สิ่งที่เรียกว่าแล่เนื้อประหารคืออะไร? ก็คือการสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นไง!
มู่อวี่เหลียนที่อยู่ข้างๆ มองไปที่เหมียวอี้แล้วอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าฆ่าก็ฆ่าไปแล้วไม่จำเป็นต้องทรมาน แบบนั้นจะสร้างปัญหาได้ง่าย แต่เมื่อเห็นลูกน้องที่อยู่ข้างกายก็พูดโน้มน้าวไม่ออก ลูกน้องของตัวเองโดนคนอื่นฆ่าแล้ว นายท่านกำลังระบายความโกรธ มันใช่เรื่องเหรอที่นางจะขัดขวาง?
“อือ…อือ…” พอฉู่จื่อซานได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง ตรงมีปากมีเลือดไหล ไม่อาจหลุดพ้นจากชะตากรรมที่ต้องโดนถูกลากไปประหาร
พอลากมาข้างๆ แล้ว ก็ถอดเกราะรบและเสื้อบนตัวรวมทั้งสมบัติต่างๆ ออก ร่างกายที่เปลือยเปล่าถูกลากให้ไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าศพสมาชิกของกองมังกรดำ
ข้างซ้ายและขวามีคนดึงแขนสองข้างของเขาเอาไว้ คนข้างหลังดึงมวยผมเขาไว้แน่นแล้ว ขณะเดียวกันก็ใช้รองเท้าโลหะข้างหลังเหยียบไว้บนแผ่นหลังของเขา
ฉู่จื่อซานที่นั่งคุกเข่าแต่กลับขยับตัวไม่ได้ร้องอู้อี้อย่างบ้าคลั่ง ทหารเลวเกราะทองคนหนึ่งเดินมาอยู่ตรงหน้าเขา แล้วโบกมือหยิบมีดสั้นออกมา แสงสะท้อนคมมีดวับวาบอยู่ในมือ กรีดบนหน้าอกของเขารอยหนึ่งจนมีเลือดออก มีเศษเนื้อปลิวออกไปชิ้นหนึ่ง
แสงสะท้อนคมมีดกะพริบเร็วมาก ใช้มีดเล็กแล่เนื้ออย่างจริงจัง
ทัพกลางธงพยัคฆ์น้ำเงินเดิมทีก็รับหน้าที่ลงโทษอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องหาคนทำเลย
ใช้เวลาเพียงไม่นาน บนร่างเปลือยของฉู่จื่อซานก็ถูกอาบไปด้วยเลือดแล้ว ร่างกายครึ่งเนื้อครึ่งกระดูกกำลังคุกเข่าอยู่อย่างนั้น เจ็บปวดทรมานจนตัวสั่น ในลำคอมีเสียงดังไม่หยุด ความหวาดกลัวถึงขีดสุดได้ผ่านไปแล้ว ในดวงตาที่สิ้นหวังฉายแววนึกเสียใจทีหลัง เสียใจที่ไม่ฟังคำแนะนำของคนอื่น เดิมทีตัวเองมีอนาคตที่ดีรออยู่ แต่กามตัณหาชั่ววูบเพื่อผู้หญิงคนเดียวทำให้ตนตกต่ำจนมีจุดจบแบบนี้…
ฉากที่สับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นไม่ได้น่าดูเลยจริงๆ ขนาดมู่อวี่เหลียนเองยังขนพองสยองเกล้า ต่อให้ผู้หญิงจะโหดสักแค่ไหน แต่ก็ยากจะปรับตัวกับฉากแบบนี้ได้ นางหันตัวหนีแล้ว
คนหลายหมื่นที่เก็บกวาดสนามรบเสร็จแล้วทยอยกันกลับมา พอเห็นฉากประหารที่อยู่ทางนี้ แต่ละคนก็รู้สึกหนาวในใจ หันไปมองท่านแม่ทัพภาคที่สีหน้าเรียบเฉยเป็นระยะ
ทุกคนรู้สึกทอดถอนใจกับความโหดเหี้ยมของท่านแม่ทัพภาคคนนี้ และได้ค้นพบอีกครั้งว่าท่านแม่ทัพภาคเป็นคนที่ทำงานโดยใช้อารมณ์จริงๆ ในปีนั้นขัดตาที่อ๋องสวรรค์อิ๋งขายหลานสาวแลกเกียรติยศ ก็เลยสงบปากตัวเองไม่ได้ ตกต่ำจนต้องโดนขังที่แดนดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี โดนทำโทษจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ครั้งนี้เป็นเพราะโมโหที่เห็นพี่น้องของตัวเองตาย ก็เลยสังหารกำลังพลตำหนักสวรรค์ไปเกือบหนึ่งหมื่น ช่างไม่กลัวการก่อเรื่องเลยจริงๆ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีผู้บังคับบัญชาแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่มีอะไรจะตำหนิแล้ว แววตาที่มองไปยังเหมียวอี้มีแต่ความเคารพนับถือที่มาจากใจจริง!
ผ่านไปไม่นาน จุดเกิดเหตุก็มีเลือดไหลเต็มพื้น ฉู่จื่อซานที่โดนแล่เนื้อจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกก็ทนทรมานไม่ไหวอีกแล้ว เขาหายใจออกมาเฮือกสุดท้ายท่ามกลางความเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุด เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด คนถือมีดสั้นที่กำลังลงโทษทรมานเสียบมีดลงไปในช่องระหว่างกระดูกซี่โครงโดยตรง แทงทะลุเข้าไปในหัวใจแล้ว…
หลังจากลงโทษทรมานเสร็จแล้วกลับมารายงานผล เหมียวอี้ก็ออกคำสั่งกับมู่อวี่เหลียนว่า “เก็บกวาดสนามรบให้สะอาด เตรียมกลับอุทยานหลวง!”
“รับทราบ!” มู่อวี่เหลียนรับคำสั่งแล้วไปจัดการ
เหมียวอี้ออกไปอยู่ตามลำพัง พอถึงจุดที่ลับหูลับตาคน ก็ปล่อยคนชุดดำกับ ‘อวิ๋นจือชิว’ ออกมา
อวิ๋นจือชิว’ ถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ทำท่าเหมือนอยากจะกัดเหมียวอี้ให้ตาย แต่เหมียวอี้กลับผลัก ‘อวิ๋นจือชิว’ ไปให้คนชุดดำ
คนชุดดำพยักหน้า รับ ‘อวิ๋นจือชิว’ เอาไว้ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็วโดยอาศัยลักษณะแนวภูเขาพรางตัว
รอจนผ่านไปสักครู่หนึ่ง คาดว่าคนคงจากไปไกลแล้ว เหมียวอี้ก็กางแขนสองข้าง ภายใต้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่สาดซัด เกิดเสียงระเบิดดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ภูเขาถล่มพื้นดินทลาย ฝุ่นควันลอยตลบอบอวล กลบบังตัวเขาเอาไว้
กำลังพลหลายหมื่นที่เก็บกวาดสนามรบแล้วมารายงานสรุปสถานการณ์ตกใจทันที รีบรวมกลุ่มกันเหาะเข้ามา เห็นเพียงฝุ่นดินตลบอบอวลกินพื้นที่บริเวณกว้าง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
รอไปได้สักครู่หนึ่ง เงาร่างของเหมียวอี้ก็พลันพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางฝุ่นดินที่ตลบอบอวล แล้วจ้องมองสำรวจไปด้านล่าง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร
มู่อวี่เหลียนรีบเหาะเข้ามาใกล้ แล้วถามอย่างตกใจปนสงสัยว่า “นายท่าน เป็นอะไรไปคะ?”
เหมียวอี้ตบตรงเอวที่เดิมแขวนกระเป๋าสัตว์เอาไว้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “จู่ๆ เจียงอีอีก็ฝ่ากระเป๋าสัตว์ออกมา หนีไปแล้ว!”
มู่อวี่เหลียนตกใจทันที “นายท่านผนึกวรยุทธ์บนตัวเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ จู่ๆ เขาก็หนีออกมา พอข้าแทงกระบี่ออกไป ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ากระบี่ในมือข้าจะกลายเป็นฝุ่นในชั่วพริบตาเดียว เกือบจะตกหลุมพรางเขาซะแล้ว พอเขาแวบออกมาก็มุดลงดินหายไปเลย”
ทำไมเขาไม่เลือกคนอื่นมาเป็นแพะ ดันเลือกโจรราคะเจียงอีอีมาเป็นแพะ? ก็เพราะว่าเขาเคยเห็นกับตาตัวเองว่าเจียงอีอีมีความสามารถเปลี่ยนทองเป็นฝุ่น หนีเอาตัวรอดไปได้อย่างอิสระ
มู่อวี่เหลียนรีบหันมาออกคำสั่งทันที “ค้นหาให้ข้า!”
กำลังพลหลายหมื่นกระจายตัวกันค้นหาทันที ใช้พลังอิทธิฤทธิ์สำรวจลงไปใต้ดิน รีบค้นหาทั้งใกล้ทั้งไกล
ส่วนเหมียวอี้ก็ยืนอยู่บนภูเขาข้างๆ แล้วหยิบระฆังดาราออกมา ตอนนี้ติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว
อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้ากำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?
เหมียวอี้ : ข้าแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้เจ้าออกมาปรากฏตัวในร้านได้ พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้ถูกเจียงอีอีจับไป คืนความบริสุทธิ์ให้เจ้า!
อวิ๋นจือชิวอกสั่นขวัญแขวน : ที่เจ้าเรียกว่าแก้ไขปัญหาแล้วคืออะไร? เจ้าฆ่าฉู่จื่อซานแล้วเหรอ?
เหมียวอี้ : อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าเก็บเขาไว้?
อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : เจ้าฆ่าเขาแล้ว เจ้าจะอธิบายกับเบื้องบนยังไง?
เหมียวอี้ : ข้ามีวิธีการรับมือของข้าแล้วกัน พอแล้ว ไม่คุยแล้ว ข้ายังต้องแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลังอีก
จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อกับอวิ๋นจือชิวทันที ทำให้อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า แต่นางก็รู้เช่นกัน ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไว้ เหมียวอี้จะต้องแก้ไขปัญหาที่จะตามมาทีหลังแน่นอน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาระบายอารมณ์ใส่เหมียวอี้
ที่จริงกำลังพลหนึ่งหมื่นของฉู่จื่อซานก็ไม่ได้รบตายเสียทั้งหมด บางคนโดนลูกธนูดาวตกยิงจนบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้โดนยินจุดสำคัญจึงยังไม่ตาย กำลังถูกจับเอามารวมกันไว้
ลูกน้องคนหนึ่งหิ้วผู้บาดเจ็บคนหนึ่งขึ้นมา แต่โดนเหมียวอี้ยื่นมือขวางไว้ หลังจากบอกใบ้ให้เขาทิ้งคนเอาไว้ ก็โบกมือให้ลูกน้องไปทำงานของตัวเองต่อ ให้ส่งคนคนนี้ให้เขาจัดการเอง เขาหิ้วคนคนนั้นไปตรงที่ลับตาคน แล้วถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
ผู้บาดเจ็บตอบอย่างหวาดกลัวว่า “โจวหลาง!”
หลังจากถามจนรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว เหมียวอี้ก็คลายผนึกพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวเขา แล้วหยิบระฆังดาราสองอันออกมาลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเอง แล้วก็ยื่นให้อีกฝ่าย “ทิ้งวิธีการติดต่อเอาไว้”
ผู้บาดเจ็บอึ้งทันที ไม่รู้ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องการขอช่องทางการติดต่อของเขา แต่ในใจก็แอบยินดี ในเมื่อต้องการคงการติดต่อกับเขาเอาไว้ เช่นนั้นก็แสดงว่าจะไม่ฆ่าเขา
เขาย่อมรีบทำตามที่สั่ง หลังจากลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองเอาไว้บนระฆังดาราสองอัน ก็ยื่นอันหนึ่งให้เหมียวอี้ เมื่อเห็นเหมียวอี้พยักหน้ายอมรับแล้ว ตัวเองก็เก็บอีกอันหนึ่งเอาไว้ แต่ใครจะคิดว่าตอนที่เพิ่งจะเก็บของและยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ตรงหน้าก็มีแสงสะท้อนคมกระบี่วับวาบ คมกระบี่วิเศษฟันลงที่ศีรษะของเขาแล้ว
“ข้าเองก็ต้องหาช่องว่างให้ตัวเองรอดชีวิต ขออภัย!” เหมียวอี้เก็บกระบี่วิเศษ จ้องมองร่างที่ล้มลงพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันตัวเดินออกไป
หออวิ๋นฮว๋า พวกคนงานที่อยู่ในโถงหลักพลันเงียบลง ทุกคนมองไปที่จุดเดียวกัน มองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเนิบนาบออกมาจากโถงด้านหลัง โดยมีเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินตามมา
พวกช่างไม้รู้ตั้งนานแล้วว่านางไม่เป็นอะไร ยังดีหน่อย แต่คนงานที่เหลือดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เถ้าแก่เนี้ยไม่ได้โดนจับตัวไป ยังอยู่ในร้านตลอดเหรอ?
“แต่ละคนทำไมไม่ทำงานกันล่ะ มองจนตาค้างหมดแล้ว ไม่เคยเห็นข้าหรือว่าบนหน้าข้ามีดอกไม้งอกออกมา?” อวิ๋นจือชิวตะคอกเหมือนอย่างที่เคยทำ
พวกคนงานเคลื่อนไหวต่อทันที ความกังวลในใจหายไปแล้ว บนใบหน้ามรอยยิ้มแล้ว ทำงานของตัวเองต่อไป
อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะเดินมาถึงประตู จู่ๆ ก็เห็นช่างหินรีบร้อนเดินกลับมา พวกเขาแทบจะชนกันตรงประตู พอช่างหินเห็นเถ้าแก่เนี้ยก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำความเคารพ “เถ้าแก่เนี้ย”
อวิ๋นจือชิวเหล่ตามองคนงานร้านตรงข้ามที่โผล่หัวออกมาแล้วหดกลับเข้าไปในประตูเหมือนผี ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนตัวช่างหิน แลวตำหนิว่า “จะรีบร้อนเหมือนวิญญาณหลุดจากร่างทำไม?”
“เถ้าแก่เนี้ย ประตูเมืองทั้งสี่ปิดอีกแล้ว” ช่างหินตอบ
อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว “เกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วเหรอ?”
ช่างหินส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ ได้ยินแค่ว่าทางตำหนักคุ้มเมืองสั่งให้ปิดประตูเมืองทั้งสี่ บนหัวกำแพงเมืองก็ป้องกันเพิ่ม รายละเอียดเป็นยังไงก็ยังไม่แน่นอน”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก นำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินไปที่หัวถนนต่อ
ตอนนี้ผู้จัดการร้านอ้วนโผล่ออกมาจากประตูร้านตรงข้ามแล้ว เป็นคนที่ออกมาสืบข่าวในหออวิ๋นฮว๋าก่อนหน้านี้ เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง “เอ๋! เถ้าแก่เนี้ย ออกมาเดินตลาดเหรอ?” ขณะที่พูดก็เดินอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “ถ้าไม่โผล่หน้าออกมาเดินที่ตลาดสวรรค์ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมากมายขนาดไหนก่นด่าข้าน่ะสิ ทีแรกอยากจะฝึกวิชาอย่างสงบใจ ใครจะคิดล่ะว่าจะมีเรื่องวุ่นวายใจ”
ผู้จัดการร้านอ้วนกล่าวกลั้วหัวเราะ “จะเป็นไปได้ยังไง เถ้าแก่เนี้ยมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับทุกคน อยู่ดีๆ เขาจะมาด่าท่านทำไมล่ะ”
“งั้นเหรอ?” อวิ๋นจือชิวเหล่ดวงตางามมองเขา “แล้วทำไมข้าได้ยินคนงานในร้านบอกล่ะว่า ผู้จัดการร้านวิ่งมาในร้านข้าแล้วบอกว่าข้าโดนโจรราคะเจียงอีอีจับตัวไปแล้ว? ท่านพูดแบบนี้ตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงข้าใช่มั้ย ข้าจะนั่งติดที่ได้ยังไงล่ะ ก็ต้องรีบออกมาเดินสักหน่อยสิ”
“ดูพูดเข้าสิ คนงานร้านท่านฟังผิดแน่ๆ” ผู้จัดการร้านอ้วนหัวเราะแห้งๆ เอามือลูบจมูกอย่างเก้อเขิน เย่อี้ยืนยันต่อหน้าแล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าคือเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิวแห่งหออวิ๋นฮว๋าจริงๆ จึงไม่หาเรื่องใส่ตัวอีก หาข้ออ้างหนีทันที “ในร้านข้ายังมีงานอีกนิดหน่อย เถ้าแก่เนี้ย ท่านทำธุระของท่านไปเถอะ ข้าอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว”
พอผู้จัดการร้านอ้วนออกไปแล้ว ผู้จัดการร้านของร้านอีกสองฝั่งก็เข้ามาทักทายไม่หยุด อวิ๋นจือชิวรับมือแต่ละคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ข่าวที่ก่อนหน้านี้อวิ๋นจือชิวโดนโจรราคะเจียงอีอีจับตัวแพร่กระจายออกไปแล้ว ตอนนี้ข่าวก่อนหน้านี้กลายเป็นข่าวลือ ข่าวที่เถ้าแก่เนี้ยหออวิ๋นฮว๋ายังไม่ถูกโจรราคะเจียงอีอีจับไปแพร่กระจายไปอีกแล้ว
ตอนที่ข่าวแพร่ไปถึงตำหนักคุ้มเมือง เย่อี้ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ที่อยู่ในตำหนักคุ้มเมืองกำลังเดินไปเดินมาอย่างว้าวุ่นใจในสวนดอกไม้ด้านหลัง บนใบหน้ามีความวิตกกังวล
ไม่ให้เขากังวลไม่ได้หรอก จู่ๆ ก็ได้รับแจ้งจากเบื้องบน บอกว่าบริเวณดาวจิ่วหวนมีกำลังพลไม่ทราบกลุ่มล้อมโจมตีหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงรวมทั้งกำลังพลที่ติดตาม เย่อี้ถามว่าใครกันที่ใจกล้าขนาดนั้น ทว่าเบื้องบนไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร บอกเพียงว่าลูกน้องของฉู่จื่อซานรายงานว่าเหมือนจะเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ตอนนี้กำลังรายงานขึ้นไปทีละระดับเพื่อให้ทางตำหนักสวรรค์ยืนยันว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ส่วนสถานการณ์อย่างอื่นก็ยังไม่รู้ เพียงบอกให้ฝั่งนี้เตรียมเพิ่มการป้องกันเหตุไม่คาดคิดเอาไว้
จากนั้นเย่อี้ก็ติดต่อลูกน้องคนสนิทของฉู่จื่อซานเพื่อถามสถานการณ์ แต่ใครจะคิดว่าติดต่อไม่ได้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตายไปแล้ว แบบนี้จะทำให้ตนสงบใจได้อย่างไร จึงรีบออกคำสั่งปิดประตูเมืองทั้งสี่ของตลาดสวรรค์ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด!
…………………………