ลั่วกุยที่โดนตบจนล้มลงพื้นโง่ไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้โง่บริสุทธ์ ในฐานะคนเป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าเขาไม่ฉลาดจึงสาธิตให้เขาดูอย่างชัดเจนขนาดนี้ด้วยตัวเอง ถ้าเขายังไม่เข้าใจอีก เช่นนั้นก็เอาหัวโขกพื้นให้ตายไปได้เลย
ขณะมองดูกิ่งไม้หักที่อยู่ตรงหน้า ลั่วกุยก็โมโหจนหน้าแดงก่ำ ตอนนี้เข้าใจแล้ว โดนคนอื่นปั่นหัวราวกับเป็นคนโง่แล้ว
ลั่วหม่างหันกลับมามองแวบหนึ่ง “โมโหแล้วจะมีประโยชน์อะไร…ดูแลลูกชายเจ้าให้ดี เสียเปรียบแล้วก็ต้องได้บทเรียน อย่าเลือดร้อนจนก่อเรื่อง”
ถงเหลียนซีเดินเข้ามา นั่งยองๆ ข้างกายลูกชาย จับศีรษะลูกชายที่โมโหจนพูดอะไรไม่ออกมาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง เอามือลูบใบหน้าลูกชายเพื่อปลอบใจไม่หยุด เมื่อเห็นลูกชายเป็นแบบนี้ ก็รู้ว่าคนอื่นรังแกเพราะลูกชายโง่ มาปั่นหัวเล่นเหมือนคนโง่ ในใจนางเป็นทุกข์มาก รู้สึกเป็นทุกข์มากจริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะในปีนั้นจอมพลโดนลอบสังหารแล้วนางดันทุรังมาขวางตรงหน้าให้จอมพล ลูกชายก็คงไม่เป็นแบบนี้ ตอนนั้นนางกำลังตั้งครรภ์ ผลปรากฏว่าหลังจากคลอดลูกชายออกมาแล้วก็พบว่าเป็นคนโง่คนหนึ่ง จอมพลต้องใช้ทรัพยากรไปไม่น้อยกว่าจะปรับให้เป็นผู้เป็นคนได้ เพียงแต่สติปัญหาก็ยังได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
แต่ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ก็เพราะด้วยเหตุนี้เอง จอมพลจึงรู้สึกผิดต่อนางและลูกชาย ถึงแม้นางจะเป็นแค่อนุภรรยา ถึงแม้ลูกชายจะเป็นแค่ลูกชายอนุภรรยา แต่จอมพลก็ดูแลดี คนในบ้านไม่มีใครกล้ามารังแกสองแม่ลูก นางรู้ว่าจอมพลคิดเตรียมการเพื่ออนาคต หวังจะให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของอ๋องสวรรค์ก่วง เพียงแต่เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก สภาพของลูกชายก็เห็นๆ กันอยู่
ขณะที่มองดูสองแม่ลูก พ่อบ้านหลางจวี๋ก็ถอนหายใจเบาๆ เดินมาข้างกายลั่วหม่างแล้วพูดต่อว่า “ดูจากสถานการณ์แล้ว หนิวโหย่วเต๋อกล้าฆ่าแม้กระทั่งหลานชายของอ๋องสวรรค์อิ๋ง ลูกชายลูกสาวของจอมพล เทพประจำดาว ท่านโหวก็ไม่ปล่อยไป ถึงขั้นใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ยิงด้วย ไว้ชีวิตเพียงนายน้อยที่ออกหน้ามาอยู่ใกล้สุด แค่จับเป็นนนายน้อยเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเขามองออกว่านายน้อยโดนหลอกใช้ เขาใจกว้างไว้หน้าจอมพลจริงๆ ขอรับ”
ลั่วหม่างพยักหน้าเบาๆ “เมื่อก่อนข้านึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนี้กำเริบเสิบสานเกินไป พอมาดูตอนนี้แล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน เป็นคนรู้จักบันยะบันยังที่สุด ถ้าใครไม่รังแกเขา เขาก็ไม่รังแกใคร แต่ถ้าใครรังแกเขา เขาก็จะต้องเอาคืน ครั้งนี้ลั่วกุยเป็นฝ่ายไปหาเรื่องเขาก่อน แต่เขากลับปล่อยไป!”
หลางจวี๋บอกว่า “การที่ผลักนายน้อยมาอยู่ข้างหน้า ก็เพราะจะกดดันให้หนิวโหย่วเต๋อฆ่านายน้อย คนพวกนั้นจิตใจชั่วร้ายทีเดียว! ถ้าไม่ใช่เพราะหนิวโหย่วเต๋อมองเงื่อนงำออกแล้วปล่อยนายน้อยไป ถ้าเกิดเรื่องกับนายน้อยขึ้นมา ฝั่งจอมพลก็จะไม่มีหลักฐานเพราะคนตายไปแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนแบบนี้ จะต้องโยงให้เกิดการปะทะระหว่างท่านอ๋องและตระกูลโค่วแน่นอน ให้โอกาสคนพวกนั้นหลอกใช้แล้ว”
“เบาะแสของเรื่องราวในครั้งนี้ เกรงว่าท่านอ๋องที่รักลูกสาวก็โดนวางกับดักแล้วเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญขนาดนี้เหรอ ต้นเหตุของเรื่องนี้เป็นอ๋องสวรรค์กับข้าพอดี ไม่รู้ว่าทางท่านอ๋องจะรู้ตัวรึยัง” ลั่วหม่างกล่าว
“จะต้องสังเกตเห็นแล้วแน่นอน ฝั่งท่านอ๋องจะสืบให้ชัดเจนแน่นอนขอรับ” หลางจวี๋กล่าว
ลั่วหม่างแสยะยิ้ม “ครั้งนี้พวกเขาเป็นฝ่ายทำลายธรรมเนียมก่อนนะ พวกเขาทำได้ ข้าก็ทำได้เหมือนกัน ไม่จริงใจต่อกันมากพอ ก็อย่าหาว่าข้าทำให้พวกเขาขาดลูกหลานสืบสกุลก็แล้วกัน!”
หลางจวี๋พยักหน้า “งานเลี้ยงยังไม่จบ จอมพลไปดูความเคลื่อนไหวที่พระตำหนักอุทยานก่อนแลวค่อยตัดสินใจดีกว่าขอรับ คาดว่าตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวคงไปหาท่านอ๋องกับตระกูลโค่วแล้ว”
ลั่วหม่างพยักหน้า
ถงเหลียนซีที่ประคองลูกชายอยู่ข้างๆ ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน รู้ว่าก่อนหน้านี้ใส่ร้ายหนิวโหย่วเต๋ออย่างไม่เป็นธรรมแล้ว ไม่ควรไปด่าอีกฝ่าย แต่ควรจะขอบคุณด้วยซ้ำ นางเดินเบาๆ ไปข้างกายลั่วหม่างที่กำลังจะเดินออกไป มองสีหน้าลั่วหม่างอย่างอ่อนปวกเปียก แล้วถามอย่างเก้อเขินว่า “นายท่าน ข้าควรจะไปขอบคุณต่อหน้าหนิวโหย่วเต๋อดีหรือเปล่า?”
“ไม่ต้องแล้ว!” ลั่วหม่างเหล่ตามองมา แล้วบอกว่า “เรื่องนี้แบบนี้ขอบคุณปากเปล่าไม่มีประโยชน์อะไร อีกฝ่ายปล่อยลั่วกุยไป สิ่งที่ต้องการไม่ใช่คำขอบคุณ เอาเป็นว่าข้าจดจำน้ำใจนี้ไว้แล้ว เดี๋ยวจะตอบแทนเอง เจ้าเป็นผู้หญิงไม่ต้องเข้ามายุ่งมาก ดูแลลูกชายให้ดีก็พอแล้ว ถ้าข้าไม่ได้สั่ง เจ้าก็ไม่ต้องไปที่พระตำหนักอุทยาน”
“ค่ะ!” ถงเหลียนซีเอ่ยรับ แล้วย่อตัวคำนับส่งลั่วหม่างเดินก้าวยาวออกไป “นายท่านเดินระวังๆ”
ในลานบ้านเล็กๆ ของพระตำหนักอุทยาน พี่สาวน้องสาวของตระกูลโค่วดึงอวิ๋นจือชิวไปเยี่ยมคารวะสนมที่ค่อนข้างได้รับความโปรดปรานคนหนึ่งในวัง สนมคนนี้ตระกูลโค่วเป็นคนส่งเข้าวัง ดังนั้นตอนนี้อวิ๋นจือชิวจึงยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ตระกูลโค่วสั่งให้สาวๆ พวกนี้ดึงตัวอวิ๋นจือชิวไป ถ้าเรื่องยังไม่จบก็ยังไม่อยากให้อวิ๋นจือชิวรู้สถานการณ์ กลัวว่าจะก่อเรื่องอะไรโดยไม่จำเป็น
และริมหน้าผาสูงแห่งหนึ่งนอกพระตำหนักอุทยาน เซี่ยโห้วท่าที่ออกมาชั่วคราวก็เจอกับพ่อบ้านเว่ยซูแล้วเช่นกัน
“ปล่อยลูกชายคนนั้นของลั่วหม่างไปงั้นเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าแปลกใจ จากนั้นก็ทำสีหน้าอัศจรรย์ใจ เดาะลิ้นแล้วส่ายหน้าด้วยความทึ่ง “สงสัยข้าจะประเมินรูปแบบของเจ้าเด็กนี่ต่ำไป เห็นได้ชัดว่าเป็นกับดัก เรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่แค่ถือโอกาสวางกับดักนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยลูกชายของลั่วหม่างไปคนเดียวด้วย ความสามารถในการวินิจฉัยตัดสินเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ธรรมดาจริงๆ ตระกูลโค่วเก็บสมบัติล้ำค้าได้แล้ว!”
“เกรงว่าในงานเลี้ยงจะเกิดความวุ่นวายแล้ว” เว่ยซูกล่าว
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าบอกว่า “จะเกิดความวุ่นวายอะไรได้? หนิวโหย่วเต๋อมีเหตุผลที่ฟังขึ้น เขาได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าที่นาหลวง แต่มีคนทำลายที่นาหลวงแล้ว ทั้งยังขัดขืนการจับกุม ที่หนิวโหย่วเต๋อฆ่าก็แปลว่าปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี ไม่มีจุดไหนที่ทำผิด กลับมีผลงานด้วยซ้ำ จะบอกว่าการฆ่าลูกหลานขุนนางที่ก่อเรื่องแบบนี้เป็นการทำผิดไม่ได้หรอกกระมัง? อิ๋งจิ่วกวงหาเหตุผลให้ลูกหลานตระกูลอิ๋งได้หรือเปล่าล่ะ? ถ้าสมบัติของสนมในวังหลังสามารถเหยียบย่ำยังไงก็ได้ แล้วต่อไปจะไม่มีคนทำให้สนมสวรรค์หรูอี้อับอายหรอกเหรอ ถ้าตระกูลโค่วกับตระกูลก่วงไปยืนอยู่ฝ่ายเฉิงอวี่ขึ้นมา ชีวิตของสนมสวรรค์หรูอี้ที่วังหลังก็จะลำบากแล้ว ถ้าวันไหนโดนยัดข้อหาที่วังหลังขึ้นมาก็ไม่แปลก ต่อให้ประมุขชิงจะโปรดปรานสักแค่ไหน แต่ก็ยอมให้เกิดเรื่องนี้ไม่ได้ เขาไว้ชีวิตลูกชายของลั่วหม่างไว้อย่างดีทีเดียว ถ้ามีแค่ลูกสาวของก่วงลิ่งกงก็ยังพูดอะไรชัดเจนไม่ได้ แต่ถ้านำคำพูดของทั้งสองมาเปรียบเทียบกันแล้ว เกรงว่าคงจะนำมาเป็นพยานได้ คอยดูไปเถอะ ถ้าตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวไม่ยอมปาดเนื้อตัวเองทำให้ตำแหน่งโหวว่างหลายตำแหน่งเพื่อชดเชย ต่อไปตระกูลโค่วกับตระกูลก่วงก็จะทำให้สองตระกูลนั้นไร้ทายาทสืบสกุลได้ นอกเสียจากทายาทของสองตระกูลนั้นจะหลบซ่อนตลอดไป เดี๋ยวในการประชุมราชสำนักพรุ่งนี้ก็น่าจะได้รู้แล้ว ผลประโยชน์ที่ตระกูลโค่วมอบให้เพื่อปลอบใจที่ตัวเองแย่งตัวหนิวโหย่วเต๋อมา ครั้งนี้เกรงว่าจะทวงคืนทั้งต้นทั้งดอก การแปลกเปลี่ยนนี้นับว่าคุ้มค่า”
เว่ยซูครุ่นคิดเงียบๆ พลางพยักหน้า
ในพระตำหนักอุทยาน ประตูใหญ่ของตำหนักเล็กที่มีไว้สำหรับให้ขุนนางใหญ่พักผ่อนพลันเปิดออก อิ๋งจิ่วกวงกับฮ่าวเต๋อฟางเดินก้าวยาวออกไปด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ข้างหลังมีคนสองคนเดินตามช้า เป็นโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงนั่นเอง ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้ม มีปฏิกิริยาต่างกับสองคนแรกมาก
จู่ๆ ลั่วหม่างก็ปรากฎตัวที่ประตูพระจันทร์ด้านข้าง ก่วงลิ่งกงยื่นมือเชิญโค่วหลิงซวี ส่วนโค่วหลิงซวีก็เข้าใจความหมาย จึงเอามือไขว้หลังเดินนำไปก่อน
ลั่วหม่างเดินมาข้างกายก่วงลิ่งกง ตอนนี้ก่วงลิ่งกงกำลังมองคล้อยหลังโค่วหลิงซวีเดินออกไป แล้วถอนหายใจเบาๆ พร้อมบอกว่า “น่าเสียดายหนิวโหย่วเต๋อแล้ว โดนตาแก่โค่วตักตวงผลประโยชน์ก้อนใหญ่ไปแล้ว…” เพียงแต่นึกขึ้นได้ว่าคนที่อยู่ข้างกายก็ตั้งใจอยากให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวตนเหมือนกัน จึงไม่สะดวกจะพูดเรื่องดึงตัวหนิวโหย่วเต๋อมาเป็นลูกเขยอีก เปลี่ยนเป็นพูดว่า “ในเมื่อเรื่องราวไปถึงขั้นที่ไม่สามารถเอาคืนได้แล้ว งั้นก็ช่างเถอะ อย่าต่อต้านอีกเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
พอได้ยินแบบนี้ ลั่วหม่างก็รู้ผลลัพธ์แล้ว ถามว่า “ตระกูลอิ๋งกับตระกูลฮ่าวเอายังไงขอรับ?”
ก่วงลิ่งกงตอบว่า “ตระกูลอิ๋งจะปล่อยตำแหน่งท่านโหวสองตำแหน่ง ตระกูลฮ่าวจะปล่อยหนึ่งตำแหน่ง สามตำแหน่งโหวนี้ พวกเรากับตระกูลโค่วแบ่งกันยาก สุดท้ายตระกูลโค่วก็หลีกทางให้ เอาตำแหน่งโหวไปแค่ตำแหน่งเดียว แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่ง ตาแก่โค่วไม่ชอบที่ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อตำแหน่งต่ำเกินไป แต่ก็ไม่สะดวกจะช่วยพูดให้ลูกเขยตัวเอง ขอให้อีกสามตระกูลช่วยเอ่ยปาก ข้ารู้จักนิสัยเจ้าดี เจ้าตอบแทนน้ำใจหนิวโหย่วเต๋อเสียเลยสิ ข้าก็เลยช่วยตัดสินใจแทนเจ้าไปแล้ว อีกประเดี๋ยวเจ้าเป็นคนนำเรื่องนี้ก็แล้วกัน”
เป็นอย่างที่เขาบอก เขารู้จักนิสัยการวางตัวของลั่วหม่างจริงๆ กลัวว่าในภายหลังลั่วหม่างจะไปมีความัสมพันธ์ไม่ชัดเจนกับหนิวโหย่วเต๋อเพราะเรื่องนี้ แบบนั้นก็เท่ากับไปมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับตระกูลโค่ว ดังนั้นจึงรีบช่วยขีดเส้นแบ่งระหว่างลั่วหม่างกับหนิวโหย่วเต๋อให้ชัดเจน
ลั่วหม่างพยักหน้าเงียบๆ ในขณะที่รู้ถึงความคิดของอ๋องสวรรค์ก่วง ก็เข้าใจความคิดของโค่วหลิงซวีด้วย หนิวโหย่วเต๋อถูกประมุขชิงลดตำแหน่งให้อยู่ต่ำเกินไปจริงๆ ในภายหลังต่อให้โค่วหลิงซวีจะสนับสนุนอย่างไร แต่ก็จะเอาแต่ช่วยเลื่อนขั้นให้หนิวโหย่วเต๋อแบบก้าวกระโดดไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นคนอื่นก็จะกล่าวโทษว่าเขาใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ที่ทำแบบนี้เพราะต้องการปูพื้นฐานให้หนิวโหย่วเต๋อล่วงหน้า เมื่อถึงเวลานั้นจะได้สนับสนุนได้สะดวก
ในตำหนักใหญ่ เทพธิดาร่างอรชรอ้อนแอ้นกำลังเต้นระบำ ประมุขชิงนั่งอยู่เบื้องสูง เหล่ตามองพวกขุนนางใหญ่ที่ทยอยกันกลับมานั่งประจำที่หลังจากอนุญาตออกไปข้างนอกชั่วคราว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเลย
เซี่ยโห้วท่าที่นั่งอยู่หัวโต๊ะด้านล่างชำเลืองมองปฏิกิริยาของทุกคน ขณะที่ยกจอกสุราขึ้นจิบ บนใบหน้าก็เจือด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำท่าเหมือนได้เห็นอะไรสนุกๆ
ผ่านไปไม่นาน ฮวาอี้เทียนที่จัดระเบียบเรื่องราวชัดเจนแล้วกลับเข้ามา เดินผ่ากลางกลุ่มเทพธิดาที่เต้นระบำเข้าไปโดยตรง เดินไปตรงกลางตำหนัก แล้วกุมหมัดรายงาน ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงอย่างเป็นทางการ “ฝ่าบาท ทางที่นาหลวงเกิดการปะทะ…” เขารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังตรงนั้น แล้วอ่านรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องต่อหน้าทุกคน
พอได้ยินว่ามีเรื่องสำคัญ พิธีกรที่ยืนอยู่ด้านข้างนานแล้วก็โบกมือให้เหล่าเทพธิดาถอยออกจากตำหนักใหญ่ไป
ขณะนี้ในตำหนักเงียบงันเป็นแถบ เสียงโต้แย้งแก้ตัวอย่างที่จินตนาการไว้ไม่เกิดขึ้น ในตอนนี้มีคนไม่น้อยที่ตระหนักได้แล้ว ว่าลับหลังคนพวกนี้คงจะเจรจาประนีประนอมกันได้แล้ว ไม่ทำให้เรื่องใหญ่โตอีก พวกขุนนางใหญ่ที่ลูกหลานตายไปเม้มริมฝีปากแน่น!
ผ่านไปครู่เดียว เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาอะไร ประมุขชิงก็ย่อมรู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ไฟโกรธลุกโชนอยู่ในอกแล้ว เพล้ง! เขาจบจอกสุราลงบนโต๊ะ ชี้กลุ่มคนข้างล่างพร้อมตะคอกอย่างโมโหว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? ข้าหวังดีจัดงานเลี้ยงให้ครอบครัวพวกเจ้าที่อุทยานหลวง แต่ดูพวกเจ้าทำสิ ปล่อยลูกหลานไปเหยียบย่ำอุทยานหลวงของข้า ต่อไปก็จะทำลายวังสวรรค์ของข้าเหมือนกันใช่มั้ย?”
พวกขุนนางใหญ่ที่เกี่ยวข้องทยอยกันลุกขึ้น โค้งตัวไปทางประมุขชิงพร้อมกุมหมัดคารวะ “เป็นข้าน้อยที่อบรมลูกหลานไม่ดี!”
ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปด้านล่าง แต่ไม่ได้แก้ตัวอะไร และไม่ได้ฉวยโอกาสกดดันด้วย มอบอำนาจในการตัดสินให้เขาทั้งหมดแล้ว
ให้เขาตัดสินใจเรื่องแบบนี้ก็ย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ? จะให้ลดตำแหน่งเพราะอีกฝ่ายไม่อบรมลูกหลานให้ดี ปล่อยมาเหยียบย่ำไร่นาคนอื่นเหรอ? หรือจะให้ประหารลูกหลานขุนนางใหญ่ให้หมดเลยล่ะ?
“ทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดนเฆี่ยนห้าครั้ง! พ่อแม่ของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ลงโทษลดข้าจ้างหนึ่งปี! ถ้ามีอีกครั้ง จะไม่ยกโทษให้ง่ายๆ แน่นอน!” ประมุขชิงตัดสินเรื่องการลงโทษแล้ว แต่ในใจกลับหงุดหงิด สิ่งที่เขาอยากเห็นก็คือข้างล่างต่อสู้กัน ไม่ใช่สามัคคีปรองดองแบบนี้ ทุกคนปรองดองกันแบบนี้ ถือหางกันเองแบบนี้ แล้วยังจะมีผู้ตัดสินแบบเขาไว้ทำไมอีก?
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ขุนนางผู้เกี่ยวข้องตะโกนพร้อมกัน
หลังจากกลุ่มขุนนางนั่งลงแล้ว กลับมีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้นั่งลง เขาคือลั่วหม่าง จอมพลสายวอกนั่นเอง
ประมุขชิงเริ่มรู้สึกสนใจแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าลั่วหม่างโอ๋ลูกชายคนนั้นมาก อย่าบอกนะว่าลั่วหม่างสามารถกล้ำกลืนความโกรธนี้ได้?
“หรือว่าจอมพลสายวอกยังมีความเห็นอะไรที่ต่างออกไป?” ประมุขชิงสีหน้าอ่อนโยนลงไม่น้อย มีท่าทีรอค่อยให้ลั่วหม่างเปิดเผยเรื่องราว เขาจะได้สั่งสอนคนบางกลุ่มได้สะดวก
…………………………