“ข้าก็เคยสงสัยเขามาก่อนเหมือนกัน แต่เขาจะรู้เรื่องสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโปได้ยังไง?” อวิ๋นจือชิวถาม
เหมียวอี้บอกว่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าพระที่บำเพ็ญทุกรกริยานั่นถนัดเรื่องอะไรที่สุด?”
“พยากรณ์ได้เหรอ? อย่าบอกนะว่าแม้แต่เรื่องนี้ก็พยากรณ์ได้?” อวิ๋นจือชิวกล่าวปนขำ
เหมียวอี้เอียงน้ามองมา “เจ้าก็เคยติดต่อกับเขามาก่อนเหรอ?”
“ไม่เคยติดต่ออะไรหรอก แต่ท่านปู่ข้าเคยติดต่อกับเขามาก่อน เหมือนจะเชื่อคำทำนายของเขามากด้วย” อวิ๋นจือชิวตอบ
“เหมือนจะเหรอ?” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “เจ้าไม่เคยติดต่อกับเขา ไม่รู้หรอกว่าเขาน่ากลัวขนาดไหน เรื่องที่ทำนายทายทักได้ ตอนข้าเป็นมนุษย์ธรรมดาข้าก็งมงายเชื่อเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่หลังจากก้าวเข้าแดนฝึกตน ก็พบว่าสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าท่านเซียนเป็นเพียงนักพรตเท่านั้น จะมีการนับนิ้วพยากรณ์ได้ยังไง ถ้าทุกคนแค่นับนิ้วพยากรณ์ก็ทำทุกเรื่องสำเร็จได้ก็แย่น่ะสิ ดังนั้นข้าไม่เชื่อเรื่องนี้หรอก แต่หลังจากได้คลุกคลีกับเทพพยากรณ์หลายครั้ง ถึงได้พบว่าโลกนี้มีคนที่นับนิ้วทำนายแล้วรู้ทุกอย่างจริงๆ ขนาดเรื่องที่ข้าทำไว้แต่คนอื่นไม่รู้ เขาถึงขั้นทำนายออกมาได้ ข้านี่ตกใจจนเหงื่อแทบแตกไปทั้งตัว เจ้าว่าน่ากลัวมั้ยล่ะ? นอกจากเขาแล้ว ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าที่พิภพเล็กยังมีใครอีกที่สนิทกับศีลแปดและอาจารย์ ทั้งยังรู้สถานที่ผนึกของพระปีศาจหนานโป แต่นอกจากพวกเราแล้ว เทพพยากรณ์ก็เป็นคนเดียวที่สามารถไปมาระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ได้อย่างอิสระ ตอนมาที่พิภพใหญ่เขายังเปิดทางให้ข้าเลย! มีความเป็นไปได้อยู่แล้วว่าเขาจะชี้ทางให้ศีลแปดกับอาจารย์ เพียงแต่ข้าคิดไม่ตก ในเมื่อเขากับไต้ซือศีลเจ็ดเป็นสหายกัน แล้วทำไมต้องทำร้ายไต้ซือศีลเจ็ดล่ะ?”
อวิ๋นจือชิวพึมพำว่า “ถ้าสิ่งที่เกาก้วนเป็นความจริงทั้งหมด ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำร้ายหรอก บางทีเทพพยากรณ์อาจจะรู้ว่าเคล็ดวิชาที่อาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้ฝึกสามารถต้านทานมนต์คร่าชีวิตของพระปีศาจหนานโปได้ อาจจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่เป็นอันตรายก็ได้! แต่ข้าคิดไม่ตกว่าเขาทำแบบนี้เพราะมีจุดประสงค์อะไร ในเมื่อเจ้าบอกว่าเขานับนิ้วทำนายได้จริงๆ บางทีอาจจะมีสาเหตุอื่นที่ชี้แนะให้ศิษย์กับอาจารย์คู่นั้นไป หรือไม่ก็กำลังช่วยพวกเขาจริงๆ อาจจะไม่ได้ทำร้ายพวกเขาหรอก”
เหมียวอี้เงียบงัน แล้วรีบหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมาเขย่าในมือ อวิ๋นจือชิวดูอยู่เงียบๆ ข้างกาย รู้ว่าเขาคงจะติดต่อกับเทพพยากรณ์ ได้ยินว่าเหมียวอี้มีช่องทางติดต่อกับเทพพยากรณ์
ทว่าหลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดาราเงียบๆ อวิ๋นจือชิวลองถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่มีการตอบกลับ”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ “ขนาดคนที่พิภพเล็กยังบอกเลยว่าเขาลึกลับเหมือนมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง นี่เขาเป็นคนยังไงกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะติดต่อเขาไม่ได้ เบาะแสแบบนั้นก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้อยู่ดี”
เหมียวอี้เริ่มขมวดคิ้วมุ่น
ในขณะนี้เอง เชียนเอ๋อร์ก็เข้ามาในชัยภูมิถ้ำสวรรค์แล้ว “นายท่าน ฮูหยิน ด้านนอกมีคนสามคนทยอยกันมาที่นี่ มีจากหอฉางเจิน เรือนเจิดจรัส ตึกจันทราดาราค่ะ พวกเขาบอกว่ามาส่งบัตรเชิญให้นายท่าน” ในมือนางเผยแหวนเก็บสมบัติสามวงออกมา
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองหน้ากันเลิกลั่กอย่างอดไม่ได้ ทั้งสองอยู่ที่ตลาดสวรรค์มานานขนาดนี้แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่าสามร้านนี้เป็นร้านของใคร เป็นกิจการสายตรงของอ๋องสวรรค์ก่วง อ๋องสวรรค์อิ๋ง อ๋องสวรรค์ฮ่าว ล้วนมีอยู่หนึ่งร้านตามตลาดสวรรค์แห่งต่างๆ สามร้านนี้ส่งบัตรเชิญมาหมายความว่าอย่างไร?
อวิ๋นจือชิวหยิบแหวนเก็บสมบัติจากมือเชียนเอ๋อร์มาไว้ในมือตัวเอง หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ดูแล้ว ก็เรียกบัตรเชิญออกมาสามฉบับ นี่ไม่ใช่แผ่นหยก แต่เป็นบัตรเชิญที่ทำจากผงสกัดผลึกแดง รูปแบบคล้ายๆ กัน สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ ลวดลายสลักที่อยู่บนบัตรเชิญ นอกจากลวดลายตกแต่งที่แนบอยู่ด้านข้าง ตรงด้านหน้าล้วนมีลวดลายประตูหลักของจวนที่หรูหรา บนแผ่นป้ายของประตูหลักก็สลักไว้ว่าจวนอ๋องสวรรค์ก่วง จวนอ๋องสวรรค์อิ๋ง จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว
ไม่ต้องพูดถึงว่าบัตรเชิญนี้มีมูลค่าไม่เท่าไร เพราะความหมายของบัตรเชิญสามฉบับนี้ทำให้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแอบตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับเชิญในนามของอ๋องสวรรค์โดยตรง หอฉางเจิน เรือนเจิดจรัส ตึกจันทราดารา ถึงแม้จะเป็นกิจการสายตรงของสามอ๋องสวรรค์ แต่ก็เป็นแค่ร้านค้าทั่วไปสามร้านที่อยู่ภายใต้สามตระกูลนี้ก็เท่านั้นเอง ผู้จัดการของสามร้านนี้ยังไม่มีสิทธิ์ส่งบัตรเชิญในนามของจวนอ๋องสวรรค์ได้โดยตรง นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายในการมีชีวิตอยู่เท่านั้นแหละ
ต่อให้เป็นคนของอ๋องสวรรค์ ถ้ามีงานเลี้ยงอะไรแต่ก็ใช้ได้เพียงนามส่วนตัว การนำบัตรเชิญของจวนอ๋องสวรรค์มาได้ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของจวนอ๋องสวรรค์แล้ว
สองสามีภรรยาเปิดบัตรเชิญอ่านทีละฉบับ ตัวอักษรที่อยู่บนนั้นเป็นคำพูดตามมารยาท ความหมายคร่าวๆ ก็คือได้ทราบว่าเหมียวอี้เพิ่งเข้าเมืองมา เลยจะจัดงานเลี้ยงเชิญให้เหมียวอี้ไปเข้าร่วม สุดท้ายก็ทิ้งชื่อร้านค้าเอาไว้ แต่ทั้งสองก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ร้านค้าจะส่งบัตรเชิญนี้มา
ขณะเดียวกันก็อธิบายได้ชัดเจนแล้วว่าบัตรเชิญนี้เพิ่งถูกเขียนขึ้นมา การเขียนตัวอักษรบนบัตรเชิญผลึกแดงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าบัตรเชิญนี้ไม่ธรรมดา
อวิ๋นจือชิวโบกบัตรเชิญในมือ เหมียวอี้จ้องไปที่บัตรเชิญพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วบอกว่า “ร้านค้าสามร้านนี้อาจจะมีคนที่ไม่ธรรมดามาเยือน ไม่อย่างนั้นคงทำบัตรเชิญแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“ข้าเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน แต่ใครของสามตระกูลนี้ส่งบัตรเชิญมาให้ข้าล่ะ?” เหมียวอี้รู้สึกแปลกใจ แล้วจู่ๆ ก็หันไปถามเชียนเอ๋อร์ “โถงฉากเมฆาไม่ได้ส่งคนมาเหรอ?”
โถงฉากเมฆาก็คือกิจการของตระกูลโค่ว
“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ มีแค่สามตระกูล” เชียนเอ๋อร์ส่ายหน้า
เหมียวอี้เอียงศีรษะพลางพึมพำ “ขาดตระกูลโค่วไปตระกูลเดียว หมายความว่ายังไง?” เขาวางบัตรเชิญไว้ในฝ่ามือข้างเดียว แล้วใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อโค่วเหวินหลาน เป็นเพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่ คนที่สามารถเดาเจตนาของอีกสามตระกูลได้ เกรงว่าคงจะมีแค่ตระกูลโค่วแล้ว เขาเองก็เคยมอบไมตรีให้อีกฝ่ายมาแล้ว จะสืบข่าวสักหน่อยก็ไม่ถือว่าเกินไป เพราะเมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ ก็จะไปเข้าร่วมแบบเลอะเลือนไม่ได้หรอก
หอฉางเจิน ในสวนป่าของลานบ้านด้านหลัง โกวเยว่ที่กำลังเดินทอดน่องอยู่บนทางเล็กๆ พลันหันกลับมา ถามหานตงที่กำลังถือระฆังดาราอย่างแปลกใจ “ทางตระกูลโค่วยังไม่มีความเคลื่อนไหวเหรอ?”
หานตงพยักหน้า “ลูกน้องจับตาดูอยู่ตลอด ตอนนี้ยังไม่เห็นคนของทางตระกูลโค่วไปที่หออวิ๋นฮว๋าเลย”
“คนก็มาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะล้มเลิก สงสัยมีคนรู้จักมาด้วยเลยจัดการง่ายหน่อย คงจะให้โค่วเหวินหลานนั่ส่งข่าวไปเชิญโดยตรง พอเป็นแบบนี้ หนิวโหย่วเต๋อที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกคงจะต้องไปหยั่งเชิงที่โถงฉากเมฆาก่อน เรื่องนี้จะให้ตระกูลโค่วได้โอกาสก่อนไม่ได้ ไป ส่งยอดฝีมือไปสักสองสามคน ถ้าเขาออกมาก็ดักทางเข้าไว้” โกวเยว่พึมพำอย่างลังเล
“แล้วถ้าเขาไม่ยอมมาล่ะขอรับ?” หานตงถาม
โกวเยว่กล่าวเสียงเรียบว่า “อย่าลืมว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของใคร พวกเราไม่มีความได้เปรียบกว่าอีกสามฝ่ายเลย ถ้าเขาไม่ยอมมา ก็บอกเขาไปเลยว่า ตำหนักสวรรค์มีคำสั่งให้หน่วยตรวจการขวา กองทัพองครักษ์และสี่ทัพสามหน่วยมาสืบสวนพร้อมกันแล้ว คนของสี่ทัพมาถึงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง!”
ก่วงลิ่งกง อ๋องสวรรค์ก่วงก็คืออ๋องสวรรค์ที่คุมทัพตะวันตกตำหนักสวรรค์ อิ๋งจิ่วกวงคุมทัพตะวันออก อ๋องสวรรค์ฮ่าวคุมทัพใต้ อ๋องสวรรค์โค่วคุมทัพเหนือ
“ขอรับ!” หานตงเอ่ยรับแล้วหันตัวไป คิดในใจว่ามีแค่ท่านนี้เท่านั้นที่กล้าออกคำสั่งนี้ คนอื่นจะกล้าปลอมคำสั่งทหารของทัพตะวันตกได้อย่างไร แต่ท่านนี้สามารถทำให้อ๋องสวรรค์ก่วงแก้ไขคำสั่งนี้ได้ทุกเมื่อ
โถงฉากเมฆา ในลานบ้านด้านหลังที่เงียบและเย็นสงบ ในกระท่อมที่อยู่ติดป่าไผ่ริมทะเลสาบ ถังเฮ่อเหนียนกำลังเล่นหมากล้อมกับโค่วเหวินหลาน
โค่วเหวินหลานที่ลงหมากหนึ่งลตัวพลันเงยหน้า เขาหยิบระฆังดาราอันหนึ่งมาไว้ในมือ ยิ้มบางๆ ให้ถังเฮ่อเหนียนที่นั่งอยู่ตรงข้าม เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้แล้ว
“ท่านปู่ถัง ท่านคาดการณ์ได้แม่นยำจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อติดต่อข้ามาแล้ว” โค่วเหวินหลานกล่าวอย่างอัศจรรย์ใจ
ถังเฮ่อเหนียนเงยหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องประหลาดใจ อีกสามอ๋องส่งคนไปแล้ว มีแค่พวกเราที่ไม่ได้ส่งใครไป เขาสนิทกับท่าน เมื่อไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็ย่อมต้องสืบข่าวจากท่าน ตอบเขาไปเถอะ ทำตามที่บ่าวสอนไว้ก็พอแล้ว”
โค่วเหวินหลานพยักหน้า แล้วตอบกลับระฆังดารา : น้องหนิว ในที่สุดวันนี้ข้าก็รู้แล้วว่าผู้หฺญิงที่เจ้าบอกคือใคร เจ้านี่ปิดบังข้าเสียเนียนเลยนะ ตอนนี้คงนั่งกอดสาวงามอยู่ล่ะสิ ทำไมมานึกถึงข้าได้ล่ะ?
เหมียวอี้ชะงักทันที แล้วถามว่า : ท่านรู้แล้วเหรอ?
โค่วเหวินหลาน : ข้าจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ ข้านั่งอยู่บนตึกกำแพง เห็นท่าทางน่าเกรงขามตอนเจ้าเข้ามามากับตา เจ้าว่าข้ารู้มั้ยล่ะ?
เหมียวอี้มองไปที่อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายอย่างเหม่องง “โค่วเหวินหลานก็อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนเหมือนกัน”
อวิ๋นจือชิวงุนงงเล็กน้อย แล้วบอกว่า “งั้นก็แปลว่า ที่จริงตระกูลโค่วก็ส่งคนมาเหมือนกัน”
ยังไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก เหมียวอี้กล่าวต่อไปว่า : ตอนนี้พี่โค่วอยู่ที่ไหน ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านแบบต่อหน้านิดหน่อย
โค่วเหวินหลาน : ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากจะไปทักทายเจ้านะ แต่โดนท่านปู่ถังห้ามไว้
เหมียวอี้สงสัย : ท่านปู่ถังคือใครเหรอ?
โค่วเหวินหลาน : เป็นพ่อบ้านของตระกูลโค่ว เป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายท่านปู่ข้าเอง
เหมียวอี้ตกใจทันที นั่นคือลูกน้องคนสนิทที่อยู่เหนือลูกน้องคนสนิทของอ๋องสวรรค์โค่วนะ ขนาดบุคคลแบบนี้ก็ยังมาด้วยเหรอ ตาแก่พวกนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? เขาถามหยั่งเชิงว่า : ทำไมต้องห้ามไม่ให้ท่านมาเจอข้าล่ะ?
โค่วเหวินหลาน : พ่อบ้านบอกว่าคนของตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าว ตระกูลก่วงกำลังจะไปหาเจ้า ให้ข้ารอดูความเปลี่ยนแปลงเงียบๆ
เหมียวอี้ยิ่งตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่แท้อีกฝ่ายก็รู้มาตั้งนานแล้วนี่เอง เขาจึงไม่ปิดบังแล้วเช่นกัน บอกกลับไปว่า : ไม่ปิดบังพี่โค่วนะ ข้าเพิ่งได้รับบัตรเชิญจากตระกูลอิ๋ง ตระกูลฮ่าวและตระกูลก่วง ล้วนเป็นบัตรเชิญในนามจวนอ๋องสวรรค์ คาดว่าคงมีบุคคลสำคัญมา ข้าไม่เข้าใจว่าเพราะเรื่องอะไรกันแน่ กำลังจะขอคำชี้แนะจากพี่โค่ว ไม่ทราบว่าพี่โค่วคลายปริศนาให้ได้รึเปล่า?
โค่วเหวินหลาน : มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดหรอก เจ้ารอเดี๋ยวนะ ข้าจะลองถามพ่อบ้านดูว่าเขาจะบอกได้หรือเปล่า
เหมียวอี้ : รบกวนด้วย!
โค่วเหวินหลานระฆังดาราข้างๆ กระดานหมากล้อมอย่างเบามือ พอชำเลืองมองถังเฮ่อเหนียนที่ลงหมากอย่างสบายใจ เขาก็นึกถึงสิ่งที่ท่านพ่อบอกไว้ ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มีโอกาสใช้เวลาอยู่กับพ่อบ้าน จะต้องฉวยโอกาสนี้แสดงความสามารถ ถึงได้แสดงท่าทางให้เห็นว่าสามารถข่มอารมณ์ได้ จดจ่อความคิดอยู่บนกระดานหมากล้อม จากนั้นใช้นิ้วขยี้ตัวหมากช้าๆ แล้วลงหมาก
เพียงแต่ด้วยนิสัยรักสะอาดของเขา บางครั้งก็ทำท่าสะบัดผ้าเช็ดหน้าออกมาเบาๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่ก็สังเกตได้ว่าหางตาของถังเฮ่อเหนียนกระตุกเป็นระยะ
หลังจากผลัดกันลงบนกระดานหมากไปไม่กี่รอบ จู่ๆ ถังเฮ่อเหนียนก็เตือนว่า “ได้เวลาแล้ว”
โค่วเหวินหลานใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาอย่างไม่ร้อนรน ตอบกลับไปอีกว่า : น้องหนิว พ่อบ้านบอกว่า จั่วเอ๋อร์ผู้จัดการบ้านของตระกูลอิ๋งพาอิ๋งเยว่ หลานสาวของอ๋องสวรรค์อิ๋งมาแล้ว ส่วนต้วนหงที่เป็นหน้วหน้าผู้ช่วยของตระกูลฮ่าวก็พาฮ่าวชิงเยี่ยนที่เป็นหลานสาวของอ๋องสวรรค์ฮ่าวมาด้วย ส่วนตระกูลก่วงก็ยิ่งเล่นใหญ่ นอกจากพ่อบ้านโกวเยว่จะมาเองแล้ว หวังเฟยเม่ยเหนียงก็พาก่วงเม่ยเอ๋อร์ผู้เป็นลูกสาวมาเองเลย ลูกสาวหลานสาวของแต่ละตระกูลหน้าตาไม่ธรรมดา น้องหนิวมีวาสนาแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีกับน้องหนิวไว้ตรงนี้ก่อนเลย
เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจไปพักใหญ่ ขนาดหวังเฟยยังมาเองเลยเหรอ นี่มันเรื่องอะไรกัน? จึงรีบถามว่า : ยินดีกับข้าเรื่องอะไร?
โค่วเหวินหลาน : ยังฟังไม่ออกอีกเหรอ? ก็ยินดีที่เจ้าโชคสามชั้นมาเยือนประตูบ้านไง สามตระกูลนี้ล้วนอยากรับเจ้าเป็นเขย
เหมียวอี้ : ทำไมพี่โค่วล้อเล่นกับหนิวแบบนี้ พูดความจริงเถอะ มีเรื่องอะไรกันแน่?
โค่วเหวินหลาน : ข้าเคยหลอกเจ้าที่ไหนล่ะ จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว
เหมียวอี้งงเป็นไก่ตาแตก หันหน้าช้าๆ ไปมองอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกัน
“เป็นอะไรไป?” อวิ๋นจือชิวสงสัย
“เขาบอกว่ามีโชคสามชั้นมาเยือนประตูบ้านข้า…” เหมียวอี้ถ่ายทอดคำพูดของโค่วเหวินหลานเมื่อครู่นี้อย่างงุนงง
อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่ใช่คนโง่ เชียนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกันเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ผ่านไปพักใหญ่ อวิ๋นจือชิวถึงได้มองประเมินเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็แสยะยิ้มพลางพูดแดกดัน “เอ๋! มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ เรื่องดีๆ ที่คนอื่นคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่มาตกอยู่กับเจ้าเสียแล้ว งั้นข้าก็ต้องแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยน่ะสิ”
…………………………