“นายท่าน!” ชิงจวี๋น้ำตาไหลพรากราวกับสายฝนในชั่วพริบตาเดียว น้ำตาไหลโดยไร้เสียง
บางทีในสายตาคนอื่น การที่หยางชิ่งทำแบบนี้อาจจะค่อนข้างเห็นแก่ตัว แต่ในสายตาชิงจวี๋ เขากลับเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก ยามอันตรายจะมาเยือน สิ่งแรกที่ทำกลับปกป้องลูกสาวและหญิงรับใช้อย่างนาง เสียสละชีวิตตัวเองอย่างไม่เสียดาย
เพียงแต่นางก็รู้เช่นกัน ว่านายท่านยอมเสียสละมากมาขนาดไหนเพื่อลูกสาวคนนั้น ไม่อย่างนั้นอาศัยความฉลาดปราดเปรื่องอย่างนายท่าน จะต้องผงาดตั้งแต่ตอนอยู่พิภพเล็กแล้ว แต่นายท่านรู้ว่าภายใต้สถานการณ์ที่พลังของตัวเองยังไม่มากพอ ถ้าหลับหูหลับตาขยายอำนาจก็จะนำอันตรายและความลำบากมาสู่ลูกสาวตัวเองได้ ด้วยเหตุนี้จึงอดทนไว้เงียบๆ มาตลอด ถ้าไม่มีพลังมากพอก็จะไม่ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ถ้าไม่ใช่เพราะโดนกดดันให้หมดทางเลือก นายท่านก็ไม่มีทางก่อกบฏเลย และไม่ถึงขั้นเจอหน้าเหมียวอี้แล้วเป็นอย่างทุกวันนี้ด้วย
“พอแล้ว! ไม่ต้องร้องแล้ว ร้องไห้จนตาแดงออกไป เดี๋ยวคนก็สงสัยหรอก ไปเถอะ เชื่อฟังข้า รีบไป!” หยางชิ่งที่กำลังเอนกายเอามือลูบใบหน้านางพลางเร่งเร้า สีหน้าท่าทางค่อนข้างเหนื่อยล้า
จะบอกว่าเขาแกล้งป่วยก็ได้ จะบอกว่าเขาป่วยจริงก็ได้เช่นกัน เขาโมโหเหมียวอี้จนแทบกระอักเลือดตายอยู่แล้ว โมโหจนไฟโกรธโจมตีหัวใจให้กระอักเลือด
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก สุดท้ายชิงจวี๋ก็ยังต้องปาดน้ำตาแล้วเดินออกไป
ที่จริงในตอนนี้สวีถังหรานก็อยู่ที่อุทยานหลวงเช่นกัน เจ้าหมอนี่มันอยู่เป็นจริงๆ รู้ว่าหยางชิ่งคือลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ ไม่ว่าหยางชิ่งจะปฏิเสธอย่างไร ก็ดึงดันจะส่งหยางชิ่งที่ ‘ป่วย’ มาที่นี่ด้วยตัวเอง ฮูหยินของเขาก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน หลังจากส่งหยางชิ่งมาถึงบ้านแล้ว ก็ถือโอกาสไปหาเสวี่ยหลิงหลงด้วยเสียเลย
ดังนั้นตอนที่ได้รับข้อความจากเหมียวอี้ เขาก็เพิ่งจะนัวเนียกับเสวี่ยหลิงหลงไปยกหนึ่งแล้ว
เมื่อเห็นร่างกายที่เปลือยล่อนจ้อนของเขานั่งขัดสมาธิแล้วเกาศีรษะ เสวี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างหลังก็ดึงผ้าห่มมาปิดบังหน้าอก ดึงชุดคลุมมาใส่ไว้ แล้วก็หยิบชุดคลุมมาใส่ให้เขาด้วย ใช้ศีรษะที่ปล่อยผมสยายซบที่บ่าเขา แล้วถามเบาๆ ว่า “ทางนายท่านหนิวจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
สวีถังหรานส่ายหน้า “เฮ้อ! นายท่านของพวกเราน่ะ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะว่าเขายังไงดี เจ้าว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงมองไม่ออกนะว่านายท่านกับเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจะมีความสัมพันธ์กันถึงขั้นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมเอากำลังพลห้าหมื่นไปทำศึกเลือดกับทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งหนึ่งล้าน หลังจากได้ข่าวข้าก็ตกใจจนหนังหัวชาวาบเลย หลิงหลง เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยทำเรื่องอะไรล่วงเกินอวิ๋นจือชิวใช่มั้ย?”
เสวี่ยหลิงหลงลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวอย่างตกใจ “สวีถังหราน นี่มันเวลาไหนแล้ว ดีไม่ดีเจ้าอาจจะซวยไปด้วยก็ได้ ยังจะมาคิดอีกว่าเคยล่วงเกินอวิ๋นจือชิวรึเปล่า? ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปแล้วข้าจะทำยังไงล่ะ?” นางหยิกเนื้อตรงเอวเขาหนึ่งที
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่เหมือนในปีก่อนๆ แล้ว ความขวยอายของเสวี่ยหลิงหลงหายไปตั้งนานแล้ว ผัวเมียใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานๆ ก็คุ้นชินกับฐานะฮูหยินเอกของตัวเองเหมือนกัน กอปรกับลูกน้องของสวีถังหรานให้ความเคารพนาง จึงบ่มเพาะสง่าราศีที่สูงส่งให้นางหลายส่วน ยังจะมองเห็นเงาของดาวเด่นหอนางโลมเหมือนในปีนั้นได้อย่างไร
ตอนนี้เวลาสวีถังหรานอยากจะให้นางเต้นระบำให้ดู หรืออยากจะให้นางร้องเพลงให้ฟัง ก็ยังต้องดูเลยว่านางอารมณ์ดีหรือเปล่า
สวีถังหรานยื่นมือเข้าไปลูบต้นขาของนางในผ้าห่ม “ติดตามนายท่านมานานขนาดนั้นแล้ว มีครั้งไหนบ้างที่ไม่หวาดเสียว มีกำลังพลห้าหมื่นก็กล้าสู้กับทัพใหญ่หนึ่งล้าน เก่งกาจเชียวนะ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก ที่เข้ากล้าทำแบบนี้ ก็แสดงว่าต้องมีความมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาได้แน่นอน ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก”
เสวี่ยหลิงหลงทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่กังวลอะไรเลยสักนิดจริงๆ เหรอ? กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นฆ่ากันเองมันไม่ใช่เรื่องเล็กนะ!”
“จุ!” สวีถังหรานเดาะปาก จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็ไม่ใช่คนไร้หัวจิตหัวใจ จะไม่กังวลเลยสักนิดได้ยังไง? แต่ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? มีใครไม่รู้บ้างว่าข้าตามติดนายท่านที่สุด จะว่าข้ายังไงข้าก็ไม่เป็นไรหรอก ขอเพียงนายท่านไม่ล้ม ข้าก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้านายท่านล้มเมื่อไร ใครจะเอาคนที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่อย่างข้าล่ะ? ข้าก็ได้แต่หวังว่านายท่านจะไม่เป็นอะไร นอกจากนี้แล้ว ข้าคิดมากไปแล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
“อย่าบอกนะว่า…” เสวี่ยหลิงหลงถามอย่างลังเล “อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยคิดที่จะยืนได้ด้วยตัวเองเลย?”
มือของสวีถังหรานที่อยู่ใต้ผ้าห่มตีต้นขาที่เกลี้ยงเกลาของนาง “ยืนได้ด้วยตัวเองแต่ก็ยังเป็นลูกน้องคนอื่นเหมือนเดิม จะให้ข้าไปนั่งบัลลังก์ตำหนักฟ้าดินรึไง? ฮูหยินเอ๊ย! คนเราจะมีค่าก็เพราะรู้จักข้อบกพร่องของตนเอง ถ้าไม่มีความสามารถก็ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้น ข้ารู้ตัวเองว่าทำอะไรได้ขนาดไหน ไม่มีความสามารถนั้นหรอก! ถ้าไม่มีใครมาขวางตรงหน้าข้า กายเนื้อของข้าคนเดียวก็ต้านทานทวนในที่แจ้งกับธนูในที่ลับพวกนั้นไม่ไหวหรอก ดังนั้น ตั้งใจทำสิ่งที่ตัวเองถนัดให้ดี ตั้งใจเป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว คนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญ ในปีนั้นคนที่หัวเราะเยาะข้ามีเยอะแยะ แต่เจ้าเห็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่ตลาดสวรรค์ในปีนั้นมั้ย ครั้งก่อนที่ข้าพาเจ้าไปเดินเล่นเจ้าก็เห็นแล้ว เป็นคนที่เข้าตลาดสวรรค์พร้อมกันกับข้า ตอนนี้ยังมีหลายคนที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้ช่วยผู้บัญชาการด้วยซ้ำ พอเห็นข้าแล้วมีใครไม่เคารพเกรงใจประสบสอพลอข้าบ้าง? เพราะรู้ว่าข้าสนิทกับผู้บัญชาการใหญ่ของพวกเขาไง หวังว่าข้าจะเห็นแก่มิตรภาพเก่าๆ แล้วช่วยพูดให้ อย่าบอกนะว่าพวกเขาทำตัวสูงส่งแล้ว? ถ้าอยากจะเป็นคนกล้าหาญก็อย่าปากอ่อน ก็กล้าแต่นินทาลับหลังสองสามคำเท่านั้นแหละ มีใครกล้าพูดต่อหน้าข้าบ้างล่ะ? ถ้าข้าเป็นคนต่ำทราม งั้นพวกเขาก็เป็นคนจอมปลอมขนานแท้แล้ว ไม่ต้องมีใครว่าใครทั้งนั้น!”
พอพูดถึงเรื่องตลาดสวรรค์ เสวี่ยหลิงหลงก็กล่าวอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย “ทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่สวีได้นะ?”
พอพูดถึงท่านแม่สสวี สวีถังหรานก็กินปูนร้อนท้องนิดหน่อย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้ยินข่าวว่าที่หอกลิ่นสวรรค์มีผู้หญิงคนหนึ่งชมตัวเองว่าในปีนั้นสนิทกับเสวี่ยหลิงหลงอย่างนั้นอย่างนั้น เขาก็เลยโมโหมาก ด้วยตำแหน่งที่เขาอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เขาต้องระวังผลกระทบนิดหน่อย มันใช่เรื่องเหรอที่มีเพื่อนสาวในปีนั้นมาเปิดเผยเรื่องในอดีตของเสวี่ยหลิงหลงบ่อยๆ? ด้วยความโมโห เขาจึงให้หวงเสี้ยวเทียนวางกับดัก กำจัดทุกคนของหอกลิ่นสวรรค์ทิ้งเสียเลย แม้แต่คนที่ถูกไถ่ตัวไปแล้วก็ไม่ปล่อยไว้สักคน ขอเพียงเคยทำงานร่วมกับเสวี่ยหลิงหลง ก็ไม่ปล่อยให้เหลือรอดชีวิตสักคน
เขาไม่กล้าบอกเรื่องนี้ให้เสวี่ยหลิงหลงรู้ และไม่อยากให้เสวี่ยหลิงหลงคิดมากด้วย ไต่มือเข้าไปในเสื้อผ้าของเสวี่ยหลิงหลงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“เชอะ! คิดจะทำอะไรอีก?”
“ฮูหยินงามล้ำเลิศขนาดนี้ จะให้อดใจไหวได้ยังไง ยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”
“ทำเป็นเล่น อย่าบีบซี้ซั้วสิ”
“ข้าแค่มาส่งคนรอบเดียวเอง อยู่นานไม่ได้ อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้กว่าจะได้มาอีก ต้องฉวยโอกาสนี้ป้อนเจ้าให้อิ่มสิ…”
หออวิ๋นฮว๋า พอเหมียวอี้ที่เปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบแม่ทัพเกราะม่วงสองแถบเดินออกมาจากร้านค้า ทางด้านซ้ายและขวาก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่มาทันที มาขวางเขาไว้แล้ว
กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรีบหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา ลูกธนูดาวตกเล็งคนที่เข้ามาล้อมไว้แล้ว
เมื่อเห็นว่าคนกลุ่มนี้ไม่หวาดกลัวเลย เหมียวอี้ที่ได้รับคำเตือนมาจากตระกูลโค่วก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ถามเสียงเรียบว่า “ใครกันกล้ามาทำกำเริบเสิบสานที่นี่?”
หนึ่งในนั้นกุมหมัดคารวะ “แม่ทัพภาคหนิว เรือนเจิดจรัสเตรียมสุราอาหารเลิศรสไว้แล้ว ส่งข้าน้อยมารับนายท่านไปร่วมงานเลี้ยงขอรับ”
อีกคนหนึ่งก็กุมหมัดคารวะเช่นกัน “แม่ทัพภาคหนิว คาดว่าท่านคงได้รับบัตรเชิญจากตึกจันทราดาราแล้ว ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาต้อนรับ”
แล้วก็มีอีกคนแสยะยิ้ม “แม่ทัพภาคหนิว ข้าเป็นคนที่หอฉางเจินส่งมา ได้โปรดให้เกียรติไปร่วมงานด้วย”
คนที่อยู่ในร้านหออวิ๋นฮว๋าต่างก็ชำเลืองมองมาทางนี้
เหมียวอี้โบกมือไปทางซ้ายและขวา บอกใบลูกน้องให้วางธนูลง จากนั้นเอาสองมือไขว้หลัง แล้วกล่าวอย่างสงบเยือกเย็น “ข้าได้รับบัตรเชิญจากสามตระกูลแล้ว เพียงแต่เรื่องทุกอย่างต้องมีก่อนมีหลัง พวกเจ้าสามตระกูลมาพร้อมกันแบบนี้ ข้าก็ไม่มีทางไปพร้อมกันสามงานได้ เอาอย่างนี้ดีมั้ย…” เขาชี้ไปบนฟ้า “ข้าไม่อยากล่วงเกินตระกูลไหนทั้งนั้น ข้าจะออกคำสั่งให้พวกเจ้าออกไปนอกเมือง พวกเจ้าไปประลองกันสักยก ถ้าใครชนะข้าก็จะไปงานของตระกูลนั้น ยุติธรรมมีเหตุผล แบบนี้ดีมั้ย?”
เขาพึมพำในใจ ว่าถ้าออกไปแล้วก็อย่าได้คิดจะกลับเข้ามาเลย ถ้าสามตระกูลนั้นมีลูกน้องอยู่ในเมืองน้อยลง จะได้ลดภัยคุกคามของเขาด้วย ข้าไม่เปิดประตูเมืองหรอกโว้ย ถ้าเก่งนักก็โจมตีเข้ามาเองสิ
ความคิดนี้ไม่เลวนี่! พอลูกน้องที่อยู่สองฝั่งได้ยินแบบนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่ยิ้มมุมปาก เพียงแต่ใบหน้าที่เปื้อนเลือดทำให้ดูดุร้ายน่าเกลียดอยู่บ้าง
คนที่สามตระกูลส่งมามองหน้ากันเลิกลั่ก นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะเอ่ยถึงวิธีการนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี กำลังครุ่นคิดว่าจะรายงานขึ้นไปถามเบื้องบนดีหรือไม่
ใครจะคิดว่าจู่ๆ ตรงซอยข้างกันจะมีคนโผล่มาทำลายเรื่องดีๆ ของเหมียวอี้ “แม่ทัพภาคหนิว ไม่ต้องประลองหรอก ไปที่หอฉางเจินก่อนเถอะ” หานตงเอามือไขว้หลังเดินเนิบนาบออกมา
“พี่หาน เรื่องนี้ท่านจะตัดสินใจเองไม่ได้นะ!” ในร้านค้าตรงข้ามมีชายชราคนหนึ่งเดินช้าๆ เข้ามา เขาคือเจ๋อชุนชิว ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลอิ๋ง
“ที่พี่เจ๋อพูดก็มีเหตุผล” ร้านค้าที่อยู่ข้างกันมีสตรีวัยกลางคนที่สวยพริ้งคนหนึ่งโผล่มา นางเดินลากชุดกระโปรงยาวสีสันแพรวพราวออกมา นางคือฝานไซ่เซียน ผู้จัดการใหญ่ร้านค้าของตระกูลฮ่าว
หานตงกวาดมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีใครยอมใครจริงๆ ด้วย ฝั่งเขาอยากจะมาดักคนไว้ แต่อีกสองตระกูลก็คิดได้เหมือนกัน เขาแสยะยิ้มแล้วบอกว่า “เกรงว่าคงจะตามใจทั้งสองท่านไม่ได้แล้ว!”
“ช่างพูดจาโอ้อวดเหลือเกิน!” ฝานไซ่เซียนกล่าวกลั้วหัวเราะ
หานตงจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ก็ช่วยไม่ได้ ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาทำงาน ย่อมต้องพูดโอ้อวดได้มากกว่าพวกท่านทั้งสองอยู่แล้ว”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เจ๋อชุนชิวกับฝานไซ่เซียนก็สีหน้าเปลี่ยนทันที เหมียวอี้พลันมองไปที่หานตง
หานตงไม่สนใจสองคนนั้นอีก แต่กุมหมัดคารวะต่อเหมียวอี้อย่างสุภาพ “ตำหนักสวรรค์สั่งให้สามหน่วยงาน ได้แก่หน่วยตรวจการขวา กองทัพองครักษ์ และทัพตะวันตกให้มาสืบคดีแล้ว คนของทัพตะวันตกมาถึงก่อนแล้วก้าวหนึ่ง กำลังรอสืบสวนนายท่านอยู่ที่หอฉางเจิน หวังว่านายท่านจะไม่ชักช้า!” ขณะที่พูดก็หันตัวยื่นมือเชิญ “เชิญ!”
เหมียวอี้จึงตอบด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “ทำไมข้าไม่ได้ยินว่าว่ามีคำสั่งอะไรของตำหนักสวรรค์เลยล่ะ?” เขารู้ว่าถ่วงเวลาไปก็เท่านั้น อีกฝ่ายกุมทัพตะวันตกไว้ในมือ ตราบใดที่ได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ จะพูดซ้ำว่าส่งใครมาก็ได้ทั้งนั้น เพราะทุกคนล้วนได้รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ให้มาทำงาน
หานตงจึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับใครก็ไม่รู้ในทันที ใช้เวลาเพียงประเดี๋ยวเดียว เหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจาดอวี่จ้งเจินแล้ว บอกว่าทางทัพตะวันตกส่งคนมาสืบคดีแล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่การสืบสวน แต่อยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์บางอย่าง ให้เขาให้ความร่วมมือ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าขัดคำสั่ง!
เมื่อเห็นเขาวางระฆังดาราแล้ว หานตงก็ยิ้มบางๆ แล้วยื่นมือเชิญอีกครั้ง “เชิญ!”
เหมียวอี้ไม่มีอะไรต้องพุดแล้ว เหาะขึ้นฟ้าไปทันที โดยมีลูกน้องกลุ่มหนึ่งตามไป
หานตงก็นำคนเหาะขึ้นไปท่ามกลางฝูงเช่นกัน เมื่อมีคำสั่งนี้อยู่ในมือ กฎของตลาดสวรรค์ก็ควบคุมเขาไม่ได้
เจ๋อชุนชิวกับฝานไซ่เซียนทำสีหน้าเย็นเยียบ ต่างก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้อุบาย แต่อีกฝ่ายอ้างคำสั่งสวรรค์มาข่มแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งสวรรค์อย่างเปิดเผย ได้แต่เสียเปรียบอยู่อย่างนั้น
“หวังเฟย คนมาถึงฝั่งพวกเราก่อนแล้ว กำลังจะถึงแล้วขอรับ”
นอกประตูที่มีผ้าม่านห้อย โกวเยว่ที่ได้รับข่าวมาแจ้งข่าวให้รู้ตรงประตู
เม่ยเหนียงที่นั่งรอสวยๆ อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งได้ยินแล้วดีใจมาก โกวเยว่อธิบายสถานการณ์ให้นางรู้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่ามีหลายบ้านที่ส่งบัตรเชิญมาแย่งตัวคน นางคิดไม่ถึงว่าโก่วเยว่จะคิดหาวิธีข่มบ้านที่เหลือและชิงตัวคนมาที่นี่ได้ก่อน นางกล่าวขอบคุณอย่างยินดีปรีดาทันที “พ่อบ้านโก่วเยว่ช่างมีความสามารถ การที่ท่านอ๋องส่งพ่อบ้านให้ออกโรงเองนั้นถูกต้องแล้ว”
“เป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของบ่าว ถ้าหวังเฟยเตรียมตัวเสร็จแล้วกรุณาแจ้งบ่าวด้วย” โกวเยว่เตือน
“ได้!” เม่ยเหนียงรีบเอ่ยรับ หลังจากโกวเยว่ออกไปแล้ว นางก็หันตัวมาทันที ผลปรากฏว่าลูกสาวหายตัวไปแล้ว นางจึงถลึงตาเรียก “คนล่ะ? เม่ยเอ๋อร์ รีบออกมา!”
…………………………