พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1569 สนมสวรรค์เรียกพบ

ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก แค่มองปราดเดียวประมุขชิงก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็มีจุดที่แปลกพิสดารแบบนี้อยู่ พอร่ายอิทธิฤทธิ์ศึกษาดูอย่างละเอียด ก็รู้วิธีการใช้แล้ว พอเขายกปิ่นปักผมในมือขึ้นมา ผีเสื้อสีแดงที่เกาะอยู่ด้านบนก็กระพือปีกบินทันที บินเบาๆ อยู่ระหว่างพวกเขา ดึงดูดสายตาทุกคนแล้ว

ประมุขชิงยื่นนิ้วไปรับให้ผีเสื้อมาเกาะพัก แล้วก็หัวเราะเบาๆ พอดีดนิ้วหนึ่งที ผีเสื้อก็ตกใจบินขึ้นมาอีก บินวนรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมาเกาะบนกิ่งไม้สีเขียวมรกตเหมือนเดิม

คนรอบๆ เห็นแล้วรู้สึกแปลกใจอัศจรรย์ใจไม่หยุด ประมุขชิงมองดูปิ่นปักผมในมือซ้ำๆ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เป็นเครื่องประดับที่ประณีตงดงาม วันนี้ข้าได้เห็นของประเภทนี้เป็นครั้งแรก อืม! น่าสนใจ สวยงามดูดี”

พอได้ยินเขาบอกว่าสวยงามดูดี กลุ่มสนมก็จ้องเครื่องประดับในมือเขาอย่างตาลุกวาวทันที

ว่ากันว่าหอคอยใกล้น้ำมักได้พระจันทร์ ก่อน[1] สายตาประมุขชิงเพิ่งไปหยุดอยู่บนศีรษะจ้านหรูอี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับถือโอกาสก้าวเข้ามา แล้วยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย “ประทานเป็นรางวัลให้หม่อมฉันดีมั้ยเพคะ?”

นางเอ่ยปากต่อหน้าฝูงชนแล้ว ประมุขชิงเองก็รู้ว่านางไม่อยากโดนคนอื่นแย่งทำตัวเด่นเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่านางสนม เขาจึงยิ้มบางๆ พร้อมยื่นมือออกไป ปักปิ่นไว้บนมวยผมของนาง

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เงยหน้ายืดอก แล้วใช้มือลูบปิ่นปักผมบนยอดศีรษะเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาทรู้สึกว่าหม่อมฉันดูดีมั้ยเพคะ?”

พูดอะไรดีๆ ก็ไม่เสียหายอะไร ประมุขชิงยิ้มพลางพยักหน้า “มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ดูดี”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้หน้าได้ตาเต็มที่ทันที ชำเลืองสนมที่อยู่ทางซ้ายและขวาโดยจิตใต้สำนึก แล้วย่อเข่าคำนับ “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”

ประมุขชิงโบกมือ บอกใบ้ว่าไม่เป็นอะไร แล้วกล่าวกับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่และจ้านหรูอี้ด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ค่อยเข้าใจของพวกนี้ แค่ดูไปอย่างนั้นเอง ราชินีสวรรค์กับสนมสวรรค์เลือกเอาเองแล้วกัน” จากนั้นก็หันตัวไป เอามือไขว้หลังเดินชมเครื่องประดับในกล่องอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่ได้หยิบขึ้นมาอีก ไม่อย่างนั้นจะทำให้ผู้หญิงกลุ่มนี้หึงหวงได้ง่าย ดีไม่ดีที่วังหลังอาจจะมีการตายโดยไร้สาเหตุอีกหลายคน

ตลอดทางที่เดินดูนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ไม่เบามือ พอรู้สึกว่าชิ้นไหนดีหรือดูดี ก็จะหยิบเอาไว้เสียเลย มีเทพธิดาเข้ามาช่วยถือไว้ เลือกไปเป็นร้อยชิ้น บางชิ้นสนมคนอื่นชอบพอดี ทำให้หลายๆ คนแอบแค้น

จ้านหรูอี้กลับหยิบไม่เกินสามครั้ง เลือกไปได้สามชิ้นก็หยุดแล้ว

หลังจากพวกเขาดูเสร็จแล้ว  เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมกวักมือเรียกสนมคนอื่นมาดู “ของสวยใช้ได้เลย น้องๆ มาดูสิ”

เมื่อได้ยินนางพูดแบบนี้แล้ว ก็มีกลุ่มผู้หญิงรีบเดินเข้ามาในนั้นทันที ลำดับการดูทำให้มองออกถึงฐานะอาวุโส ถ้าได้รับความโปรดปรานที่วังหลังก็จะมีฐานะหน่อย ข้างหลังไม่มีใครกล้าข้ามหน้าข้ามตา ตามเลือกของที่เหลืออยู่ข้างหลังน่ะถูกแล้ว

ตอนนี้มีเสียงหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริง หยิบเครื่องประดับมาช่วยกันสวมใส่แล้ววิจารณ์กันว่าสวยหรือไม่สวย

ครั้งนี้อวิ๋นจือชิวนำเครื่องประดับมาเยอะกว่าคนที่อยู่ที่นี่ แต่สนมบางคนเห็นแล้วเดือดดาล รอจนคนข้างหน้าเลือกไปหมดแล้ว จะให้ตัวเองไปตามเก็บเศษขยะรึไงล่ะ? จึงไปคุยเล่นอยู่ข้างๆ เสียเลย ขี้คร้านจะเข้ามาประสมโรงด้วย

แต่จะทำแบบนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน มีบางคนชำเลืองมองพวกนางแวบหนึ่ง นี่กำลังรังเกียจที่พวกเราทำตัวธรรมดาสามัญเหรอ? พวกเจ้ากำลังวางมาดสูงส่งใช่มั้ย?

ยกตัวอย่างเช่นเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน นางส่งสายตาบอกใบ้ให้สนมคนอื่นจำชื่อสนมพวกนั้นเอาไว้แล้ว กลับไปต้องให้บทเรียนพวกนางสักหน่อย

ประมุขชิงเพิ่งจะกลับมานั่งในศาลา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ตามมานั่งข้างๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาท ท่านดูพวกน้องๆ สิเพคะว่าดีใจขนาดไหน เครื่องประดับสวยงามประณีตแบบนี้พบได้น้อยมาก ตามความเห็นของหม่อฉัน ไม่สู้ให้บุตรสาวบุญธรรมของอ๋องสวรรค์หยุดกิจการ แล้วนำของมาถวายเข้าวังตำหนักสวรรค์วังหลังอย่างเดียวเลยดีมั้ยเพคะ?”

ประมุขชิงตอบเสียงต่ำว่า “แบบนี้ไม่เหมาะสมสมกระมัง เจ้าตัวเปิดร้านทำการค้า แบบนี้ไม่เท่ากับตัดขาดธุรกิจของคนื่อนเหรอ ถ้าทุกคนอยากได้จริงๆ ต่อไปให้นางนำมาส่งให้อีกก็ได้”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่จงใจกลอกตามองเขา “ทำไมฝ่าบาทไม่เข้าใจเพคะ ถ้าเครื่องประดับที่น้องๆ ในวังหลังสวมใส่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปข้างนอก แบบนั้นยังจะมีความหมายอะไรล่ะเพคะ? แบบนั้นพวกน้องๆ จะไม่เสียเกียรติเหรอ!”

ประมุขชิงเข้าใจในทันที สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหน้าศักดิ์ศรีอันจอมปลอมของผู้หญิง แต่ก็ถามอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “วังหลังมีอยู่แค่ไม่กี่คน แบบนี้จะไม่ทำลายธุรกิจของนางเหรอ” ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง เขายังสนใจว่าคนในใต้หล้าจะมองเขาอย่างไร

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอกว่า “ชดเชยราคาให้ เพิ่มราคาให้ ไม่ทำให้นางขาดทุนก็พอแล้ว ฝ่าบาทคงไม่เสียดายเงินนี้เพื่อพวกน้องๆ หรอกใช่มั้ยเพคะ? หลังจากทำเป็นของบรรณาการแล้ว ในภายหลังยังทำเป็นรางวัลประทานให้ฮูหยินบรรดาศักดิ์ได้”

ประมุขชิงหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าไปปรึกษากับซ่างกวนก็แล้วกัน”

“งั้นหม่อมฉันจะถือว่าฝ่าบาทตอบตกลงแล้วนะเพคะ” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าว

ประมุขชิงชี้นาง แล้วยิ้มพลางส่ายหน้า ทำท่าเหมือนหมดหนทางกับนางแล้ว นับว่าตอบตกลงก็แล้วกัน เมื่ออยู่ต่อหน้ากลุ่มนางสนม เขาไว้หน้านายหญิงของวังหลังเต็มที่

พอหันกลับมา เขาก็มองไปยังจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มอีกว่า “เหมือนสนมรักจะมีเรื่องอะไรในใจนะ?”

จ้านหรูอี้ค่อนข้างเหม่อลอยจริงๆ พอได้ยินคำถามก็ได้สติกลับมา นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “หม่อฉันได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อโดนทำโทษอยู่ในที่นาหลวง หม่อมฉันอยากจะไปดูเขาสักหน่อยเพคะ” นางไม่ปิดบังความคิดตัวเองเลยสักนิด นางคิดแบบนี้จริงๆ

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วหงุดหงิดทันที แล้วเตือนว่า “สนมสวรรค์ กล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง? ตอนนี้เจ้าเป็นสนมของฝ่าบาท มีอย่างที่ไหนจะเสนอหน้าไปเจอผู้ชายได้ตามใจชอบ!”

ประมุขชิงยกมือขึ้นห้ามนาง ไม่ให้นางพูดต่ออีก แล้วถามจ้านหรูอี้อย่างสงสัยว่า “สนมรัก จะไปหาเขาทำไม?”

จ้านหรูอี้ตอบอย่างสุขุมว่า “ถึงยังไงเขาก็เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของหม่อมฉัน ตอนนี้กำลังถูกทำโทษ หม่อมฉันเลยอยากไปเห็นสักหน่อยว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้ว”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับฟังได้ความหมายอื่น แสยะยิ้มบอกว่า “สนมสวรรค์ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเคยมีความค้นต่อกัน แต่ตอนนี้เจ้าเป็นสนมสวรรค์ บุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ ที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป มาคิดเล็กคิดน้อยอีกไม่รู้สึกว้ากินไปหน่อยเหรอ?”

ประมุขชิงก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกัน ถึงกล่าวเสียงต่ำว่า “สนมรักอยากจะไปดูสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก…”

“ฝ่าบาท…” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ต้องการจะเถียงทันที

ประมุขชิงยกมือห้ามอีก แล้วจ้องจ้านหรูอี้พร้อมพูดต่อ “ถึงยังไงเขาก็กำลังจะกลายเป็นลูกเขยของอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว จะไม่ไว้หน้าอ๋องสวรรค์โค่วสักหน่อยคงไม่ได้ เจ้าไปดูสักหน่อยก็ได้ แต่อย่าทำอะไรเกินเลย ถ้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ท่านตาเจ้าคงจะเป็นคนแรกที่ต้องมาขอโทษถึงที่ ถึงตอนนั้นแม้แต่ข้าก็ช่วยพูดให้เจ้าไม่ได้ เข้าใจมั้ย?”

ที่จริงจ้านหรูอี้แค่อยากจะไปเจอเหมียวอี้เฉยๆ อยากจะคลายความสงสัยบางอย่างในใจ นางไม่กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดหรือไม่ ดังนั้นจึงพูดออกมาตรงๆ แต่พอได้ยินสิ่งที่ราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์พูด ก็เหมือนจะคิดว่านางจะไปคิดบัญชีกับหนิวโหย่วเต๋อ

นางก็ขี้คร้านจะอธิบายเช่นกัน โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมขอตัว “หม่อมฉันขอตัว!”

ประมุขชิงโบกมืออนุญาตแล้ว

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ใบหน้าเจือด้วยความโกรธ หลังจากมองตามจ้านหรูอี้จากไปไกลแล้ว ก็หันขวับแล้วถามว่า “ฝ่าบาท ถ้าต่อไปทุกคนทำแบบนางบ้าง แต่กฎของวังหลังจะยังมีอยู่มั้ยเพคะ?”

ประมุขชิงชี้ไปที่กลุ่มสนมด้านนอก “ถ้าทั้งวังหลังสงบนิ่งเหมือนสนมสวรรค์หมด เช่นนั้นวังหลังก็จะสงบแล้ว คงมีความขัดแย้งอะไรอีก”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เถียงว่า “หม่อมฉันยังมองไม่ออกเลยว่านางสงบนิ่งตรงไหน คนที่ดึงพรรคพวกได้ร้ายกาจที่สุดในวังหลังก็คือนางแล้ว”

“เฉิงอวี่ ในสายตาเจ้า ข้าเป็นคนตาบอดหรือหูหนวกเหรอ?” ประมุขชิงจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ

พอรู้ว่าเขาโมโหแล้ว ท่าทีของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็อ่อนลงทันที เม้มปากเล็กน้อยและไม่กล้าพูดอะไรอีก

หยินซวง ไป๋เสวี่ย หญิงรับใช้ประจำตัวคอยติดตาม ทั้งยังมีองครักษ์วังสวรรค์อีกหลายคนที่ทำหน้าที่คุ้มกัน คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงจากท้องฟ้า มาเหยียบลงตรงมุมหนึ่งของที่นาหลวง

ในผืนนาและผืนป่า พืชพรรณธัญญาหารเติบโตอย่างน่าดีใจ ใบหญ้าเชียวชอุ่มปลิวกระเพื่อมตามสายลม เทพธิดาที่คอยดูแลที่นี่โดยเฉพาะเดินไปเดินมาระหว่างนั้น ผักผลไม้ที่ปลูกไว้เหล่านี้ไม่ได้มีประดับไว้เฉยๆ เนื่องจากราชันสวรรค์เป็นคนนำ สิ่งต่างๆ ที่ปลูกไว้ที่นี่ต้องถูกส่งเข้าไปเป็นอาหารในวังสวรรค์ ไม่มีทางปล่อยทิ้งให้สูญเปล่า

“สนมสวรรค์!” เทพธิดาหลายคนกล่าวทำความเคารพร้อมกัน

นานแล้วที่ไม่ได้เห็นป่าเขียวที่ติดดินแบบนี้ จ้านหรูอี้ที่อุดอู้อยู่ในตำหนักงามมาหลายปีค่อนข้างมองเหม่อ แววตาค่อนข้างพร่าเลือน นางยื่นนิ้วเรียวดุจหยกออกมา แล้วลูบไล้เบาๆ สัมผัสได้ถึงความลื่นของใบไม้ที่อยู่บนเล็บ ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขชิงจึงมาทำนาที่นี่เป็นครั้งคราว ก่อนหน้านี้ตอนที่นางเป็นทหารเฝ้าอุทยานหลวง นางก็ยังรู้สึกขำนิดหน่อย ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้ว ว่าเมื่อมาถึงที่นี่ ถึงจะได้ค้นพบว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่

นางหดนิ้วกลับไปกลับมา แล้วก็แบฝ่าใอขึ้นตรงหน้าอีก ขาวหมดจด ละเอียดอ่อน เกลี้ยงเกลา…นางมองซ้ำไปซ้ำมา ก่อนหน้านี้มือข้างนี้เคยกำอาวุธทำศึกต่อสู้ เต็มไปด้วยความฮึกเหิมและพลังชีวิต แต่ตอนนี้กลับมีประโยชน์มากที่สุดก็แค่ใช้เปลื้องเสื้อผ้าเผยร่างกายตัวเองเพื่อมอบความสุขให้คนอื่น

หยินซวงชี้ไปยังพื้นสีเขียวผืนหนึ่งตรงหน้า พร้อมบอกว่า “เหนียงเหนียง ที่นาดีสิบหมู่แบ่งให้หนักบูรพาของพวกเราเพคะ ยามปกติล้วนเป็นพวกนางที่ช่วยจัดการให้” นางชี้ไปยังเทพธิดาหลายคนที่อยู่ด้านข้าง

จ้านหรูอี้ได้สติกลับมา แล้วบอกว่า “ตบรางวัล!”

ไป๋เสวี่ยหยิบแหวนเก็บสมบัติหลายวงออกมาแจกจ่ายให้เหล่าเทพธิดาทันที หลังจากพวกนางกล่าวขอบคุณแล้วเห็นว่าไม่มีงานอะไร ก็ถอยออกไปแล้ว

ขณะเดินเล่นช้าๆ อยู่ระหว่างหญ้าเขียว นางก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ เห็นทหารยามเฝ้าตำหนักสวรรค์กระจายตัวกันหร็อมแหรม แต่กลับไม่เห็นหนิวโหย่วเต๋อ จึงเอียงหน้าถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อถูกลงโทษให้มาเฝ้าที่นี่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นล่ะ? ไปเรียกเขามาพบข้า”

แน่นอนว่านางไม่เห็นอยู่แล้ว พอเหมียวอี้เห็นนางมาแล้ว ก็รีบหลบเข้าไปในป่าเล็กใกล้ๆ ทันที หรือพูดได้อีกอย่างว่ากลัวผู้หญิงคนนี้จะมาล้างแค้น หรือพูดได้อีกว่าไม่อยากเจอหน้านาง แต่จนใจที่อีกฝ่ายเอ่ยชื่อเรียกเขาไปพบ อยากจะหลบแต่ก็หลบไม่พ้น

แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งเหมือนจะรู้ว่าเหมียวอี้ยืนเฝ้ายามอยู่ที่ไหน จึงถลันตัวไปข้างกายทหารยามคนหนึ่งที่เฝ้าผืนนา แล้วถามว่า “หนิวโหย่วเต๋อล่ะ?”

ทหารคนนั้นมองซ้ายมองขวาครู่หนึ่ง แล้วพึมพำอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “เมื่อครู่นี้ยังเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลย อาจจะมีธุระออกไปแล้วมั้ง”

แม่ทัพเกราะแดงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหนิวโหย่วเต๋อทันที หายไปไหนแล้วล่ะ?

เขากับหนิวโหย่วเต๋อเคยดื่มสุราด้วยกันหลายครั้ง นับว่าเป็นสหายที่เรียกพี่เรียกน้องกันแล้ว

เหมียวอี้ถามกลับมาว่า : เมื่อเรื่องอะไรเหรอ?

แม่ทัพเกราะแดง : รีบมาที่นาหลวง สนมสวรรค์เรียกพบเจ้า

เหมียวอี้เครียดทันที : พี่ใหญ่กาน ข้าเป็นทหารยศต่ำสุด ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น สนมสวรรค์จะเรียกข้าทำไม? ผู้บังคับการกองห้าของพวกเราก็อยู่ใกล้ๆ มีอะไรก็ไปหาเขาแล้วกัน

แม่ทัพเกราะแดง : สนมสวรรค์เอ่ยชื่อเจ้า จะให้ข้าไปหาผู้บังคับการกองห้าของพวกเจ้าทำไมล่ะ รีบโผล่หัวออกมา อย่าชักช้าจนหาเรื่องใส่ตัวเอง

พอเขาเอียงหน้ามา ก็เห็นเหมียวอี้ถลันตัวออกมาจากป่าเล็กที่อยู่ไม่ไกลแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามปนขำว่า “เจ้าคงไม่ได้หลบไปขี้ในป่าหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้กลอกตามองบน เมื่อเห็นข้างกายมีทหารคนอื่นด้วย ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียงถามว่า  “พี่ใหญ่กาน สนมสวรรค์มาหาข้าเพราะเรื่องอะไร?”

แม่ทัพเกราะแดงตอบว่า : “ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ? ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร ก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องในอดีตไม่ใช่เหรอ? ความกล้าที่เอาทัพห้าหมื่นไปสู้กับทัพหนึ่งล้านหายไปไหนแล้วล่ะ? ไม่ว่าจะเป็นโชคหรือหายนะก็หลบไม่พ้น เรียกชื่อเจ้าแล้วเจ้าก็หลบไม่พ้น ไปอย่างสง่าผ่าเผยหน่อย ลูกเขยอ๋องสวรรค์โค่วนะ นางจะฆ่าเจ้าเชียวเหรอ? อย่างมากก็ทำให้เจ้าลำบากนิดหน่อยเท่านั้นเอง อีกประเดี๋ยวตอนที่ลงมือ ทุกคนก็แผนอยู่ในใจแล้ว เจ้าอย่าลืมร้องครวญครางหน่อยล่ะ อย่าทำให้พวกเราลำบาก”

…………………………

[1] หอคอยใกล้น้ำมักได้พระจันทร์ ก่อน 近水楼台先得月 หมายถึง มือใครยาวสาวได้สาวเอา

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset