นิสัยเสียเล็กน้อย? กองทัพองครักษ์กับกำลังพลท้องถิ่นเข่นฆ่ากันจนเลือดนองเป็นแม่น้ำแล้ว มีคนตายไปแล้วหลายแสนคน ยังนับเป็นนิสัยเสียเล็กน้อยด้วยเหรอ?
ซ่างกวนชิงพึมพำในใจ ค่อนข้างพูดไม่ออก แต่เขาก็รู้ว่าใต้หล้านี้เป็นของประมุขชิง ขอเพียงประจบให้ประมุขชิงนิยมชมชอบได้ ต่อให้ผิดแต่ก็จะกลายเป็นถูกอยู่ดี ขอเพียงใจประมุขชิงคิดว่าเจ้าทำถูก นั่นก็แปลว่าเจ้าถูก แต่ถ้ายั่วโมโหให้ประมุขชิงรำคาญใจ ต่อให้เจ้าทำดีแค่ไหน แต่ก็จะสงสัยว่าเจ้ามีเจตนาแอบแฝง คนเราก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้มีเหตุผลอะไรสักเท่าไรเลย
เขามองไปยังหมู่ตำหนักที่สูงต่ำสลับกันโดยรอบ ในบรรดาวังหลังก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน บรรดาหญิงงามจำนวนนับไม่ถ้วน มีคนไหนบ้างที่ไม่อยากประจบให้ได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาท ขอเพียงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท อย่าว่าแต่สามารถโอ้อวดความสูงส่งของตัวเองต่อหน้าคนอื่นได้เลย วาสนายังแผ่ไปถึงครอบครัวที่อยู่นอกวังได้ด้วย ทำผิดเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยกตัวอย่างเช่นสนมสวรรค์หรูอี้แห่งตำหนักบูรพา เห็นอยู่ชัดๆ ว่ารักษาระยะห่างกับฝ่าบาทมาตลอด แต่ฝ่าบาทกลับคิดว่านางเป็นคนตรงไปตรงมา มักจะถ่อไปหาสนมที่ใบหน้าเย็นชาคนนั้นเสมอ ทำให้คนไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี นี่ก็คือการได้รับความนิยมชมชอบจากฝ่าบาท เรื่องราวต่างกัน แต่หลักการกลับเหมือนกัน
ซ่างกวนชิงรู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่โพ่จวิน ที่จะกล้าพูดทุกอย่างกระแทกหน้าประมุขชิง สิ่งที่โพ่จวินพูดได้ แต่โพ่จวินกลับพูดไม่ได้ ดังนั้นเขาเองก็ไม่อาจพูดขัดใจประมุขชิง ควรจะเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินจะฝืนเกลี้ยกล่อมประมุขชิงได้อย่างไร
หนิวโหย่วเต๋อพูดจาประจบให้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท สนมสวรรค์หรูอี้เย็นชาใส่ฝ่าบาทจนได้รับความโปรดปราน ส่วนโพ่จวินก็เอาแต่เถียงจนฝ่าบาทไปต่อไม่เป็นถึงได้รับความโปรดปราน สามวิธีการช่วงชิงหัวใจราชันที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด แต่ในสายตาซ่างกวนชิงกลับมีจุดที่เหมือนกัน เป็นเพราะทั้งสามมีนิสัยแบบนี้มาตลอด ในสายตาฝ่าบาทนี่คือความจริงใจตรงไปตรงมา
หนิวโหย่วเต๋อ ตั้งแต่วันแรกที่ฝ่าบาทรู้จักชื่อนี้ เจ้าตัวก็มักจะทำแบบนี้มาตลอด นั่นก็คือกล้าด่าอ๋องสวรรค์อิ๋งต่อหน้าว่าขายผู้หญิงแลกเกียรติยศ ไม่ว่าปากเจ้าหมอนี่จะพูดอะไรออกมา ก็ทำให้ฝ่าบาทเชื่อได้ง่ายว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเป็นการสอบสวนแบบเดียวกันแล้วคำพูดเด็ดเดี่ยวองอาจผึ่งผายแบบนี้ออกมาจากปากคนอื่น ในสายตาฝ่าบาทก็อาจจะสงสัยว่าเสแสร้งแกล้งทำ ส่วนสนมสวรรค์หรูอี้ก็ทำสีหน้าเย็นชาใส่ฝ่าบาทมาตลอด ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ถ้าสนมคนอื่นเอาเยี่ยงอย่างบ้าง ในสายตาฝ่าบาทก็จะมองว่าเสแสร้ง กลับจะทำให้ฝ่าบาทรังเกียจด้วยซ้ำ ส่วนโพ่จวินก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ตั้งแต่ติดตามรับใช้ฝ่าบาทมาก็มักจะเถียงกับฝ่าบาทเสมอ ถ้าคนอื่นเปลี่ยนลักษณะของตัวเองแล้วพูดจาเอาเยี่ยงอย่างโพ่จวินบ้าง ก็จะต้องโดนตัดหัวแน่นอน
แน่นอน เขาไม่จำเป็นต้องกล่าวชมอะไรเช่นกัน แต่เปลี่ยนประเด็นสนทนากับประมุขชิง “สามหน่วยงานที่ร่วมสอบสวน ทางทัพตะวันตกร้องเรียนมา ว่าทูตขวาเกาจงใจขังคนของอ๋องสวรรค์ไว้”
ประมุขชิงบอกว่า “ใครใช้ให้พวกเขาเป็นฝ่ายไปตกอยู่ในมือเก้ากวนเองล่ะ เรื่องนี้เก้ากวนรายงานขึ้นมาแล้ว! ข้าให้เก้ากวนรีบจบคดี แต่สี่ตระกูลนั้นกลับถ่วงเวลาอยากจะกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อประนีประนอม โดยเฉพาะฝั่งตระกูลก่วง! เก้ากวนตัดขาดการติดต่อระหว่างสี่ตระกูลนั้นกับหนิวโหย่วเต๋อแล้ว ขณะเดียวกันก็กำลังจับตัวคนของสี่ตระกูลนั้นเป็นตัวประกัน ถ้าคดีน่านฟ้าระกาติงยังไม่จบ เก้ากวนก็จะไม่ปล่อยคน เก้ากวนขอให้ข้าสั่งให้หน่วยตรวจการซ้ายให้ความร่วมมือแล้ว เมื่อถึงเวลาจำเป็นก็ให้สอบสวนเรื่องอะไรนิดหน่อยมาข่มสี่ตระกูลนั้นไว้ จะได้จบคดีนี้ได้เร็วๆ! เรื่องนี้เก้ากวนจัดการได้อย่างงดงาม ข้าจะมอบความกดดันเล็กน้อยให้พวกเขาต้านไว้!”
“รับทราบ!” ซ่างกวนชิงพยักหน้ารับปาก
ถ้าเบื้องบนประนีประนอมเรื่องนี้กันได้ เรื่องของคนระดับล่างก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรแล้ว ไม่นานก็ได้บทสรุปของคดีน่านฟ้าระกาติงแล้ว
ตัวประกันของสี่ตระกูลถูกบีบอยู่ในมือเก้ากวน เรื่องที่ขุนนางในราชสำนักขอให้สืบสวนกองทัพองครักษ์ที่ยัดคนเข้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาของสี่อ๋องสวรรค์ก็ถูกระงับไว้อย่างพอดิบพอดี ความรับผิดชอบของเซวียนหยวนจัวก็ไม่มีใครเอาเรื่องอีก คดีน่านฟ้าระกาติงได้บทสรุปว่า หนิวโหย่วเต๋อแค่นำกำลังพลโจมตีกลับเพราะปกป้องตัวเองเท่านั้น ทุกคนของน่านฟ้าระกาติงก็ไม่เป็นอะไร พวกเขาแค่ได้รับคำสั่งให้ทำงาน ทุกคนไม่เป็นอะไร แต่ความรับผิดชอบนี้จะต้องมีคนแบกรับไว้ ดังนั้นฉู่จื่อซานที่ตายไปจึงโชคร้ายที่สุด ความรับผิดชอบทุกอย่างไปรวมอยู่ที่ตัวฉู่จื่อซานคนเดียว
เมื่อคดีได้บทสรุปในราชสำนักแล้ว ในที่สุดเก้ากวนก็มีเวลาว่างไปสืบสวนคนของสี่อ๋องสวรรค์ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ย่อมเป็นผลจากการที่เบื้องบนยอมประนีประนอมกัน คนของสี่ตระกูลไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องด้วยจึงถูกปล่อยตัว
คดีที่ใหญ่สะเทือนฟ้า เดิมทีไม่รู้ว่าจะเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งมากมายขนาดไหน แต่สุดท้ายจากเรื่องใหญ่กลับกลายเป็นเรื่องเล็ก จากเรื่องเล็กกลายเป็นไม่มี เหมือนคลื่นลมที่ก่อตัวขึ้นสูง แล้วก็ผ่านไปเบาๆ ตลาดสวรรค์กลับมาคึกคักรุ่งเรืองเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
ดังนั้นทุกคนก็แทบจะถูกปล่อยตัวออกมาหมดแล้ว แต่หลังจากออกมาแล้วเหมียวอี้กลับพบความไม่ชอบมาพากล มีแค่อวิ๋นจือชิวที่ยังถูกขังอยู่ ไม่ถูกปล่อยตัวออกมา
เหมียวอี้รีบไปขอคำตอบจากอวี่จ้งเจินที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารททันที แต่พอไปถึงประตูกลับบังเอิญเห็นเกาก้วนกำลังจะนำกำลังพลออกไปพอดี เขาจึงดักเก้ากวนเอาไว้ ทำความเคารพแล้วถามว่า “ทูตขวาเกา ข้าน้อยขอคำชี้แนะ อวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไรแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? ทำไมยังไม่ปล่อยตัวนางออกมา?”
“กองทัพองครักษ์ของพวกเจ้าเป็นคนควบคุมตัวไว้ เรื่องดำเนินการตามกฎเจ้าไม่ควรมาถามข้า” เก้ากวนพูดทิ้งท้ายแล้วนำคนเหาะขึ้นฟ้าไป
เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ตรงประตู ฟังเข้าใจความหมายที่เก้ากวนสื่อแล้ว คนที่กักตัวไว้ไม่ปล่อยก็คืออวี่จ้งเจิน ไม่เกี่ยวอะไรกับเก้ากวน
ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ใครจะคิดว่าจู่ๆ จะมีคนสองคนตะโกนเรียก
“นายท่านหนิว ตึกจันทราดาราเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยง!”
“นายท่านหนิว เรือนเจิดจรัสเตรียมงานเลี้ยงไว้เพื่อดเนินการนัดหมายก่อนหน้านี้ต่อ”
เหมียวอี้หันตัวไปมอง พบว่าเป็นเจ้าพวกคนน่ารำคาญ เขาไม่มีอารมณ์จะต้อนรับขับสู้ “หัวหน้าภาคเรียกพบ มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง” พูดจบก็เดินก้าวยาวเข้าไปในภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท
โถงฉากเมฆา ถังเฮ่อเหนียนที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนดูสง่างามเพิ่งจะเดินออกจากประตูห้องอาบน้ำ โค่วเหวินหลานกับผู้จัดการใหญ่เสิ่นติงเฉินที่รออยู่ข้างนอกก็เข้ามาหาทันที ย่อมเป็นเพราะมีเรื่องสำคัญจะรายงานอยู่แล้ว
“มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่ยังไม่ถูกปล่อยตัว?” ถังเฮ่อเหนียนลูบเคราะพลางพึมพำ หลังจากขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “รู้อยู่แล้วว่าการป่วนแผนของฝั่งวังสวรรค์ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น ไปกันเถอะ พวกเขาวุ่นวายกันเสร็จแล้ว ทุกเรื่องเรียบร้อยแล้ว ถึงคราวที่พวกเราจะออกโรงแล้ว”
โค่วเหวินหลานกับเสิ่นติงเฉินมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วสุดท้ายก็รีบก้าวตามไป
ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท ในตึกศาลาที่หรูหรา พอเหมียวอี้เห็นอวี่จ้งเจินก็กุมหมัดคารวะขอคำชี้แนะทันที “นายท่านหัวหน้าภาค เรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าทำไมยังขังอวิ๋นจือชิวไม่ยอมปล่อย?”
อวี่จ้งเจินโบกมือไล่ทุกคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาให้ถอยออกไปก่อน แล้วเอามือไขว้หลังเดินช้าๆมาตรงหน้าเหมียวอี้ จ้องประเมินเหมียวอี้พักใหญ่ สุดท้ายก็บอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว แต่ความจริงเป็นอย่างไรทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ เจ้าก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าไม่ลงโทษเลย แล้วจะคุมคนที่เหลือได้ยังไง? ถ้าในภายหลังมีคนเอาเยี่ยงอย่างเจ้าบางจะทำยังไง? เบื้องบนของหน่วยงานนี้พอจะได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว เกรงว่าเจ้าคงจะอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพภาคนี้ไม่ได้อีก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะโดนลงโทษให้ลดตำแหน่งสองขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ เจ้าเตรียมใจไว้เถอะ ในเมื่อทำเรื่องแบบนี้แล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา! ให้พวกลูกน้องเตรียมตัวสักหน่อย กลับไปรอบทสรุปการลงโทษที่อุทยานหลวงเถอะ!”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เบื้องบนจะลงโทษยังไงข้าก็ยอมรับทั้งนั้น แต่ที่ข้าน้อยไม่เข้าใจก็คือ ทำไมถึงไม่ปล่อยอวิ๋นจือชิวออกมา?”
อวี่จ้งเจินตอบเสียงเรียบว่า “ไม่ได้บอกว่าจะไม่ปล่อยนาง! เพียงแต่บรรดาเหนียงเหนียงที่วังสวรรค์บอกว่าเครื่องประดับของหออวิ๋นฮว๋าสวยใช้ได้เลย ผู้การใหญ่ซ่างกวนจึงสั่งมา ว่าให้พาอวิ๋นจือชิวนำเครื่องประดับไปส่งที่วังสวรรค์ด้วยกัน”
“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เขาก็ยังไม่ค่อยวางใจ ไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่วังหลัง จึงตอบว่า “อวิ๋นจือชิวไม่เคยได้เข้าสังคม กลัวว่าจะไปทำอะไรล่วงเกินเหล่าสนม ไม่สู้จะให้ข้าน้อยกับอวิ๋นจือชิวปรึกษากันก่อนดีมั้ยขอรับ ข้าน้อยนำเครื่องประดับไปส่งให้ก็สิ้นเรื่องแล้ว”
อวี่จ้งเจินบอกว่า “ไม่ต้องแล้ว ผู้การซ่างกวนบอกมาชัดเจนว่าให้อวิ๋นจือชิวไปด้วยตัวเอง”
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ตกใจ “ทำไมต้องให้อวิ๋นจือชิวไปด้วยตัวเอง?”
อวี่จ้งเจินทำเสียงฮึดฮัด แล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าถามหน่อยว่าเจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่? อย่าคิดว่าเบื้องบนไม่รู้ว่านะว่าลูกน้องคนสนิทของสี่อ๋องสวรรค์มาโผล่อยู่ที่นี่เพราะเรื่องอะไร หรือเจ้าคิดว่าคนของสี่ตระกูลนั้นจะปล่อยอวิ๋นจือชิวไปง่ายๆ? เบื้องบนกังวลว่าสี่ตระกูลนั้นจะเอาใช้อวิ๋นจือชิวมากดดันเจ้า อาศัยกำลังของเจ้าจะต้านทานไหวเหรอ? ผู้การซ่างกวนมีเจตนาดี ที่บอกว่าบรรดาเหนียงเหนียงอยากดูเครื่องประดับน่ะโกหก ที่จริงเป็นข้ออ้างในการปกป้องอวิ๋นจือชิว อยากจะช่วยให้พวกเจ้าสองคนสมหวังก็เท่านั้นเอง เข้าใจแล้วใช่มั้ย?”
เป็นอย่างนี้นี่เอง! เหมียวอี้โล่งอก แต่ก็ยังขมวดคิ้วอีก อวิ๋นจือชิวไม่อาจอยู่ที่วังสวรรค์ได้ตลอดไป แต่ต่อให้สามารถอยู่ที่วังสวรรค์ได้ต่อไป อำนาจของสี่อ๋องสวรรค์ก็ยื่นเข้าไปในวังหลังตั้งนานแล้ว ถ้าพูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ต่อให้อวิ๋นจือชิวจะอยู่อย่างปลอดภัยที่วังสวรรค์ แต่นั่นก็เท่ากับกลายเป็นตัวประกันในมือตำหนักสวรรค์แล้ว ถ้าความลับของเขาถูกเปิดโปงขึ้น อวิ๋นจือชิวก็จะเป็นคนแรกที่ซวย
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังกังวลอะไร ไม่ต้องกังวล ผู้การซ่างกวนอยู่ที่วังสวรรค์ ถ้าอยากจะปกป้องใครสักคนก็ไม่มีปัญหา ขนาดราชินีสวรรค์ก็ยังต้องเคารพผู้การใหญ่สามส่วนเลย ใครจะกล้าลงมือกับคนที่ผู้การซ่างกวนปกป้องล่ะ นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายการมีชีวิตอยู่ ไม่อยากอยู่ที่วังสวรรค์แล้วเท่านั้นแหละ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดมากเลย!” อวี่จ้งเจินยกมือตบบ่าเหมียวอี้ แล้วบอกอีกว่า “เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน สี่ตระกูลจะเกาะแกะเจ้าไม่ปล่อย จะหาช่องโหว่ลงมือกับเจ้า เตรียมกำลังพลกลับอุทยานหลวงเดี๋ยวนี้ ข้าจะเป็นโล่กำบังให้ ทำให้พวกเขาไม่กล้าดันทุรังเข้ามา! ไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ อย่าถ่วงเวลา!”
“ขอรับ!” เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ หยิบระฆังดาราออกมาสั่งมู่อวี่เหลียนให้จัดกำลังพลกลับไป
ผ่านไปไม่นาน กำลังลพกองทัพองครักษ์ที่อยู่ที่ตลาดสวรรค์ดาวจิ่วหวนทั้งหมดก็มารวมตัวกันแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถูกกองทัพองครักษ์คุ้มกันให้กลับหออวิ๋นฮว๋าไปหยิบเครื่องประดับมาไม่น้อยเช่นกัน จากนั้นก็ไปเจอเหมียวอี้ที่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารท
โกวเยว่ จั่วเอ๋อร์ ต้วนหงที่ได้รับข่าวจึงปลอมใบหน้าและปรากฏตัวแล้ว มาเจอกันบนภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขายืนอยู่ริมหน้าต่าง ได้แต่มองเหมียวอี้ปะปนอยู่กับกลุ่มคนของกองทัพองครักษ์และเดินออกจากประตูใหญ่ภัตตาคารบุปผาวสันต์จันทร์สารทไป
หลายครั้งที่คนฝั่งนั้นอยากจะส่งคนมาเข้าใกล้เหมียวอี้ แต่ก็ไม่มีหนทางเลย ทุกคนถูกอวี่จ้งเจินขวางไว้ สาเหตุก็เป็นเพราะกองทัพองครักษ์ต้องควบคุมตัวหนิวโหย่วเต๋อกลับไปสอบสวนที่กองทัพองครักษ์ เรื่องที่น่านฟ้าระกาติงผ่านไปแล้ว แต่เรื่องที่ฆ่าทหารในตลาดสวรรค์ยังไม่จบ
ต่อให้ทุกคนจะใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่กล้าฝืนแย่งคนจากมืออวี่จ้งเจิน ถูกอวี่จ้งเจินเล่นงานจนหมดแผนการจะรับมือ ความได้เปรียบของฝ่ายวังสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่สี่อ๋องจะเทียบติด
“ถังเฮ่อเหนียนล่ะ?” จู๋ๆ จั่วเอ๋อร์ก็รู้ตัว แล้วหันซ้ายหันขวาถาม
ทั้งสามมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา สุดท้ายก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องนี้ ตระกูลโค่วเงียบเกินไปหน่อย
นอกเมือง พอกำลังพลกองทัพองครักษ์เหาะขึ้นไปบนฟ้าได้ครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีเงาคนหลายคนทยอยกันเหาะเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถังเฮ่อเหนียนที่ปรากฏตัวคนสุดท้ายมาขวางหน้าทัพใหญ่เอาไว้
อวี่จ้งเจินโบกมือห้ามทัพใหญ่ จ้องพวกเขาด้วยสีหน้าระแวดระวัง แล้วจะโกนถามว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
ใครจะคิดว่าถังเฮ่อเหนียนจะค่อยๆ โค้งเอวให้อวิ๋นจือชิวที่อยูท่ามกลางคนกลุ่มนั้น พร้อมกล่าวอย่างเคารพว่า “บ่าวคารวะคุณหนู!” เสียงดังฟังชัดมาก
โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างกันรู้สึกเซ็งในใจ แต่กลับทำความเคารพเช่นเดียวกัน “เหวินหลานคารวะอาหญิง!” เสียงดังก้องไม่แพ้กัน
…………………………