พอออกคำสั่งนี้ กำลังพลหนึ่งหมื่นบนฟ้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี เรียกได้ว่าขวัญเสียแล้ว อาวุธของกำลังพลท้องถิ่นเทียบไม่ติดกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ราชันสวรรค์เลย ด้านจำนวนคนก็ได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ เบียดบังฝั่งอำนาจท้องถิ่น ศึกนี้ไม่มีทางต่อสู้ได้เลย
ในบรรดาหนึ่งหมื่นคนนี้ ถึงแม้จะมีกำลังลพลส่วนหนึ่งถูกย้ายมาจากกองทัพองครักษ์ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นส่วนน้อย เมื่อเผชิญกับการล้อมโจมตีอันแข็งกร้าวของกองทัพองครักษ์ พวกเขาก็หมดหนทางเช่นกัน พวกเขารู้ดีถึงอานุภาพยามธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายหมื่นโจมตีร่วมกัน อาศัยแค่การโต้กลับจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ไม่กี่ร้อยในมือพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ยิ่งจำนวนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์รวมกลุ่มกันเยอะ อานุภาพที่แสดงออกมาก็ยิ่งเยอะ
“ตั้งรับฝ่าวงล้อม!” ฉู่จื่อซานตะโกนอย่างตระหนก ขณะเดียวกันก็ถอยไปอยู่ในกำลังพลด้านหลัง
คนหนึ่งหมื่นรีบชูโล่กำบังขึ้นมาแล้วหดรวมกลุ่มกัน โล่กำบังที่สร้างจากผลึกทองที่มีความบริสุทธิ์สูง โล่กำบังที่สร้างจากผลึกม่วง ข้างในถึงจะมีโล่กำบังกลุ่มหนึ่งที่สร้างจากผลึกแดง คอยคุ้มกันฉู่จื่อซานและพวกแม่ทัพเอาไว้ ก็ช่วยไม่ได้ เป็นอย่างที่บอก อาวุธของอำนาจท้องถิ่นเทียบกับอาวุธของกองทัพองครักษ์ไม่ติด ไม่เหมือนกองทัพองครักษ์ที่ในมือทุกล้วนมีโล่กำบังผลึกแดง
ขณะที่คนนับหมื่นรวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมโล่กำบังขนาดใหญ่เพื่อป้องกันตัวเองอย่างรวดเร็ว ก็รีบฝ่าวงล้อมไปยังทางเก่าเช่นกัน ฉู่จื่อซานสมกับเป็นคนของกองทัพองครักษ์ที่ผ่านสนามรบมาอย่างยาวนาน รู้ว่าตอนนี้ถ้าป้องกันอย่างเดียวก็มีแต่ทางตาย จะต้องสังหารฝ่าวงล้อมจนเกิดทางเลือด ถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต
เฟี้ยวๆๆ…
ปมเงื่อนซับซ้อนราวกับเส้นพันกัน มีลำแสงนับไม่ถ้วนถูกยิงออกไปอย่างฉับพลัน ถล่มสังหารกระบวนทัพโล่กำบัง เสียงระเบิดพังดังไม่หยุด
โล่กำบังสีทองถูกลำแสงนับไม่ถ้วนทะลุผ่าน คนอยู่ข้างหลังโล่กำบังท่ามกลางการโจมตีที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก บนฟ้ามีเสียงกรีดร้องดังระงม คนทยอยกันตกลงมากระจัดกระจาย ราวกับปอกเปลือกหนาหลายชั้นของลูกกลมขนาดนั้น
แค่โจมตีระลอกเดียวก็แทบจะทำให้กำลังพลเกือบหมื่นนี้เสียหายไปหนึ่งส่วนสามแล้ว
ฝั่งกองมังกรดำของเหมียวอี้ก็ไม่ใช่เล่นๆ เช่นกัน เชี่ยวชาญการรบหมู่ ลูกกลมที่เกิดจากโล่กำบังนั่นอยากจะหนี ทหารฝั่งนี้อยู่ภายใต้การบัญชาการร่วมโดยสัญญาณลับ พวกเขาไม่ได้บุกประจัญบานข้างหน้า แต่ใช้วิธีการล้อมรักษาระยะห่างเหาะตามไป พอกระบวนทัพรูปทรงกลมเร่งความเร็วหนี พวกเขาก็เร่งความเร็วเข้าไปใกล้ พอรูปทรงลกมนั่นผ่อนความเร็ว พวกเขาก็เหาะช้าลงเช่นกัน รักษาความเร็วเฉลี่ยในการรุกเป้าหมายที่ล้อมไว้
ภายใต้ศักยภาพที่มั่นใจในชัยชนะ พวกเขาไม่จำเป็นต้องสร้างการบาดเจ็บล้มตายให้ฝั่งตัวเอง แค่ล้อมไว้ตลอดทางพร้อมยิงโจมตีก็พอแล้ว
ทางฝั่งกองมังกรดำเก็บกลั้นไฟโกรธนี้เอาไว้เช่นกัน ขนาดอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปหาเรื่องใคร จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มนี้โผล่มาทำโจมตีให้พวกเขาต้องปีนออกจากหลุมอย่างหน้าตามอมแมม ทั้งยังสังหารพี่น้องฝั่งนี้ด้วย แม้แต่ท่านแม่ทัพภาคก็ยังเดือดดาลจนสั่งให้สังหารไม่ละเว้น แบบนี้ถ้าพวกเขาไม่ลงมือให้ถึงอกถึงใจก็แปลกแล้ว อย่างไรเสียก็มีเบื้องบนคอยรับผิดชอบให้หากเกิดเรื่อง ความรับผิดชอบไม่ตกมาถึงพวกเขาหรอก
“ต้านไว้! คนที่ติดตามข้าฝ่าวงล้อมได้ ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม! ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ยิง!”
ขณะที่ฉู่จื่อซานที่อยู่ท่ามกลางการคุ้มกันจากกลุ่มทหารรีบรวบรวมลูกน้องให้เร่งมาสนับสนุน ก็ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไม่หยุด ฉวยโอกาสหาช่องว่างของการโจมตีจากฝนธนู ท่ามกลางกระบวนทัพที่เป็นโล่กำบังรูปทรงกลมมีลำแสงหลายร้อยสายยิงไปทั่วสารทิศ หมายจะโจมตีทำลายจังหวะการรุกของกระบวนทัพที่ล้อมตัวเองอยู่ให้วุ่นวาย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางหนีได้เลย เขาฉู่จื่อซานมีศักยภาพสูง เวลาเหาะคนเดียวก็เร็วเหมือนกัน แต่เขาไม่กล้าหลุดออกจากการคุ้มกันของทัพใหญ่ ถ้าหลุดจากการคุ้มกันไปคนเดียว ก็เป็นการเอาชีวิตไปทิ้งแท้ๆ เลย!
แต่ละจุดของทัพใหญ่ที่ล้อมไว้มีคนกลุ่มละสิบคนตั้งกระบวนทัพโล่กำบังทันที แล้วพุ่งไปข้างหน้าเพื่อร่วมแรงกันต้านทานลูกธนูดาวตกที่ยิงเข้ามา
ท่ามกลางเสียงดังถล่ม กระบวนทัพใหญ่ที่ล้อมไว้ไม่ได้วุ่นวายเลยสักนิด เป็นเพราะอานุภาพของธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่ยิงกระจายไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับทัพใหญ่ ไม่สามารถสร้างอานุภาพการโจมตีหมู่ได้ พวกเขากลุ่มเล็กๆ ป้องกันร่วมกันจึงไม่มีทางต้านทานไหวเลย
กระบวนทัพใหญ่ที่ล้อมโจมตีพลันเปลี่ยนไป แบ่งผลัดกันยิงโจมตีสามระลอก ควบคุมจนอีกฝ่ายไม่มีทางเหลือให้โต้ตอบ หลังจากตัดกำลังของฝ่ายตรงข้ามได้ประมาณหนึ่งส่วนแล้ว การหลับหูหลับตาใช้ลูกธนูดาวตกยิงโจมตีก็จะสิ้นเปลืองไปหน่อย คนเดียวโดนยิงหลายดอกก็ไม่คุ้ม อย่างไรเสียการยิงธนูแต่ละดอกก็ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน
ถ้าคนเดียวใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็ไม่ถือว่าสิ้นเปลืองเท่าไร แต่คนหลายหมื่นยิงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน ทรัพยากรที่เสียไปก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ดังนั้นถ้าอยากจะเลี้ยงทัพใหญ่แบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลี้ยงไหว
ตรงจุดไกลๆ มีกำลังพลจำนวนหลายร้อยคนกลุ่มหนึ่งหยุดอยู่ในดาราจักรและไม่กล้าเข้ามาที่นี่ แต่ละคนมองมาทางนี้ด้วยสีหน้าหวาดกลัว
พวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นทหารยามที่เฝ้าตัวประกันในหออวิ๋นฮว๋าก่อนหน้านี้ หลังจากได้รับคำสั่งก็รีบตามมาสนับสนุน ใครจะคิดว่าจะมาสนับสนุนไม่ทัน เห็นหัวหน้าภาคโดนล้อมโจมตีอย่างยับเยินขนาดนี้ และผู้ที่ลงมือก็คือกำลังพลตำหนักสวรรค์ ไม่เข้าใจสถานการณ์เลย!
“นายท่าน พวกเราต้องเข้าไปมั้ย?” ทหารคนหนึ่งมองแม่ทัพพร้อมถามเสียงสั่น
แม่ทัพพลันหันกลับมา มองเขาด้วยแววตาที่เหมือนมองคนปัญญาอ่อน
คนที่เหลือก็ใช้สายตาแบบนี้เช่นกัน ราวกับกำลังพูดว่า ยังจะช่วยไหวอีกเหรอ! ทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์หลายหมื่นล้อมโจมตี แต่ละคนล้วนมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ชัดเจนว่าตกอยู่ในมือกองทัพองครักษ์แล้ว พวกเราเข้าไปรวมด้วยก็ยังไม่พอยัดซอกฟันอีกฝ่ายเลย
แต่ในฐานะที่เป็นแม่ทัพ จะบอกว่าไม่ช่วยก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะพ้นข้อหาความผิดได้ยาก แต่เขาก็มีข้ออ้างของตัวเอง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “กองทัพองครักษ์เป็นทัพของฝ่ายาท ที่เกิดเหตุการณ์ล้อมโจมตีหัวหน้าภาค บางทีอาจจะเป็นเพราะหัวหน้าภาคทำอะไรผิดแล้วพวกเราไม่รู้ก็ได้ พวกเราควรจะรายงานขึ้นไปถามเบื้องบน ถามสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ!”
ทุกคนพึมพำในใจว่า ถ้ารอถามสถานการณ์ให้ชัดเจน เกรงว่าหัวหน้าภาคคงจะตายไปหลายรอบแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่มีมีใครคัดค้าน นอกเสียจากจะอยากตายเท่านั้นแหละ พวกเขาเอ่ยรับพร้อมกัน “รับทราบ!”
“ถอนทัพ!” พอแม่ทัพโบกมือ ก็รีบนำคนหนีไปทันที กลัวว่าถ้าชักช้าแล้วจะหนีไม่ทัน
มีนักพรตบางคนผ่านมาบริเวณนี้เช่นกัน ถูกเสียงการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินทำให้ตกใจจนต้องมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากเห็นสถานการณ์ชัดเจนแล้วก็ตกใจมาก นี่มันเรื่องอะไรกัน? กำลังพลตำหนักสวรรค์กำลังสู้กันเองงั้นเหรอ? คนที่เห็นรีบหนีทันที จะได้ไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัว
ในเวลานี้กระบวนทัพโล่กำบังใหญ่ที่ถูกล้อมไว้กลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนเล็กๆ มีเพียงโล่กำบังผลึกแดงล้อมไว้เพียงไม่กี่ร้อยเท่านั้น หนีไม่พ้นแล้วเช่นกัน เมื่อรู้ตัวว่าหนีไม่พ้น ฉู่จื่อซานก็แหกปากตะโกนเสียงดังว่า “ข้าเป็นขุนนางตำหนักสวรรค์ ได้รับคำสั่งให้มาคุมน่านฟ้าระกาติง ถ้าจะลงโทษก็ไม่ถึงคราวที่พวกเจ้าจะลงมือหรอก รู้ถึงผลที่ตามมาหลังจากสังหารข้ารึเปล่า!”
คำพูดนี้ได้ผลจริงๆ การสังหารหัวหน้าภาคที่เฝ้าอาณาเขตไม่ใช่เรื่องเล็ก นี่เป็นเจ้าอาณาเขตที่ปกครองหนึ่งน่านฟ้าแล้ว การโจมตีหยุดชั่วคราว แม่ทัพแต่ละหน่วยมองไปทางเหมียวอี้กับมู่อวี่เหลียนที่ยืนอยู่บนพื้นที่ถล่มไกลๆ
มู่อวี่เหลียนก็มองไปที่เหมียวอี้เช่นกัน
เหมียวอี้หันตัวมา เดินไปอยู่ท่ามกลางทหารหลายสิบคนที่โดนยิงตาย คุกเข่าข้างกายพี่น้องกองมังกรดำที่รบตายไป ใบหน้าที่เรียบเฉยๆ ค่อยฉายแววดุร้าย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนนี้รู้จักใช้เหตุผลแล้วเหรอ ตอนที่ฆ่าคนของข้าทำไมไม่ฟังเหตุผลบ้างล่ะ! จับเป็น พาไปคุกกเข่าให้พี่น้องกองมังกรดำที่รบตายไป!”
เสียงดังก้องทั้งดาราจักร
มู่อวี่เหลียนหันตัวมา แล้วโบกมือออกคำสั่ง!
เสียงระเบิดตูมตามดังขึ้นอีกครั้ง
ลำแสงนับหมื่นพลันยิงออกมา โล่กำบังผลึกแดงหลายร้อยที่รวมกันป้องกันครั้งสุดท้ายพลังทลายหมดแล้ว
ฉู่จื่อซานที่ไร้โล่ป้องกันและลูกน้องที่สวมเกราะรบผลึกแดงสิบกว่าคนราวกับเป็นบ้าไปแล้ว “อา!” ตะโกนอย่างบ้าคลั่งพร้อมบุกสังหารไปยังทิศทางหนึ่ง
ลูกธนูดาวตกนับร้อยตั้งอยู่บนสายธนูอีกครั้ง มีลำแสงไหลเวียน เล็งไปยังคนสิบกว่าคนที่พุ่งเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงปั้งๆๆ ลำแสงนับร้อยถูกยิงออกไป
บนตัวถูกลูกธนูยิงใส่อย่างหนาแน่น ถึงแม้ลูกธนูดาวตกจะไม่เจาะทะลุเกราะรบผลึกแดง แต่กลับทำให้สะเทือนจนกระอักเลือดออกมา แต่ละคนโดนยิงคว่ำอยู่ในดาราจักร
คนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปและโยนเชือกมัดเวียน ใช้อาบและทวนจับตัวคนพวกนี้ไว้ แล้วหิ้วไปโยนไว้ข้างกายเหมียวอี้โดยตรง
ขณะที่มองดูคนหลายสิบคนโดนจับไป ที่มุมปากแต่ละคนยังคงมีเลือดไหล เหมียวอี้จ้องฉู่จื่อซานพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “คุกเข่า!”
กลุ่มคนที่คุมตัวมาใช้อาวุธทุบหลังขาคนพวกนี้ทันที แต่ละคนถูกกดให้คุกเข่าต่อหน้าเหมียวอี้
ฉู่จื่อซานส่ายหน้าดิ้นรน แต่กลับหนีไม่พ้น ใบหน้าที่มุมปากมีเลือดไหลจ้องเหมียวอี้พร้อมตะคอกอย่างโมโห “เจ้าเป็นใคร? กล้าดูหมิ่นเหยียดหยามข้าถึงขนาดนี้!”
ชวิ้ง! เหมียวอี้ชักกระบี่ตรงเอวออกมา แกร๊งๆๆ แล้วเคาะเกราะหัวที่เอียงอยู่บนศีรษะของเขา “เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดชาติสุนัขเหมือนกันหมด ลากคนที่เหลือไปตรงหน้าพี่น้องที่ตายไป ประหารซะ!”
“หา!” คนสิบกว่าคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาของฉู่จื่อซานดิ้นรนตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งทันที ไม่ยอม!
แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขาถูกลากไปตรงจุดที่ไม่ไกล แต่ละคนโดนกดให้นั่งคุกเข่า เพชฌฆาตยกดาบขึ้นลงหลายครั้ง น้ำเลือดสิบกว่าสายสาดพุ่ง หัวคนสิบกว่าคนกระเด็นออกไป ศพเอนล้มชักกระตุกอยู่บนพื้น
ฉู่จื่อซานที่หันไปมองทำสีหน้าหวาดกลัวอย่างปิดบังไม่อยู่ทันที ตอนที่มองไปที่เหมียวอี้อีกครั้ง เขายังจะกล้าพูด ‘เจ้ากล้าดูหมิ่นข้า’ อีกได้อย่างไร อีกฝ่ายบทจะฆ่าก็ฆ่า ยังจะกลัวเรื่องดูหมื่นเขาอีกเหรอ? เขาจึงกัดฟันถามว่า “เจ้าคือหน่วยไหนของกองทัพองครักษ์กันแน่?” เขาคิดไม่ตกว่าทำไมกองทัพองครักษ์ถึงมีคนบ้าแบบนี้โผล่มาได้
ซาๆๆ คมกระบี่ในมือเหมียวอี้กรีดไปกรีดมาอยู่บนเกราะหัวของเขา พูดไปถูมา เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะลงมือตรงไหนดี แต่สุดท้ายก็ยังให้คำตอบอีกฝ่าย “หน่วยองครักษ์ซ้ายเจิ้นอี่ ทัพเป่ยโต้ว กองมังกรดำแม่ทัพภาค…หนิวโหย่วเต๋ออยู่นี่แล้ว!” เสียงพูดเนิบนาบ น้ำเสียงเรียบนิ่ง แววตาสื่อความหมายล้ำลึก มองเหยียดลงมาสู่ที่ต่ำ
“หนิวโหย่วเต๋อ…” ฉู่จื่อซานอึ้งทันที รูม่านตาพลันหดลงในขณะที่เงยหน้ามองเหมียวอี้ ในหัวเกิดภาพมากมายปรากฏขึ้น เป็นภาพที่คนมากมายเคยเตือนเรื่องเรื่องหนึ่งกับเขา เนื้อที่เตือนก็มีความต่างในความเหมือน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน : ผู้หญิงคนนั้นเกรงว่าจะแตะต้องลำบากแล้ว ได้ยินว่าได้กับหนิวโหย่วเต๋อแล้วนี่ ถ้าหนิวโหย่วเต๋อยังไม่ตาย คนที่ตลาดสวรรค์ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องผู้หญิงคนนั้นหรอก เจ้าบ้านั่นทำได้ทุกอย่างนั้นแหละ ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัวเพราะผู้หญิงคนเดียว…
ก่อนหน้านี้แค่มีคนเอ่ยถึงหนิวโหย่วเต๋อให้เขาฟัง ต่อให้นอนฝันเขาก็นึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ หนิวโหย่วเต๋อจะมาโผล่อยู่ที่นี่
เขาได้ยินชื่อเสียงของหนิวโหย่วเต๋อมานานแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันด้วยวิธีการนี้
สุดท้ายการพบกันครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนบ้าจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าสังหารทัพใหญ่ตำหนักสวรรค์นับหมื่นของเขาจนหมดเกลี้ยง!
ชั่วพริบตานี้ ฉู่จื่อซานยิ่งเบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงประสบกับเคราะห์ร้ายเหนือความคาดหมายแบบนี้!
“เป็นเจ้าเหรอ…” ฉู่จื่อซานคำรามอย่างบ้าคลั่ง พยายามดิ้นรนลุกขึ้นยืนอย่างสุดชีวิต
เพี้ยะ! เหมียวอี้ใช้กระบี่ตบจนเขาล้มลงบนพื้น แล้วใช้เท้าเหยียบใบหน้าเขา เหยียบศีรษะเขาจนแทบจะจมลงดิน
“ชาติหมา แม้แต่คนของข้าก็กล้าแตะต้อง!” เหมียวอี้ที่มีสีหน้าท่าทางดุร้ายซ่อนความหมายอีกอย่างเอาไว้ในคำพูด ไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายความจริง แทงกระบี่ทะลุลงแก้มเขา แล้วตีกวนให้ลิ้นเละเทะ แล้วก็เตะไปไว้ด้านข้างอีก ก่อนจะตะโกนว่า “ลากไปไว้ตรงหน้าพี่น้องที่ตายไป สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น…แล่เนื้อประหาร!”
…………………………