พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1542 ข้าจะล้างเลือดทั้งเมืองแน่!

ไม่ใช่แค่เขาที่หวาดกลัว ทหารยามแต่ละคนที่อยู่บนกำแพงต่างก็รู้สึกหนาวในใจแล้ว

ในเมืองเละเหมือนโจ๊กในหม้อ ทหารยามบนกำแพงฝั่งประตูเมืองตะวันออกหันไปมองทุกคน ทั้งยังจ้องกำลังพลนอกเมืองกลุ่มนั้นอย่างไม่ละสายตา แต่ละคนเริ่มตึงเครียดถึงขีดสุด

ทำไมกองทัพที่เฝ้าตลาดสวรรค์ถึงค่อนข้างอ่อนแอล่ะ? พอมีศัตรูข้างนอกบุกรุกเข้ามา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน พ่อค้าแม่ค้าในเมืองล้วนมีความรับผิดชอบในการต่อต้านศัตรูร่วมกัน นี่ต้องใช้พลังมากขนาดไหน? ทว่ายามเผชิญกับการโจมตีของกำลังพลตำหนักสวรรค์ พวกพ่อค้าแม่ค้าในเมืองจะมีใครกล้าเคลื่อนไหวซี้ซั้วล่ะ? ไม่มีใครช่วยกองทัพคุ้มกันตลาดสวรรค์ จะอาศัยแค่พวกเขาต้านทานกำลังพลข้างนอกเนี่ยนะ?

เมื่อขึ้นมาบนตึกบนกำแพง โกวเยว่เดินนำมาตรงหน้าริมต่างบานหนึ่งและมองไปด้านนอกประตูเมืองที่ปิดสนิทด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ ทว่าชั่วพริบตาที่สายตากวาดมองไปด้านล่าง รูม่านตาก็พลันหดล็กลง ร่างกายยื่นเงียบอยู่ริมหน้าต่าง หรี่ตาจ้องกำลังพลด้านนอกอย่างไม่ละสายตา

เม่ยเหนียงที่ปิดบังตัวตนและเดินไปตรงริมหน้าต่างข้างโกวเยว่หยุดชะงักทันที ดวงตางามที่อยู่หลังม่านมุ้งไม่อาจย้ายออกจากตรงนั้นได้

ถังเฮ่อเหนียนนำโค่วเหวินหลานไปยืนริมหน้าต่าง สายตาชำเลืองไปด้านนอก ทั้งคู่นิ่งเงียบ ถังเฮ่อเหนียนออกแรงเม้มริมฝีปากแน่น โค่วเหวินหลานเบิกตากว้างแล้ว

ต้วนหงเดินไปที่ริมหน้าต่างอีกบ้าน พอสายตามองไปข้างนอก นางก็หรี่ตาทันที

จั่วเอ๋อร์เดินมาตรงริมหน้า เดิมทีก็เอียงตัวและเอียงหน้ามองไปด้านนอกอยู่แล้ว ผลปรากฏว่าสายตาหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน แล้วก็ค่อยๆ หันตัวตรงไปนอกเมืองโดยจิตใต้สำนึก

ก่วงเม่ยเอ๋อร์ ฮ่าวชิงเยี่ยน โค่วเหวินลวี่ อิ๋งเยว่ สี่สาวรวมตัวกันแล้วพูดคุยหัวเราะเสียงจ้อกแจ้กจอแจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรดาคนที่อยู่ริมหน้าต่างเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ราวกับไม่เห็นสาวๆ ที่พูดคุยกันเสียงดังอยู่ในสายตา

แน่นอน อิ๋งเยว่ดูค่อนข้างสงบนิ่งกว่าคนอื่น เพียงเดินตามอยู่ข้างหลังสาวๆ ทั้งสามคน ดูเงียบขรึมพูดน้อยอย่างเห็นได้ชัด เพราะนางรู้ชัดว่าตัวเองมาเพราะมีจุดประสงค์อะไร แต่ผู้หญิงสามคนที่อยู่ข้างหน้าไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเลยสักนิด พวกนางดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อบังเอิญพบกันในสถานที่แปลกใหม่ บางทีก็พูดคุยเสียงจ้อกแจ้ก บางทีก็กระซิบกระซาบกัน บางทีก็หัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มที่ ปรึกษาหารือกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี

ทว่าเมื่อทั้งสามเดินมาตรงริมหน้าต่างบานหนึ่งแล้วมองไปข้างนอก เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงเงียบลงทันที แต่ละคนเผยอปากเล็กน้อย ดวงตางามนิ่งทื่อ สีหน้าตะลึงงัน

อิ๋งเยว่ที่เดินมาถึงข้างกายทั้งสามเป็นคนสุดท้ายก้มหน้าเล็กน้อย นางไม่ได้มองไปด้านนอกหน้าต่าง แต่ไม่นานก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากล ทำไมจู่ๆ ในห้องถึงเงียบแบบนี้ล่ะ?

นางเงยหน้ามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในห้อง จากนั้นก็ก้มหน้าช้าๆ มองใต้กำแพงเมือง หัวใจพลันหดยวบ รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น มองดูกำลังพลที่มีกลิ่นอายสังหารพลุ่งพล่านด้วยสายตาตะลึงงัน

คนของสี่ตระกูลเดินมาถึงริมหน้าต่างแล้วถูกทำให้หยุดนิ่งอยู่ในท่าเดิมคนแล้วคนเล่า วินาทีที่สายตามองไปเห็นกำลังพลที่อยู่ด้านนอก แต่ละคนก็ราวกับโดนฟ้าผ่า ยืนค้างอยู่ที่ริมหน้าต่างแล้ว

กำลังพลกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ยืนจัดกระบวนทัพอย่างเป็นระเบียบ รวมตัวกันอยู่นอกเมืองดูระเกะระกะอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นดูสะบักสะบอมด้วย สะบักสะบอมไปทั้งตัว

แต่กำลังพลตำหนักสวรรค์ที่แต่งตัวไม่เป็นระเบียบแบบนี้ กลับสร้างผลกระทบให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดที่สุด

ธงพยัคฆ์น้ำเงิน ธงอินทรีแต่ละสี ธงหมาป่าสีต่างๆ กำลังปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม แผ่นธงที่เป็นสีดำเข้มหลังจากเปื้อนเลือดกำลังปลิวสะบัดอย่างรุนแรง ถึงขั้นปลิวจนขาดรุ่ยด้วยซ้ำ

คนที่อยู่ใต้ธงรบแต่ละสียังไม่ถอดเกราะรบ เลือดที่แห้งกรังเปรอะเปื้อนบนเกราะรบไปทั่วทั้งร่างกาย มีบางคนแขนขาดข้างหนึ่ง มีบางคนขาขาดข้างหนึ่ง บางคนตาบอดไปข้างหนึ่ง แทบจะหาคนที่มีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ไม่เจอเลย บนตัวแทบทุกคนมีบาดแผล แต่กลับดื้อรั้นยืนอยู่อย่างนั้น

ร่างกายลายพร้อยไปด้วยเลือดและฝุ่นดิน ราวกับปีนออกมาจากภูขาศพทะเลเลือด

บนใบหน้าของคนพวกนั้นเต็มไปด้วยรอยเลือด บนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ยังมีคราบน้ำตา เห็นได้ชัดว่าร้องไห้มาก่อน รอยน้ำตาที่ชะล้างเลือดแห้งกรังอยู่บนใบหน้านั่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ริมหน้าต่างบนตึกรู้สึกสั่นสะท้านวิญญาณอย่างบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก

เรื่องอะไรกันที่ทำให้นักพรตมากมายขนาดนี้ร้องไห้ได้ เรื่องอะไรกันที่ทำให้กลุ่มคนที่ไม่กลัวตายร้องไห้ได้ คนพวกนี้เคยผ่านความสิ้นหวังอย่างไรมาบ้าง?

สุดท้ายกลุ่มคนที่อยู่บนตึกก็รู้ว่าผลการรบที่ทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านนั่นได้มาอย่างไร ก็ได้มาตามที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ไง สุดท้ายก็รู้แล้วว่าทำไมกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าถึงทำให้คนตกตะลึงพรึงเพริด เพราะตรงหน้ามีกลุ่มคนอย่างนี้ยืนอยู่ไงล่ะ กลุ่มคนที่ปีนออกมาจากภูเขากระดูกทะเลเลือด

แต่สิ่งที่ทำให้คนกลุ่มนี้ทำความเข้าใจได้ยากก็คือ ทำไมในสายตาของกลุ่มนี้ถึงเต็มไปด้วยไฟโกรธล่ะ แต่ละคนมองขึ้นมาบนกำแพงเมืองด้วยสีหน้าคับแค้นใจ ไฟโกรธที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาแต่ละคู่นั้นราวกับจะทำให้ทั้งเมืองนี้พังทลายได้

เป็นคนกลุ่มนี้เองเหรอที่สร้างความหวาดกลัวมหาศาลให้คนในเมืองนี้? ทุกคนเข้าใจในทันทีว่าสมเหตุสมผลแล้ว

ธงรบแต่ละสียังปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม ภายใต้ธงรบ เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบสีแดงอยู่หน้ากระบวนทัพหนึ่งหมื่นหลับตาสองข้าง กำลังข่มไฟโกรธในใจเอาไว้ กำลังรออย่าเงียบงัน รอคำตอบจากคนที่อยู่บนกำแพง รอให้อีกฝ่ายเปิดประตู

“ทหารห้าวขุนพลหาญ!” จั่วเอ๋อร์ที่อยู่ริมหน้าต่างจ้องคนที่อยู่นอกเมืองพลางกล่าวออกมาช้าๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่นชมหรือประชด

เสียงนี้ทำให้เม่ยเหนียงได้สติกลับมา นางเองก็นับว่ารู้จักกำลังพลของอ๋องสวรรค์ก่วงมาไม่น้อยเช่นกัน กำลังพลที่มากกว่านั้นก็เคยรู้จักมาแล้ว แต่กำลังพลที่นางเห็นเองกับตาวันนี้ทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านจิตวิญญาณอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะแววตาโกรธแค้นของคนกลุ่มนั้นที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวนิดหน่อย

มีบางสิ่งที่นางไม่เข้าใจ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เป็นการชุบหลอมแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นการชำระล้างด้วยความเป็นความตายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งนี้ได้สลักลึกลงในกระดูกของคนพวกนี้แล้ว ทำให้คนพวกนี้แผ่ซ่านพลังอำนาจบางอย่างที่ต่างออกไป

สายตาของเม่ยเหนียงที่อยู่หลังม่านมุ้งค่อยๆ ย้ายจากตัวกำลังพลกลุ่มนั้นไปยังเหมียวอี้ที่ยืนอยู่หน้าสุด นางกัดริมฝีปากเงียบๆ แม้แต่นางยังเข้าใจเลยว่าทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงนำทัพใหญ่ห้าหมื่นโจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านจนแตกพ่ายได้ ทำไมบุคคลระดับสูงจึงพากันมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อจะดึงหนิวโหย่วเต๋อเป็นพกว ถ้าสามารถนำคนแบบนี้มาเป็นลูกเขยได้จริงๆ ก็จะไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งของนางในจวนอ๋องสวรรค์ได้แล้ว ลูกสาวก็ย่อมเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำไปด้วย

ตอนนี้นางตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องแย่งมาเป็นลูกเขยให้ได้ ต่อให้ลูกสาวจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ต้องแต่ง!

เม่ยเหนียงเอียงหน้าช้าๆ มองไปทางโกวเยว่ที่อยู่ข้างกัน แล้วถ่ายทอดเสียงถามยืนยันว่า “คนที่อยู่หน้าสุดคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”

โกวเยว่กลับไม่ตอบ แต่บอกอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ช่างเป็นทัพที่ห้าวหาญดุจหมาป่าดุจพยัคฆ์จริงๆ!” จากนั้นก็รู้ตัวแล้ว หันไปพยักหน้าเบาๆ ให้เม่ยเหนียงพร้อมถ่ายทอดเสียง “บ่าวก็ไม่เคยเจอเช่นกัน คงจะเป็นเขาคนนี้ หวังเฟยรู้สึกว่าเขยคนนี้เป็นยังไงบ้าง ยังถูกใจหรือเปล่า?”

เม่ยเหนียงตอบว่า “ห้าวหาญชาญชัย สง่างามดุจขุนเขา เป็นวีรบุรุษจริงๆ เรื่องนี้ข้าสามารถตัดสินใจแทนเม่ยเอ๋อร์ได้เลย พ่อบ้านได้โปรดพยายามช่วยให้การจับคู่ครั้งนี้สำเร็จ!”

“ถ้าหวังเฟยพอใจ บ่าวก็จะพยายามสุดความสามารถ!” โกวเยว่ตอบ

ผ่านไปพักใหญ่ กว่าโค่วเหวินหลานจะหายเหม่อลอย แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความผิดหวังหลายส่วน

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่องอะไร ที่จริงในใจเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองแย่กว่าเหมียวอี้เลย ในใจยังรู้สึกเหนือกว่าเพราะครอบครัวสอนมาดี แต่ในวันนี้ หลังจากได้เห็นเหมียวอี้นำกำลังพลกลุ่มนี้แล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกับเหมียวอี้นั้นต่างกัน ตัวเองบัญชาการกำลังพลแบบนี้ไม่ได้

“คนที่ยืนอยู่หน้าสุดก็คือหนิวโหย่วเต๋อ” โค่วเหวินหลานหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกถังเฮ่อเหนียน

ถังเฮ่อเหนียนที่ยืนเอามือไขว้หลังพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าเขาทราบแล้ว แววตาที่จ้องเหมียวอี้กำลังฉายประกายเล็กน้อย

“คนที่อยู่หน้าสุดคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” สายตาของก่วงเม่ยเอ๋อร์ย้ายออกจากใบหน้าเหมียวอี้ แล้วถามบรรดาพี่สาวที่อยู่ข้างกาย

ในใจนางบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ในเมื่อท่านแม่บอกแล้วว่าจะให้นางแต่งงานกับหนิวโหย่วเต๋อ แต่พอได้เห็นกำลังพลที่ค่อนข้างน่ากลัวตรงหน้านี้ นางก็พบว่าไม่เคยเห็นกำลังพลแบบนี้ข้างกายท่านพ่อมาก่อน เอาเป็นว่าทำให้คนรู้สึกว่าเจ๋งมาก

อิ๋งเยว่รู้จัก แต่กลับไม่ตอบคำถาม นางมองไปข้างล่างด้วยแววตาที่สื่ออารมณ์ซับซ้อน นี่ใช้กำลังพลที่ต่อต้านตระกูลอิ๋งที่อุทยานหลวงในปีนั้นหรือเปล่า?

ฮ่าวชิงเยี่ยนส่ายหน้าบอกใบว่าไม่รู้ โค่วเหวินลวี่รู้ว่าโค่วเหวินหลานรู้จัก หลังจากถ่ายทอดเสียงถามจนได้คำตอบแล้ว นางจึงพยักหน้าบอกว่า “เป็นเขาเอง”

ส่วนเหมียวอี้ที่หลับตาอยู่ข้างล่างพักใหญ่ จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นแล้วคว้าทวนเกล็ดย้อนไว้ในมือ แล้วพลันชี้ฝ่าลมไปบนกำแพงเมือง “กรรร” เสียงมังกรคำรามดังก้องพร้อมเสียงของเขา “ข้าจะพูดอีกครั้ง รีบเปิดประตู!”

กองทัพคุ้มกันที่อยู่บนกำแพงเมืองตะลึงงัน พากันก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก

“หา…” ฟางลี่เหิงที่ตะลึงงันไปครู่หนึ่งเกิดความคิดบางอย่าง แล้วถามด้วยสีหน้าวิงวอนเหมือนจะร้องไห้ว่า “นายท่านหนิว ท่านยังไม่ตอบข้าเลย ว่าท่านจะเข้าเมืองไปทำอะไร?”

เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำว่า “กำลังพลกลุ่มนี้ปราบกบฏผ่านมา มีลูกน้องบาดเจ็บสาหัส ได้รับคำสั่งให้เข้ามาปรับปรุงกำลังในตลาดสวรรค์ ทำไมต้องขัดขวาง หรือว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าตลาดสวรรค์?”

ปราบกบฏ? ปราบกบฏผีอะไรล่ะ! เจ้าแย่งผู้หญิงกับฉู่จื่อซานชัดๆ!

ฟางลี่เหิงด่ากลับในใจ แต่ภายนอกก็ยังกุมหมัดคารวะอย่างสุภาพเกรงใจ “นายท่านหนิว ในเมื่อมีการก่อความวุ่นวายนิดหน่อย เกรงว่าคงจะไม่สะดวกให้กำลังพลของนายท่านพักผ่อนปรับปรุงกำลัง ท่านตั้งค่ายอยู่นอกเมืองดีกว่ามั้ย ถ้าต้องการอะไรเดี๋ยวให้กำลังพลที่เฝ้าเมืองไปซื้อแทน แบบนี้ดีมั้ย?”

“ก่อความวุ่นวาย? “เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ใครมันบังอาจขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะก่อเรื่องที่ตลาดสวรรค์! ในเมื่อกำลังพลของข้ามาบังเอิญเจอแล้ว มีหรือที่จะนั่งดูอยู่เฉยๆ เปิดประตูเมือง ให้กำลังพลของข้าเข้าไปปราบจลาจล!”

ฟางลี่เหิงกุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ไม่รบกวนหรอก กำลังพลที่เฝ้าเมืองย่อมคุมไหว นายท่านพาพวกพี่น้องไปตั้งค่ายพักผ่อนดีกว่า”

เหมียวอี้ชี้ทวนไปตรงประตูเมืองที่ปิดสนิท ขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเขาแล้ว “อยากจะให้ข้าช่วยเจ้าเปิดด้วยมือตัวเองมั้ย? รีบเปิดประตู! ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าออกคำสั่งโจมตีเมือง!”

ทุกคนในเมืองหน้าถอดสี ทำแบบนี้กำเริบเสิบสานเกินไปรึเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจะออกคำสั่งโจมตีเมืองต่อหน้าฝูงชน เจ้ายังเป็นกำลังพลตำหนักสวรรค์อยู่รึเปล่า?

คนที่อยู่ในตึกบนกำแพงเมืองก็มองหน้ากันเลิกลั่กเช่นกัน

แต่ก็ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของเหมียวอี้เลย ขนาดหัวหน้าภาคน่านฟ้าระกาติงเจ้าบ้านั่นก็ฆ่าไปแล้ว มังหารทัพใหญ่หนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติงไปแล้วหลายแสน แม้แต่งานรับสนมของราชันสวรรค์ก็กล้าก่อเรื่อง แล้วการโจมตีเมืองจะนับเป็นเรื่องใหญ่อะไรล่ะ?

ฟางลี่เหิงกล่าวอย่างวิตกกังวลว่า “นายท่านหนิวโปรระงับโทสะ ข้าได้รับคำสั่งมาให้ปิดเมือง เรื่องเปิดประตูเมืองข้าตัดสินใจเองไม่ได้ ให้เวลาข้าไปรายงานผู้บัญชาการใหญ่สักหน่อยดีมั้ย?”

ฉึก! ทวนในมือเหมียวอี้ปักลงพื้น แล้วตวาดว่า “ข้าให้เวลาเจ้าเท่าธูปครึ่งดอก หลังจากธูปไหม้ไปครึ่งดอกแล้ว ถ้าประตูเมืองยังไม่เปิด ข้าจะล้างเลือดเมืองนี้แน่นอน!” พูดจบก็เอียงหน้าบอกใบ้

มู่อวี่เหลียนที่อยู่ข้างหลังเขาหยิบธูปออกมาทันที จากนั้นก็หักธูปต่อหน้าฝูงชน แล้วจุดธูปโยนไปปักบนพื้น ไฟธูปเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดอยู่ท่ามกลางสายลม เมื่อมีลมช่วยพัด การเผาไหม้ก็เร็วขึ้นนิดหน่อย

ล้างเลือดทั้งเมือง!

นี่มันหมายความว่าอะไรล่ะ หมายความว่าอยากจะฆ่าให้หมดทั้งเมือง ไม่เหลือไว้ไม่แต่ไก่หรือสุนัขเหรอ?

………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset