ศีลแปดที่หลบอยู่ด้านหลังหน้าต่างอ้าปากค้าง ถูกทำให้ตกใจเช่นเดียวกัน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นโครงกระดูกมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นหนังย่นหุ้มกระดูกแบบนี้เดินได้มาก่อน ศีรษะที่แห้งกรังกำลังขยับ ลูกตาในเบ้าตาที่กลวงลึกแบ่งแยกขาวดำชัดเจน แต่พอมารวมอยู่ด้วยกันแล้วก็บอกไม่ถูกว่าสยดสยองขนาดไหน
พอเปิดผ้าสีแดงแล้วเห็นอะไรแบบนี้ มองเห็นชัดเจนตอนกลางวันแสกๆ น่ากลัวมาก มีคนไม่น้อยสูดหายใจอย่างตกตะลึง คนเป็นๆ คนหนึ่งทำไมกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ เป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่?
ปีศาจโลหิตเหมือนจะมองอะไรบางอย่างออกจากสายตาของทุกคน เงยหน้าช้าๆ มองดูสองมือของตัวเอง มันเหมือนตีนไก่ยิ่งกว่าอะไรเสียอีก แม้แต่ตัวเองยังรับไม่ค่อยได้ ปีศาจก็ดี มารก็ดี มนุษย์ที่ไหนก็รักสวยรักงามทั้งนั้น
นางเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ แต่ไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำแบบนี้นางก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ความเป็นความตายในแดนฝึกตนไม่มีความเมตตา แต่ละคนล้วนทำไปเพื่อให้ได้ยืนมองหมิ่นสรรพสิ่งอยู่บนจุดสูงสุด ชีวิตคือสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด คนที่รอดมาได้มักปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างโหดร้ายอยู่เสมอ ตอนปฏิบัติต่อตัวเองก็ไม่ได้อ่อนโยนสักเท่าไร ถ้าไม่สู้สุดชีวิตก็อยู่ไม่รอด
ดวงตาในเบ้าตาฉายแววเย็นเยียบ กวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าหน้าตาน่าเกลียดมากใช่มั้ย?”
“นางอัปลักษณ์! เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่?” หูลี่ฮวาควงดาบตะคอกถาม
“นางอัปลักษณ์?” ปีศาจโลหิตหัวเราะแห้งๆ ในเสียงหัวเราะปนด้วยความโกรธอย่างที่ยากจะปิดบัง แล้วจู่ๆ มีเสียงดังพรึ่บ ผ้าไหมแดงเส้นหนึ่งยิงเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับหนวดปลาหมึก
ทุกคนตกใจมาก หูลี่ฮวาก็ยิ่งตื่นตระหนก อีกฝ่ายลงมือเร็วเกินไปจริงๆ เร็วจนนางหลบไม่ทัน นางยกดาบฟันมั่วๆ แต่พอโดนผ้าไหมแดงสะบัดใส่ ดาบก็ถูดปัดกระเด็นออกไปพร้อมเสียงดังปั้ง จากนั้นก็รู้สึกตึงแน่นร่างกาย ยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนผ้าไหมแดงรัดแน่นและดึงเข้ามาแล้ว
ชั่วพริบตาเดียว หูลี่ฮวาก็เผชิญหน้าอยู่กับปีศาจโลหิตที่สยดสยองน่ากลัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าวรยุทธ์ของทั้งสองต่างกันมาก หูลี่ฮวาที่ขยับตัวไม่ได้หวาดกลัวถึงขีดสุด กล่าวขอร้องว่า “โปรดไว้ชีวิต… ช่วยข้าด้วย!” ตะโกนประโยคสุดท้ายบอกคนของตัวเอง
ปีศาจโลหิตพลิกฝ่ามือถือน้ำเต้าโลหิตออกมา ค้างคาวโลหิตตัวหนึ่งยัดอยู่ตรงปากน้ำเต้า หน้าตาเหมือนน้ำเต้าโลหิตที่โดนเหมียวอี้ทำลายไปในปีนั้น
ค้างคาวไม่ใช่เครื่องประดับ แต่เป็นสัตว์มีชีวิต มันบิดหัวเผยฟันแหลมร้อง ‘จี๊ดๆ’ สองคำ แล้วจู่ๆ ก็พุ่งตัวออกมาราวกับสายฟ้า ฟันแหลมเต็มปากกัดที่คอของหูลี่ฮวาจนเป็นแผลเลือด ในขณะที่โดนผ้าไหมแดงรัดคออยู่ น้ำเลือดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากคอของหูลี่ฮวา
เห็นได้ชัดว่าน้ำเต้าโลหิตมีแรงดึงดูดกลุ่มหนึ่ง น้ำเลือดไม่หยดลงพื้น เพราะมันดูเลือดที่พุ่งจากคอของหูลี่ฮวาเข้าไปจนหมด ที่คอของหูลี่ฮวามีเลือดพุ่งไม่หยุด น้ำเต้าโลหิตก็ดูดซับไม่หยุดเช่นกัน หูลี่ฮวาซูบซีดลงเร็วมากจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า ค้างคาวโลหิตบินวนไปวนมาอยู่บนท้องฟ้า
ทุกคนตกใจกลัวไม่หาย แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเหลือ ได้แต่มองหูลี่ฮวาสิ้นชีวิตไปโดยทำอะไรไม่ได้ เป็นเพราะปีศาจโลหิตเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นเจ็ดตรงหว่างคิ้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นไม่มีใครวรยุทธ์บงกชทองสักคน เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่ที่วรยุทธ์สูงสุดก็มีแค่บงกชม่วงขั้นหกเท่านั้น
ศีลแปดที่หลบอยู่ข้างหลังหน้าต่างปิดปากเงียบกริบ เขาหันไปมองข้างหลัง อยากจะหนีแต่ก็ไม่กล้าหนี เมื่ออยู่ภายใต้คนที่วรยุทธ์ระดับนี้ เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะหนีพ้นเลย
“หนี!” เจ้าบ้านใหญ่หลันเหย่พลันตะโกน ทุกคนหนีกระจัดกระจายเหมือนนกตื่นธนูทันที
พรึ่บๆ! ผ้าไหมแดงหลายสิบเส้นยิงออกจากตัวปีศาจโลหิต กระจายไปทั่วทุกทิศ ราวกับปลาหมึกที่มีหนวดสัมผัสงอกเต็มไปหมด มันลอยไปดึงคนที่กำลังหนีกลับมาได้อย่างง่ายดายเหมือนเอามือล้วงหยิบของในกระเป๋า ชั่วพริบตาเดียวก็ดึงกลับมาได้แล้ว ดึงเข้ามาใกล้โดยมีปีศาจโลหิตเป็นศูนย์กลาง!
“ท่านเซียนได้โปรดไว้ชีวิต…” กลุ่มคนร้องขอชีวิตอย่างตื่นตระหนก
แต่กลับเห็นค้างคาวโลหิตที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าพุ่งตัวใส่กลุ่มคน บินเข้ามากัดเส้นเลือดตรงคอของพวกเขาจนขาด จมูกที่ลีบแบนของปีศาจโลหิตขยับเล็กน้อย ใช้ความสามารถในการดมกลิ่น แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวชายหญิงคู่หนึ่ง พรึ่บๆ ทั้งสองถูกดึงเข้ามาตรงหน้านางทันที
ปากเหี่ยวที่มีฟันขาวอยู่ข้างในอ้าออก บนคอของชายหญิงคู่นั้นมีเลือดพุ่งออกมาสองสาย และกรอกเข้าไปในปากนางโดยตรง ไหลลงท้องนางไปแล้ว
ชายหญิงคู่นั้นเหี่ยวลีบลงเร็วมาก แต่ปีศาจโลหิตกลับมีเนื้อมีหนังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันเลือดจากคอคนอื่นก็พุ่งออกมา และโดนน้ำเต้าโลหิตดูดเก็บเข้าไปแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ปีศาจโลหิตก็กลับมาสวยสดใสหยาดเยิ้มอีกครั้ง อาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ฟื้นตัวแล้ว กลายเป็นผู้หญิงสวยงดงดงามคนหนึ่ง สภาพน่าหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ไม่มีทางเทียบติด เป็นภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมาก
ท่ามกลางสียงร้องโหยหวน ศีลแปดที่หลบอยู่ด้านหลังหน้าต่างจนใจจนตัวสั่นงันงก วางมือข้างหนึ่งกัดไว้ในปาก ไม่กล้ามองดูต่อแล้ว นั่งยองๆ ลงอย่างเนิบช้า
ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลังแล้ว พบว่าคนของพิภพใหญ่โหดเกินไปจริงๆ ไม่น่าดื้อกับพี่ใหญ่แล้วเพ่นพ่านไปทั่วแบบนี้เลย ตอนนี้ต่อให้อยากหนีแต่ก็ไม่กล้านี้ ชัดเจนมากแล้ว อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่มีทางหลบหนีผ่านหนังตาของอีกฝ่ายได้เลย
สายตาพลันไปหยุดอยู่บนศพหลายร่างของพระสงฆ์ กลอกตาล่อกแล่กไปมาแล้วกัดฟัน เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ ฉวยโอกาสที่ข้างนอกกำลังมีเสียงกรีดร้องโหยหวน เจ้าบ้านี่รีบหยิบมีดสั้นออกมาด้ามหนึ่ง คิดจะแทงตัวเองสักสองที แต่ชูมีดขึ้นมาสองครั้งแล้วก็ยังทำไม่ลง ถ้าจะให้ใช้มีดตัดต้นขาตัวเองเหมือนพี่ใหญ่ที่หุบเขาเพลิงนภาในปีนั้น เขาก็ทำไม่ไหวจริงๆ เขาเป็นคนที่ค่อนข้างรักตัวกลัวตาย แต่ไหนแต่ไรก็ยึดถือหลักการ ‘ให้เพื่อนตายก่อน แต่อาตมาต้องไม่ตาย’ ทำเรื่องโหดร้ายกับตัวเองไม่ไหว
เขารีบเก็บมีดสั้น แล้วนำโซ่เส้นหนึ่งมามัดตัวเองเอาไว้ แล้วล้มตัวลงนอนเงียบๆ อยู่ในกองเลือดข้างศพพวกนั้น จากนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ระงับวรยุทธ์ของตัวเอง ทำท่าเหมือนโดนจับมาทรมาน นอนรอการตัดสินของโชคชะตาอยู่อย่างนั้น ดูว่าจะอยู่รอดไปได้หรือเปล่า
ในที่สุดเสียงร้องโหยหวนในลานวัดก็เงียบลง ผ้าไหมแดงหดกลับมาจากทั่วสารทิศผืนแล้วผืนเล่า ศพหลายศพแห้งเหี่ยวล้มลงพื้นเหมือนกับสภาพของปีศาจโลหิตก่อนหน้านี้ น้ำเต้าโลหิตที่อยู่ในมือนางหมุนวนกวาดพื้น กวาดเก็บศพทุกร่างเข้าไปในน้ำเต้าโลหิต แม้แต่ศพของพระสงฆ์พวกนั้นก็ไม่ปล่อยให้เสียของเหมือนกัน
การหลอมสร้างค่ายกลมารโลหิตขึ้นมาใหม่ ไม่รู้ว่าต้องใช้กี่ชีวิตมาเสริมชดเชย ศพพวกนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้
ปีศาจโลหิตที่กลับสู่สภาพเดิมแล้วกวาดดวงตางามมองไปรอบๆ นางได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาจากในวิหารใหญ่ จึงถลันตัวเข้าไปในนั้น ค้างคาวโลหิตก็บินตามไปเช่นกัน เมื่อเห็นศพหลายร่างในวิหารใหญ่ นางก็หยิบน้ำเต้าโลหิตออกมาเก็บทันที
นางถือน้ำเต้าโลหิตเดินตามกลิ่นคาวเลือดเข้าไปในวิหารด้านข้าง พอกวาดตามองแวบหนึ่งก็อึ้งทันที เห็นเพียงพระรูปหนึ่งโดนมัดอยู่ท่ามกลางศพพระรูปอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สวมจีวรสีเทาเหมือนพระสงฆ์ที่เหลือ แต่เป็นสีขาวนวล ทั้งยังมีชีวิตอยู่ด้วย
ศีลแปดเงยหน้ามองนาง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “อามิตาพุทธ วัดจิตสงบไม่แย่งชิงเรื่องทางโลก สมาคมดอกกล้วยไม้ของพวกเจ้ายกดาบสังหาร ไม่กลัวตกนรกอเวจีเชียวหรือ?”
ที่จริงในใจเขายังหวาดกลัวไม่หาย แต่ฝีมือการวางมาดสง่าภูมิฐานนั้นฝึกมาจนยอดเยี่ยมไร้เทียมทานแล้ว พรสวรรค์นี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบติด ดังนั้นภายนอกจึงสงบใจเย็นมาก
ปีศาจโลหิตไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร แต่มองออกแล้วว่าพระรูปนี้คือพระของวัดนี้ อย่างน้อยศีรษะโล้นนั่นก็ไม่ได้ดูเหมือนเพิ่งโกน นางไม่ได้พูดอะไรอีก ถือน้ำเต้าโลหิตดูดก็บศพที่อยู่ข้างซ้ายและขวาของศีลแปด พอยกมือขึ้น ค้างคาวโลหิตก็บินกลับมาเป็นจุกปิดปากน้ำเต้า แล้วพลิกมือเก็บน้ำเต้าโลหิตเอาไว้
จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงศีลแปดขึ้นมา หลังจากมองดูใบหน้าของศีลแปดตรงๆ ปีศาจโลหิตก็ชะงักงัน ในดวงตาฉายแววตกตะลึง ช่างเป็นพระสงฆ์ที่สง่างาม โดยเฉพาะลักษณะท่าทางที่ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องเหนือคนธรรมดา ยิ่งมองยิ่งสบายใจ การปล่อยให้เลือดเปื้อนจีวรของเขาช่างเป็นการดูหมิ่นจริงๆ…
“โยม อยากสังหารก็สังหารเถิด อย่าคิดว่าอาตมาจะก่อเวรก่อกรรมเพื่อสมาคมดอกกล้วยไม้ของพวกเจ้า” ศีลแปดกล่าวแล้วถอนหายใจเบาๆ
ปีศาจโลหิตที่จ้องไม่ละสายตาได้สติกลับมา แล้วเดินเขาไปวางมือบนบ่าของเขา พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบ ก็พบว่าโดนคนระงับวรยุทธ์ จึงใช้ฝ่ามือตบหน้าอกของศีลแปดหนึ่งที ปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์อันแข็งแกร่งพุ่งชน แล้วดึงโซ่ที่มัดศีลแปดโยนลงพื้น จ้องศีลแปดพร้อมกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าไม่ใช่คนของสมาคมดอกกล้วยไม้ เพียงผ่านมาที่นี่ เห็นมีคนมาทำชั่วหยามหมิ่นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ จึงลงมือกวาดล้าง”
ลงมือกวาดล้างคือคำโกหก แต่นางไม่สู้กับคนของตำหนักสวรรค์และคนของศาสนาพุทธคือเรื่องจริง นอกเสียจากจะจำเป็นและไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นถ้าไปแตะต้องคนของสองแดนนี้ ก็จะไปเตะโดนเหล็กแข็งเอาได้ง่ายๆ ถ้าก่อปัญหาใหญ่ขึ้นมาจะเอาตัวไม่รอด
“อามิตาพุทธ ที่แท้ก็ได้พบพระโพธิสัตว์หญิงแล้ว” ศีลแปดประนมมือขอบคุณ “ประเสริฐแท้! ประเสริฐแท้!”
คำชมนี้ทำให้ปีศาจโลหิตรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย มือตัวเองเปื้อนเลือดมาไม่รู้ตั้งเท่าไร เป็นครั้งแรกที่ถูกคนมองว่าเป็นพระโพธิสัตว์ จึงถามว่า “ไต้ซือเป็นใครกัน?”
“อาตมาคือศีลแปด เป็นเจ้าอาวาสของวัดจิตสงบแห่งนี้” ศีลแปดตอบ
“ที่แท้ก็เป็นเจ้าอาวาส…” ปีศาจโลหิตพยักหน้า มิน่าล่ะการแต่งตัวจึงดูพิเศษกว่าพระทั่วไปของวัดนี้ แต่ก็ยังถามด้วยสีหน้าสงสัยว่า “ทำไมบนตัวไต้ซือมีกลิ่นสุราล่ะ?”
ศีลแปดหัวใจกระตุกวูบ ร้องในใจว่าซวยแล้ว ทำไมลืมไปได้ว่าตัวเองดื่มสุรามา?
แต่เขาก็ยังทำสีหน้าเหมือนเดิม ตอบอย่างจนใจว่า “พวกสมาคมดอกกล้วยไม้บังคับให้อาตมาทำเรื่องชั่วกับพวกเขา อาตมาไม่ยอม พวกเขาก็เลยกรอกสุรายัดเนื้อเข้าปากอาตมา อาตมาจะได้ผิดศีลทำชั่วกับพวกเขา หารู้ไม่ว่าสำหรับอาตมาแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสุราและเนื้อที่ผ่านลำไส้เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้ากลับประทับอยู่ในใจ!”
“ไต้ซือช่างมีความคิดที่เหนือชั้น!” ปีศาจโลหิตพยักหน้ายิ้ม พูดจบก็รู้สึกแปลกนิดหน่อย ทำไมตัวเองถึงมาพูดสรรเสริญเยินยอพระสงฆ์รูปนี้ได้?
ศีลแปดเดินเฉียดผ่านนางไปด้วยสีหน้าสงบใจเย็น เดินมาถึงวิหารใหญ่ด้านนอก พอสายตาเหลือบไปเห็นถ้วยและตะเกียบสี่ชุดบนโต๊ะสุรา เขาก็เลิกคิ้วทันที รีบเดินไปบดบังเอาไว้ข้างหลังตัวเอง ประนมมือขอภัย แล้วโบกมือหวาดทำลายของบนโต๊ะทั้งหมดทิ้งไป
พอหันไปมองพระพุทธรูปที่ชำรุดอยู่เบื้องบน เขาก็ประนมมือสวดมนต์อยู่พักหนึ่ง สงบใจสวดด้วยท่าทางจริงจัง
ปีศาจโลหิตเดินตามอยู่ข้างหลัง ความระมัดระวังตัวในใจหายไปแล้วเช่นกัน มั่นใจว่าท่านนี้คือพระจริงๆ อย่างน้อยถ้าไม่เคยอ่านคัมภีร์มาก่อน ก็คงไม่มีทางสวดมนต์ได้คล่องขนาดนี้หรอก ไม่ได้แกล้งทำชั่วคราวแน่นอน
จากนั้นศีลแปดก็เดินออกจากวิหารใหญ่ เดินวนตรวจดูทั่ววัดอย่างชำนาญตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับวัดมาก ปีศาจโลหิตที่เดินตามอยู่ข้างหลังก็ยิ่งมั่นใจว่าศีลแปดคือพระของวัดนี้จริงๆ
เมื่อเดินดูตามที่ต่างๆ แล้วไม่เจอใครสักคน ศีลแปดก็เดินออกจากประตูใหญ่ของวัด เงยหน้ามองป้าย ‘วัดจิตสงบ’ ถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ไม่มีใครรอดชีวิตสักคนเลยหรือ?”
ปีศาจโลหิตยืนมองเขาเงียบๆ อยู่ไม่ไกล ในใจรู้สึกสงบ ลืมเรื่องบุญคุณความแค้นไปแล้ว…