแล้วเช่นกัน อาศัยวรยุทธ์ของเหมียวอี้ก็ไม่มีทางต้านทานนางได้เลย ถ้านางทำให้ทวนด้ามนั้นของเหมียวอี้หลุดมือไป นางคงไม่มีจุดจบเหมือนอย่างตอนนี้
เรื่องที่ผ่านไปแล้ว มานึกเสียใจทีหลังก็ไม่มีประโยชน์ พอนางโบกแขน ผ้ามุ้งสีแดงที่ห้อยติดอยู่บนก้อนหินก็ลอยกลับมาคลุมนางไว้ ปิดบังใบหน้าอันน่าหวาดกลัวของนาง
นางไม่กล้าอยู่ที่นี่นานเกินไป จึงรีบเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วหายไปยังจุดลึกของจักรวาล
ตอนที่กลับมาถึงดาวเทียนหยวนอีกครั้ง นางไม่ได้กลับไปที่ตลาดสวรรค์ แต่กำลังค้นหาอยู่บนฟ้า ค้นหา…
ณ วัดแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาเขียวชอุ่มและสายน้ำมรกต มีชื่ออันไพเราะว่า ‘วัดจิตสงบ’ ขนาดวัดไม่ใหญ่โต มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน แต่กลับถูกทำลายจนชำรุดทรุดโทรม
ในวิหารใหญ่ที่เรี่ยราดยุ่งเหยิง พระพุทธรูปที่ร่างหายไปครึ่งหนึ่งประดิษฐานอยู่เบื้องบน ภายใต้การจ้องมองของใบหน้าที่เต็มไปด้วยเมตตาธรรม ในวิหารกลับวางโต๊ะยาวไว้ตัวหนึ่ง สุราเนื้อสัตว์วางไว้เต็มโต๊ะ มีชายสองคน หญิงหนึ่งคน พระสงฆ์หนึ่งรูป ทั้งสี่กำลังนั่งล้อมโต๊ะ บางครั้งก็ยกจอกสุราชนกันและดื่มอย่างถึงอกถึงใจ สุขสันต์หรรษา
พระสงฆ์สวมจีวรสีขาวนวล สีหน้าเบิกบานสำราญใจ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือศีลแปดนั่นเอง
ผู้ชายอีกสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนคือเจ้าบ้านทั้งสามของ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ ผู้ชายสองคนนั้นชื่อว่าหลันเหย่ หลีเถี่ยหุ้ย ส่วนผู้หญิงชื่อหูลี่ฮวา ชื่อ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ ก็ตั้งมาจากชื่อของพวกเขาสามคน เลือกคำที่นำมารวมกันแล้วเรียกคล่องปากฟังดูไพเราะ
ชื่อฟังดูไพเราะ แต่ที่จริงพวกเขาเป็นโจรกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มโจรชั้นต่ำท่ามกลางนักพรตของดาวเทียนหยวน
ทั้งสี่กินดื่มอยู่อย่างนั้น แต่ข้างๆ กลับมีศพเปื้อนเลือดหลายศพเรียงรายอยู่ ทั้งหมดเป็นพระสงฆ์ แต่ทั้งสี่กลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสภาพแวดล้อมแย่ๆ แบบนี้
ในลานวัดด้านนอก คนกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บกวาดรอยเลือดและศพที่อยู่บนพื้น ล้วนเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ในลานวัด จากเลือดสดบนพื้นที่ยังไม่แห้งกรัง ก็ดูออกเลยว่าการสังหารโหดเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
ในวิหาร เจ้าบ้านรองหูลี่ฮวาวางชามสุราลง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “พวกเราต้องยึดวัดนี้แล้วกลายเป็นคนออกบวชจริงๆ เหรอ? จะโดนคนจับได้รึเปล่า?”
ศีลแปดวางชามสุราลงเช่นกัน แล้วโบกมือตอบว่า “เจ้าบ้านรองไม่ต้องกังวล วัดเนี่ยนะ เปลี่ยนใครเป็นเจ้าบ้านก็เหมือนๆ กัน หลังจากเจ้าอาวาสชราที่นี่มรณภาพ พวกลูกศิษย์ระดับล่างก็แก่งแย่งกันไปแก่งแย่งกันมา ไม่มีคนเก่งๆ ไปมาหาสู่ตั้งนานแล้ว ไม่มีใครสนใจเท่าไรหรอก แต่ถ้ามียอดฝีมือมาจริงๆ อาศัยวรยุทธ์ของพวกเราก็จัดการไม่ไหว เจ้าบ้านทั้งสามลองคิดดูสิ ‘สมาคมดอกกล้วยไม้’ เที่ยวปล้นไปทั่วก็เพื่อทรัพย์สินไม่ใช่เหรอ เป็นพระสงฆ์ที่ร่ำรวยก็ไม่มีอะไรเสียหาย ต่อไปพวกเราก็แค่ยึดวัดนี้ ถ้ามีคนมาค้างแรม ขอแค่เป็นคนร่ำรวยพวกเราก็ลงมือจัดการเลย แต่ถ้าไม่มีคนมาค้างแรม พวกเราก็แอบอ้างเป็นนักบวชเพื่อหลอกให้คนอื่นเชื่อใจได้ง่ายๆ ตีขนาบทั้งข้างนอกข้างในเหมือนวันนี้ ราบรื่นจะตาย ดีกว่าการที่พวกเจ้าต้องคอยเสี่ยงโชคไม่ใช่เหรอ?”
ทั้งสามได้ยินแล้วพยักหน้า เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ก็ยิ่งตบโต๊ะพูดอย่างเด็ดขาดว่า “เป็นวิธีการหาเงินที่ดีจริงๆ พระอาจารย์ศีลแปดช่างมีความคิดที่ดี ก็ได้ ก็แค่โกนหัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว รอให้มีทรัพยากรฝึกตนเพิ่มขึ้น แบนนั้นก็ยอดเยี่ยมกว่าทุกอย่างไม่ใช่เหรอ?”
“พี่ใหญ่ ท่านเคยคิดรึเปล่า พวกเราไม่เข้าใจแนวทางของพระสงฆ์เลยนะ แม้แต่พระคัมภีร์บ้าบออะไรนั่นก็ไม่เข้าใจ แค่พูดออกมาคำเดียว คนก็มองออกได้ง่ายๆ แล้ว” เจ้าบ้านสามหลีเถี่ยหุ้ยกล่าวอย่างลังเล
ศีลแปดจึงยิ้มพร้อมบอกว่า “เจ้าบ้านสามคิดมากไปแล้ว อาตมาเป็นพระปลอมมาหลายปีขนาดนี้ พวกพระคัมภีร์ก็นับว่าเข้าใจอยู่บ้าง ตบตาคนได้ไม่มีปัญหา ไม่อย่างนั้นคงหลอกพวกพระวัดนี้แล้วร่วมมือกับพวกเจ้าโจมตีขนาบทั้งข้างนอกข้างในไม่ได้หรอก หลังจากพวกเรายึดวัดนี้แล้ว ก็ให้ข้าเป็นเจ้าอาวาสก็แล้วกัน… แน่นอน ข้าแค่ออกไปรับแขกในนามเจ้าอาวาส จะได้ขายผ้าเอาหน้ารอดได้สะดวก ที่จริงเรื่องต่างๆ ภายในวัด เจ้าบ้านทั้งสามก็ยังเป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ตราบใดที่หาเงินได้ แบ่งให้ข้าสักส่วนก็พอแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะสอนพูดประโยคนามธรรมที่ชาวพุทธชอบเอาไว้รับมือกับคนอื่น ขอแค่ภายนอกตบตาได้ พวกเราก็จะไม่พลาดแน่นอน แค่นั่งรอรับความรวยก็พอแล้ว”
เป็นอย่างที่เขาบอก หลังจากเขาหนีออกมาจากตลาดสวรรค์ ก็หนีมาตลอดทางจนถึงที่นี่ เมื่อเห็นว่าเป็นวัด ก็คิดว่าเป็นสหายในวงการเดียวกัน การรับเขาเข้าจำวัดคงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ใครจะคิดว่าพวกพระในวัดนี้จะไร้มารยาทต่อเขา ถ้าอยากจะจำวัดก็ย่อมได้ เมื่อเห็นว่าวรยุทธ์เขาไม่ได้เรื่องเท่าไร ก็เลยโยนงานหนักมาให้เขาทำ และพูดอ้างอย่างสวยหรูว่า ตรากตรำพากเพียร ลำบากเหนื่อยล้า มีประโยชน์ต่อการฝึกตน
ก็ได้! ไม่คุ้นเคยกับคนและสถานที่ ศีลแปดจึงข่มความโกรธนี้เอาไว้ เตรียมจะหาที่พักและรอให้เข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ชัดเจนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ตอนหลังมีอยู่วันหนึ่งที่ศีลแปดออกมาข้างนอก แล้วเจอสมาคมดอกกล้วยไม้ดักปล้นในภูเขา ปรากฏว่าปล้นศีลแปดไม่สำเร็จ กลับโดนศีลแปดเกลี้ยกล่อม จึงตอบตกลงให้ศีลแปดเข้าร่วมกลุ่มด้วย
แนวคิดของศีลแปดเรียบง่ายมาก ในเมื่อจะมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องอยู่อย่างประสบความสำเร็จสิ ขนาดพี่ใหญ่ยังสร้างร้านขายของชำซื่อตรงขึ้นมาได้ เราไม่ได้มีความชำนาญมากขนาดนั้น แต่ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ก็จะทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่องเลยไม่ได้ เริ่มจากการเป็นโจรก็แล้วกัน รอให้วางรากฐานได้ก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกที จะต้องสร้างผลงานสักเรื่อง ดังนั้นใบมอบตัวแรกก็คืออยู่ที่วัดจิตสงบ นอกจากเขาจะวางยาพิษในน้ำดื่มให้พวกพระในวัดแล้ว เขายังทำลายค่ายกลใหญ่คุ้มกันภูเขาด้วย เป็นหนอนบ่อนไส้ให้คนของสมาคมดอกกล้วยไม้เข้ามาเปิดฉากสังหารหมู่ สังหารพระของวัดจิตสงบจนหมดเกลี้ยง ถึงได้มีฉากที่เห็นอยู่ตรงนี้
ตอนนี้เกลี้ยกล่อมให้คนกลุ่มนี้มาเป็นพระสงฆ์ได้แล้ว ส่วนเขาก็อยากจะเป็นพี่ใหญ่ของคนพวกนี้ เจ้าอาวาส!
ถ้าจะให้เป็นพี่ใหญ่ของสมาคมดอกกล้วยไม้ในตอนนี้ ก็ฟังดูไม่เข้าท่าน ต้องเริ่มจากเป็นเจ้าอาวาสก่อน เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้กลายเป็นพี่ใหญ่ของสมาคมดอกกล้วยไม้
เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ยิ้มพร้อมบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ก็พอได้อยู่นะ ถ้าน้องรองกับน้องสามไม่มีความเห็นแย้งอะไร เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน”
“ข้าก็ต้องโกนหัวด้วยเหรอ?” เจ้าบ้านรองหูลี่ฮวาขมวดคิ้วถาม เอามือลูบมวยผมที่ดำขลับของตัวเอง ชำเลืองมองศีลแปดแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ให้ผู้หญิงอยู่กับพระในวัดก็จะฟังดูเหลวไหล… มิหนำซ้ำ โกนหัวแล้วจะน่าเกลียดมากด้วย”
ศีลแปดค่อนข้างรับไม่ไหวกับแววตาของผู้หญิงคนนี้ เขาพบว่าผู้หญิงคนนี้แอบเล่นหูเล่นตาให้เขาบ่อยๆ เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ซื่อกับเขา แต่ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ช่วยกู้หน้าให้ เขาถึงเกลี้ยกล่อมสมาคมดอกกล้วยไม้สำเร็จได้อย่างราบรื่น
“ไม่น่าเกลียดหรอก เจ้าบ้านรองหน้าตางดงามดุจดอกไม้ จะไว้ผมยาวหรือไม่ไว้ผมยาวก็ดูดีทั้งนั้น อาจจะมีเสน่ห์ไปอีกแบบก็ได้”
เมื่อศีลแปดกล่าวมาแบบนี้ เจ้าบ้านใหญ่กับเจ้าบ้านสามก็พากันหัวเราะลั่น ส่วนหูลี่ฮวาก็กลอกตาใส่ศีลแปด
ศีลแปดบอกอีกว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้าบ้านรองก็ไม่ต้องโกนผมหรอก สามารถบวชโดยไว้ผมได้ ก็สร้างสำนักชีสมาคมดอกกล้วยไม้สักแห่งที่หลังเขา ให้พักอยู่กับผู้หญิงคนอื่นๆ แล้วเจ้าบ้านรองก็เป็นเจ้าอาวาสที่สำนักชีก็ได้”
“แบบนี้ก็พอไหว” หูลี่ฮวาเหลือบมองอย่างหยาดเยิ้ม
เจ้าบ้านใหญ่หัวเราะลั่น แล้วบอกว่า “งั้นพวกเราก็ต้องตั้งฉายานามด้วยสิ พระอาจารย์ศีลแปดมีฉายานามว่าศีลแปด งั้นข้าก็ชื่อศีลหก เจ้าสามชื่อศีลเจ็ดก็แล้วกัน”
แม่งเอ๊ย! ศีลแปดกลอกตาใส่ ช่างแต่งชื่อไม่เป็นเอาเสียเลย บังอาจมาเอาเปรียบอาตมา อาตมาโดนเอาเปรียบได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
ข้าไม่ได้ถือศีลกินเจสักหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาเป็นพระที่ไม่กินเจ จึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าบ้านใหญ่ ไม่เหมาะสม ไม่เหมาะสม ภายนอกข้าต้องเป็นเจ้าอาวาส เจ้ากับเจ้าบ้านสามชื่อศีลหก ศีลเจ็ด เป็นฉายานามที่สูงกว่าเจ้าอาวาสอย่างข้าเสียอีก แบบนั้นคนนอกจะไม่สงสัยหรอกเหรอ? มิหนำซ้ำ เจ้าบ้านทั้งสามก็ยังมีอำนาจตัดสินใจที่วัดจิตสงบด้วย ทุกคนทำไปเพื่อความร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องคิดหยุมหยิมกับชื่อเสียงอันจอมปลอมหรอก เจ้าบ้านใหญ่ชื่อศีลเก้า เจ้าบ้านรองชื่อศีลสิบ ดีไหม?”
เจ้าบ้านทั้งสามสบตากันแวบหนึ่ง ไม่เข้าใจสาเหตุที่อยู่ในนั้น คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเป็นชื่อเสียงอันจอมปลอมจริงๆ ไม่มีอะไรน่าคัดค้าน เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่พยักหน้าบอกว่า “ได้ เอาอย่างนี้ก็ได้ ศีลเก้าศีลสิบก็ศีลเก้าศีลสิบ ตกลงตามนี้แล้วกัน”
ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว สถานะ ‘ลูกศิษย์ผู้สืบทอด’ ของศีลแปดกลับตาลปัตรทันที ทำให้ทั้งสองคนกลายเป็น ‘ลูกศิษย์ผู้สืบทอด’ ไม่เสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ
“แล้วข้าล่ะ?” หูลี่ฮวามองทั้งสามคน แล้วถามว่า “แล้วข้ามีฉายานามว่าอะไรถึงจะเหมาะล่ะ?”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงคนตะโกนว่า “ใครกัน?”
สี่คนที่กำลังนั่งล้อมวงตกใจทันที เจ้าบ้านทั้งสามถลันตัวออกไปดูข้างนอกทันที
ศีลแปดอึ้งเล็กน้อย ออกจากงานเลี้ยงไปเงียบๆ ไปอยู่ที่วิหารด้านข้าง เดินย่องอย่างลับๆ ล่อๆ ไปที่ด้านหลังหน้าต่าง แล้วแอบมองไปด้านนอก
ยังไม่คุ้นเคยกับคนและสถานที่ เพิ่งจะมาอยู่ใหม่ เขายึดถือหลักการความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่ประมาทออกไปประสมโรง หลบดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
เห็นเพียงบนพื้นนอกวิหารใหญ่ที่กำลังเก็บกวาดรอยเลือดและศพ คนคนหนึ่งที่ร่างกายด้วยผ้ามุ้งสีแดงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ผ้ามุ้งบางพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางสายลมอ่อน มองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ดูจากการแต่งตัวเหมือนจะเป็นผู้หญิง แต่ดูจากสภาพเสื้อผ้าที่หลวมโคร่ง เหมือนจะผอมโซสุดๆ
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน คือปีศาจโลหิตนั่นเอง ตอนที่เหาะผ่านเหนือฟ้าบริเวณนี้ นางถูกดึงดูดด้วยกลิ่นคาวเลือดจำนวนมากของที่นี่ เดิมทีนางก็เป็นคนที่ความรู้สึกไวต่อกลิ่นคาวเลือดอยู่แล้ว เดิมทีนางก็ไม่อยากไปมีเรื่องกับคนในวัดให้ตัวเองเกิดปัญหา แต่เห็นฆราวาสกลุ่มนี้สังหารพระสงฆ์ไปไม่น้อย ถึงได้ลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ตะโกนอีกครั้ง “เจ้าเป็นใคร?”
ปีศาจโลหิตยืนเงียบอยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน มีเพียงศีรษะที่คลุมด้วยผ้ามุ้งสีแดงที่ขยับช้าๆ กวาดมองสภาพเหตุการณ์โดยรอบ
เมื่อเห็นนางไม่ตอบ ทางนี้ก็ไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายมีที่มาอย่างไร ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม หลันเหย่พยักหน้าเบาๆ เพื่อบอกใบลูกน้องคนหนึ่ง
ลูกน้องคนนั้นจำต้องถืออาวุธและรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปใกล้ เจ้าตัวไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามเช่นกัน เพียงใช้ทวนยาวแหย่เลิกผ้ามุ้งของปีศาจโลหิตออก
โฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจโลหิตเปิดเผยต่อหน้าทุกคนทันที ใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวที่เต็มไปด้วยรอยย่นราวกับโครงกระดูก ทำให้ทุกคนตกใจทันที