ณ ร้านค้าสมาคมวีรชน ปีศาจโลหิตกลับมา หวงฝู่จวินโหรวที่รออยู่ในศาลากลางน้ำเห็นแล้วถามว่า “ทำสำเร็จแล้วรึยัง?”
ปีศาจโลหิตส่ายหน้า “พลาดค่ะ”
“โดนคนของปราสาทดำเนินนภาขัดขวางเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
คนที่นางเรียกให้ไปช่วยปีศาจโลหิตกลับมาแล้ว รู้ว่ามีคนของปราสาทดำเนินนภาอยู่ข้างกายเหมียวอี้
ปีศาจโลหิตขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับปราสาทดำเนินนภา เป็นเพราะข้าประเมินไอ้จัญไรนั่นต่ำไป วิชาทวนยอดเยี่ยมมาก ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะโดนเขาทำร้ายจนบาดเจ็บ เกือบต้องไปตายด้วยน้ำมือเขา”
“จะเป็นไปได้ยังไง? วรยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าเขาไม่ใช่น้อยๆ!” หวงฝู่จวินโหรวตกใจ
จนกระทั่งปีศาจโลหิตเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้ฟัง หวงฝู่จวินโหรวก็เงียบไปครู่หนึ่ง พบว่าตัวเองประเมินเหมียวอี้ต่ำไปเหมือนกัน พบว่าเจ้าบ้านี่ไม่ใช่แค่เจ้าเล่ห์ แต่มีความสามารถจริงๆ ไม่ได้อาศัยของวิเศษอะไรช่วย เมื่อเอาจริงขึ้นมา ก็อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งทำร้ายปีศาจโลหิตที่วรยุทธ์ระดับบงกชทองขั้นเจ็ดจนบาดเจ็บได้ มิน่าล่ะถึงหยิ่งไม่ยอมแต่งงานเข้าตระกูลหวงฝู่ พอนึกถึงเรื่องนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เขาบอกว่าถ้าไปแล้วจะไม่กลับมาอีก เขาไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะหาเขาพบ” ในน้ำเสียงเจือด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ปีศาจโลหิตนึกว่านางเสียดายที่ฆ่าเหมียวอี้ไม่สำเร็จ ตัวเองก็รู้สึกเสียดายมากเช่นกัน เป็นความผิดพลาดของตนโดยแท้ ไม่อย่างนั้นต่อให้จับตัวเป็นๆ ไม่ได้ ต่อให้ตายก็ต้องจับให้สำเร็จ “นอกเสียจากจะหลบไม่ยอมออกมา ไม่อย่างนั้นในใต้หล้าก็มีคนของสมาคมวีรชนของพวกเราอยู่ทั่ว ต้องหาเขาพบอยู่แล้ว ถ้าได้ข่าวของเขา รบกวนเถ้าแก่น้อยส่งข่าวให้รู้สักหน่อย”
“ส่งข่าวเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวงุนงง “เจ้าจะไปแล้วเหรอ?”
ปีศาจโลหิตจะไปแล้วจริงๆ ทั้งยังรีบร้อนมากด้วย หลังจากอธิบายเรื่องบางอย่างให้ชัดเจนแบบต่อหน้าไปแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ต่อเลย กล่าวอำลาทันที ถึงขั้นไม่อยากคุยเรื่องเหมียวอี้เยอะด้วย เหมือนมีเรื่องอะไรที่เร่งด่วนกว่านั้น สิ่งนี้ทำให้หวงฝู่จวินโหรวแปลกใจอยู่บ้าง เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ปีศาจโลหิตก็เอาแต่คิดเรื่องที่ตัวเองเสียยาเม็ดโลหิต…
ณ สถานที่ไร้ระเบียบ ปราสาทดำเนินนภา ภูเขาเซียนเลื่อนลอย ยอดเขาสูงเทียมเมฆปรากฏให้เห็นรางๆ ตอนพระอาทิตย์ขึ้นแสงสีทองหมื่นจั้งปูคลุมทะเลเมฆ
เมื่อเข้ามาในภูเขาเซียน ศาลาแต่ละแห่งที่อยู่ระหว่างภูเขาก็โดดเด่นสะดุดตา สงบเงียบน่าอยู่ ระหว่างทางเดินของดินแดนที่คล้ายกับสรวงสวรรค์ เห็นผู้ชายและผู้หญิงไม่น้อยคำนับจงหลีค่วย เรียกเขาว่าอาจารย์อาบ้าง อาจารย์ลุงบ้าง ลูกศิษย์ในภูเขาที่เห็นคนแปลกหน้าอย่างเหมียวอี้พากันประหลาดใจ
จงหลีค่วยพาเหมียวอี้มาที่ใต้หน้าผาแห่งหนึ่ง น้ำตกไหลตกกระทบกันหลายชั้น มันไหลยาวเหยียดคดเคี้ยวลงจากยอดเขาสูงหลายสิบจั้งราวกับมังกรหยก น่าตื่นตาตื่นใจมาก และบนน้ำตกนั้น มีสะพานโค้งวางพาดในแนวขวาง ประณีตยิ่งกว่าเนรมิต
ภายใต้การแนะนำของจงหลีค่วย ทั้งสองเหาะขึ้นไปบนนั้นด้วยกัน ไปเหยียบลงบนสะพานโค้งเหนือน้ำตก เมื่อมาถึงตรงนี้ถึงได้พบว่าเห็นอะไรได้เยอะกว่าตอนอยู่ข้างล่าง ด้านบนมีตำหนักอยู่หลังหนึ่ง
บนรั้วของสะพานมีรูปสลักของสัตว์ประหลาดหลายตัวตั้งอยู่ รูปร่างแปลกประหลาด สมจริงราวกับมีชีวิต ส่วนตำหนักที่อยู่ตรงหน้าก็ดูโบราณเรียบง่าย ที่นี่คือตำหนักคุมงาน ไม่ใช่สถานที่ที่ประมุขปราสาทรักษาการณ์
เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา ส่วนจงหลีค่วยก็โบกมือบอกว่า “ไปเยี่ยมคารวะรองเจ้าสำนักก่อน เดี๋ยวค่อยมาเดินชมก็ยังไม่สาย”
เหมียวอี้พยักหน้าแล้วเดินตามไป ก่อนหน้านี้จงหลีค่วยบอกเอาไว้แล้ว เหวินหวนเจินประมุขปราสาทดำเนินนภากับผู้อาวุโสอีกหลายท่านที่มีพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพไม่สนใจโลกภายนอกมาตั้งนานแล้ว เก็บตัวฝึกตนมาโดยตลอด ถ้าไม่มีธุระสำคัญก็จะไม่ออกจากการเก็บตัวฝึกตน ธุระต่างๆ ในปราสาทล้วนส่งต่อให้หัวหน้าศิษย์ฝูเสี่ยนจัดการ เขาคือรองเจ้าสำนักที่จงหลีค่วยเรียก และเป็นอาจารย์ของจงหลีค่วยเช่นกัน
เดิมทีเหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์เข้าพบศิษย์รองเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภาเลย เป็นเพราะตอนนี้ปราสาทดำเนินนภากับร้านขายของชำซื่อตรงทำงานร่วมกัน และเหมียวอี้ก็เป็นหนึ่งในหุ้นส่วน เขาถึงได้มาพบกับเหมียวอี้เป็นกรณีพิเศษ
ด้านนอกตำหนักไม่มีคนเฝ้า หลังจากได้รับรายงานแล้ว ชายวัยกลางคนที่สีหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งก็เดินออกมา ไม่ได้ดูน่าเกรงขามอะไร หน้าตาธรรมดาสามัญ เป็นประเภทที่ถ้ารวมกลุ่มอยู่กับคนอื่นจะไม่โดดเด่นสะดุดตา ดูอายุน้อยกว่าจงหลีค่วย แต่จงหลีค่วยเห็นเขาแล้วก็กุมหมัดคารวะทันที “ท่านอาจารย์!”
เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ ก็ไม่ต้องอธิบายถึงฐานะของผู้ที่มาแล้ว เหมียวอี้กุมหมัดคารวะทันที “ผู้น้อยหนิวโหย่วเต๋อคารวะรองเจ้าสำนัก”
“แขกคนสำคัญมาเยือน ข้าเสียมารยาทที่ไม่ได้เข้าไปต้อนรับใกล้ๆ ไม่ต้องมากพิธีหรอก เชิญข้างใน!” ฝูเสี่ยนยิ้มพร้อมยื่นมือเชิญ เหมียวอี้เองก็ไม่ได้มีหน้ามีตาใหญ่โตอะไร อีกฝ่ายเห็นแก่หน้าร้านขายของชำซื่อตรง
หลังจากกล่าวทักทายกันตามมารยาท ทั้งสองก็ไม่ค่อยมีอะไรให้คุยกันเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์หรือระดับ ถึงอย่างไรทั้งสองก็ต่างกันมาก เหมียวอี้เองก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเสียเวลา จึงนำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งยื่นให้ฝูเสี่ยน นี่คือป้ายคำสั่งของอวี้ซวีเจินเหริน ผู้ซึ่งรักษาการณ์ร้านขายของชำซื่อตรง เหมียวอี้บอกเขาว่า ปราสาทดำเนินนภาสามารถส่งคนไปลงนามสัญญาการซื้อขายที่ร้านขายของชำซื่อตรงได้ทุกเมื่อ ถ้าถือป้ายคำสั่งนี้ไป ไม่ว่าจะเข้าไปทำการค้าที่สาขาใดของร้านขายของชำซื่อตรง ก็ล้วนได้รับการอำนวยความสะดวกและสิทธิพิเศษ
ป้ายคำสั่งนี้ เหมียวอี้เป็นคนขอมาจากอวี้ซวีเจินเหริน ในเมื่อสำนักลมปราณคบค้ากับปราสาทดำเนินนภาแล้ว จะไม่แสดงน้ำใจสักหน่อยได้อย่างไร ต้องได้รับน้ำใจก่อน ถึงจะเกิดความสนิมสนมกัน
การกระทำที่ไว้หน้ากัน ไม่ว่าใครก็ชอบใจทั้งนั้น มิหนำซ้ำ ของเบ็ดเตล็ดที่ลูกศิษย์ปราสาทดำเนินนภาหามาได้ในแต่ละปี ถ้าจะจัดการแบ่งประเภทขึ้นมาก็ยุ่งยากจริงๆ เมื่อมีร้านขายของชำซื่อตรงคอยช่วย ต่อไปนี้ก็เว้นช่วงไว้จัดการรวมกันครั้งเดียวก็พอแล้ว แบบนี้ช่วยให้ลูกศิษย์ในสำนักลดภาระยุ่งยากไปไม่น้อย รองเจ้าสำนักอย่างเขานับว่าได้ทำเรื่องดีๆ แล้ว
ดังนั้นฝูเสี่ยนจึงดีใจมาก มองไปที่จงหลีค่วยพลางพยักหน้าเบาๆ รู้สึกว่าครั้งนี้ลูกศิษย์ของตัวเองออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ได้ดี เรื่องนี้ทำเอาจงหลีค่วยละอายใจ เพราะที่จริงเขาไม่ได้ไปทำอะไรที่ที่ร้านขายของชำซื่อตรงเลย
ที่จริงฝูเสี่ยนยังไม่ค่อยเข้าใจร้านขายของชำซื่อตรงเท่าไร มีช่องทางจัดหาสินค้าที่มั่นคงเพิ่มขึ้นมา นับเป็นเรื่องดีสำหรับร้านขายของชำ นี่คือเรื่องที่ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ตอนหลังก็ย่อมรู้เอง แต่การได้ป้ายคำสั่งของอวี้ซวีมา ก็นับว่าเป็นการไว้หน้าปราสาทดำเนินนภาจริงๆ
นอกจากพูดจาตามมารยาทกับเหมียวอี้นิดหน่อย อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรให้คุยกันแล้ว จากนั้นก็ให้คนพาเหมียวอี้ไปพักผ่อน เหลือแค่จงหลีค่วยที่อยู่คุยกับเขา
เรือนพักรับรองแขกสวยและเงียบสงบ สภาพแวดล้อมก็ไม่เลว หลังจากเหมียวอี้ได้อยู่เงียบๆ คนเดียว ก็ไม่มีอารมณ์จะเดินดูรอบๆ แล้ว เขานั่งอยู่คนเดียวในศาลา นึกย้อนไปถึงภาพตอนที่ตัวเองต่อสู้กับปีศาจโลหิต
ก่อนหน้านี้จิงชี่เสินยังไม่ฟื้นตัวกลับมา แต่ตอนนี้มีสมาธิครุ่นคิดให้ละเอียดแล้ว กำลังคิดวนไปวนมาว่าจุดสีดำที่เกิดตอนใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารคืออะไร จากที่จงหลีค่วยบอก จุดสีดำนั่นมีอานุภาพเยอะมาก ขนาดวรยุทธ์อย่างจงหลีค่วย กว่าจะต้านทานได้ยังเปลืองพลังไปเยอะมาก
เขาอยากจะลองใช้ดูอีกสักครั้ง แต่ถ้าใช้กระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารอีก เขาก็คงจะไร้เรี่ยวแรงและทำอะไรไม่ได้ไปสักระยะหนึ่ง ไม่เป็นผลดีกับการตามหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานในครั้งนี้
ในมือเขามียาเม็ดโลหิตที่ใช่ฝึกตนได้ เดิมทีคิดไว้ว่าหลังจากส่งเยารั่วเซียนมาที่พิภพใหญ่แล้ว เขาก็จะสงบจิตสงบใจฝึกฝน ทุ่มเทกำลังและจิตใจไปกับการเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงขึ้น เป็นเพราะเรื่องเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผน
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จงหลีค่วยก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่ตอนไหน ถามว่า “กำลังคิดอะไรอยู่?”
เหมียวอี้หันไปมองแวบหนึ่ง แล้วยืนขึ้นถามด้วยรอยยิ้มม “ไม่มีอะไร! พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไรล่ะ?”
จงหลีค่วยรู้ว่าเขากำลังถามอะไร ตอบอย่างลังเลว่า “เกรงว่าต้องรออีกประมาณครึ่งเดือน”
“รอเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจ “รออะไร?”
จงหลีค่วยถามกลับว่า “ยังจำพวกมารปีศาจที่หนีรอดไปตอนที่ข้าแย่งแผนที่มาได้มั้ย?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วพยักหน้าช้าๆ “จำได้ อย่าบอกนะว่ามีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น?”
จงหลีค่วยนั่งลง “รองเจ้าสำนักสงสัยว่ามีข่าวเรื่องนี้หลุดออกไป ก่อนหน้านี้มีบุคคลนิรนามมาปรากฏตัวแถวๆ ปราสาทดำเนินนภา ทำให้รองเจ้าสำนักตื่นตัวขึ้นมา รองเจ้าสำนักก็เลยเตรียมจะส่งคนกลุ่มหนึ่งให้ออกไปหลอกล่อดึงดูดความสนใจ จากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทางเงียบๆ”
เมื่อพูดแบบนี้แล้ว เหมียวอี้ย่อมไม่มีความเห็นแย้งอะไร ทำได้เพียงรอต่อไป แต่กลับพบว่าตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จงหลีค่วยก็คอยจับตาดูเขาโดยไม่ออกห่างไปไหน ทำเอาเขาฝึกตนไม่สะดวก เพราะเขาต้องใช้ยาเม็ดโลหิต
ตั้งใจออกมาเดินวนหยั่งเชิงที่เรือนพักรับรองแขก จงหลีค่วยยังคงไม่ออกห่างไปไหน เหมียวอี้พลันหันตัวไปถาม “ลุงหนวด ท่านหมายความว่าอย่างไร? ท่านอย่าบอกเชียวนะว่าไม่ได้กำลังจับตาดูข้าอยู่!”
ตอนนี้จงหลีค่วยถึงได้กอดอก แล้วกล่าวอย่างอ้อมค้อมว่า “พวกมารปีศาจที่หลบหนีไป ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะปล่อยข่าว แต่เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่อง แน่นอน ข้าไม่ได้ว่าเจ้าเป็นคนปล่อยข่าว แต่ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อป้องกันเอาไว้ ทุกคนจะได้ไม่สงสัย!”
เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเช่นกัน ทุกคนระวังตัวแบบนี้ก็ไม่ผิด ถึงอย่างไรเขาก็คือคนนอก เพียงสบถไปว่า “แม่งเอ๊ย ถ้าบอกตั้งแต่แรกจะตายรึไง?”
ในค่ำคืนหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนถูกจงหลีค่วยพาออกไปยังหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่งเงียบๆ พบว่าหมิงจ้าวที่มีวรยุทธ์ระดับบงกชรุ้งก็อยู่ด้วย ไฉจวิ้นและพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องก็อยู่ด้วยเช่นกัน เป็นกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยตอนที่เจอปีศาจโลหิตครั้งก่อน ถ้านับรวมเหมียวอี้ กลุ่มนี้ก็มีคนทั้งหมดสิบสามคน มีหมิงจ้าวเป็นผู้นำกลุ่ม
ภายใต้การบัญชาการของหมิงจ้าว ทุกคนเปลี่ยนเสื้อและปลอมตัว
หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเขาก็กระโดดลงไปที่แม่น้ำในหุบเขา ไม่ได้ออกเดินทางอย่างโจ่งแจ้ง แต่แอบดำน้ำออกจากปราสาทดำเนินนภาผ่านทางแม่น้ำ
ตามแม่น้ำที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของกระแสน้ำก็ยิ่งลดลง พวกเขาดำน้ำมาถึงกลางแม่น้ำใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ถึงได้โผล่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ แล้วทะลุออกจากชั้นบรรยากาศจากจุดที่มืดและลับตาคนของดาวดำเนินนภา ปฏิบัติภารกิจลับอย่างระมัดระวังสุดๆ
เมื่อเดินทางลึกข้าไปในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาก็เฝ้าระวังรอบข้างตลอดทาง ป้องกันไม่ให้มีคนสะกดรอยตาม แต่กลับไม่รู้ว่าบนดาวเคราะห์อันเงียบสงัดดวงหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ หลังจากได้เห็นทิศทางที่พวกเขามุ่งไปแล้ว คนชุดดำที่ซ่อนตัวอยู่ในก้อนหินที่ลอยอยู่ในอวกาศก็นำระฆังดาราออกมาส่งข่าว บอกทิศทางที่พวกเขามุ่งไป
แต่หมิงจ้าวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ระหว่างทางเปลี่ยนเส้นทางติดต่อกันหลายครั้ง เลี้ยวจนเหมียวอี้ไม่รู้แล้วว่ากำลังจะไปทางไหน แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเหมียวอี้ จะได้หลบหลีกความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
หลังจากนั้นหลายวัน ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีสีสันแพรวพราวก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคน ขณะกำลังจะเข้าใกล้ หมิงจ้าวก็ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดก่อน เขานำม้วนหนังออกมาแผ่ดู พลางเปรียบเทียบดาวเคราะห์ที่หมุนวนอยู่ตรงหน้า เหมือนกำลังตามหาจุดลงที่แม่นยำ
เหมียวอี้ฉวยโอกาสแอบมองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นแผนที่ฉบับสำเนา ภาพผู้หญิงทะยานฟ้าบนนั้นสะดุดตามาก เขามองปราดเดียวก็จำได้แล้ว แล้วมองดูดาวเคราะห์สีครามเข้มที่อยู่ตรงหน้า พลางครุ่นคิดในใจว่า หรือว่าดาวเคราะห์ดวงนี้จะเป็นสถานที่ซ่อนภาคดินของเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน?
เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน จึงหยิบ ‘แผนที่ดาว’ ออกมาตรวจดู แต่ใครจะคิดว่าจงหลีค่วยที่จ้องอยู่ข้างๆ จะยื่นมือมาตบบ่าเขา บอกใบ้ให้เขาเก็บแผนที่ดาวเดี๋ยวนี้