พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1577 ขัดสนแร้นแค้น

“ข้าน้อยไม่ได้มีความเห็นต่างใดๆ!” ลั่วหม่างกุมหมัดคารวะ สายตาจ้องตรงไปที่ประมุขชิง พร้อมกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าน้อยรู้สึกเพียงว่า ควรแยกแยะการให้รางวัลและการทำโทษให้ชัดเจนถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง ลูกชายข้าน้อยกระทำความผิด ข้าน้อยจะไม่เข้าข้าง จะยอมรับโทษ! ข้าน้อยไม่คิดด้วยว่าการที่หนิวโหย่วเต๋อทำร้ายลูกชายข้าน้อยจนบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน ถึงแม้หนิวโหย่วเต๋อจะเฝ้าที่นาหลวงผืนเล็กๆ แต่ก็ยอมผิดใจกับกลุ่มลูกหลานขุนนางเพื่อรักษาเกียรติของเหล่าพระสนม นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถทำได้ เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของการปฏิบัติหน้าที่อย่างจงรักภักดี ควรจะตบรางวัลอย่างงามถึงจะถูก! ข้าน้อยเสนอให้หนิวโหย่วเต๋อกลับคืนสู่ตำแหน่งขอรับ!”

“ข้าน้อยเห็นด้วย!”

“จอมพลลั่วพูดมีเหตุผล ข้าน้อยเห็นด้วย!”

“ข้าน้อยเห็นด้วย!”

ขุนนางในราชสำนักทยอยกันลุกขึ้นยืน นอกจากพวกลูกพี่ใหญ่ระดับบนสุด ส่วนใหญ่ขุนนางทั้งหมดก็ยืนขึ้นแสดงออกว่าเห็นด้วยกันหมด

พวกบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ตามมุมต่างๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน พอเห็นแบบนี้ก็ค่อนข้างตกตะลึงจนพูดไม่ออก คนฝั่งตระกูลโค่วไม่จำเป็นต้องพูดเองแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ลูกน้องของตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวที่เสียเปรียบให้หนิวโหย่วเต๋อก็เห็นด้วยที่จะมอบรางวัลให้หนิวโหย่วเต๋อ กลุ่มขุนนางใหญ่รวมตัวกันขอรางวัลให้ทหารสวรรค์เกราะเงินหนึ่งแถบคนเดียวเนี่ยนะ แปลกประหลาดเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ แล้ว

ประมุขชิงสีหน้าเย็นเยียบทันที ในฐานะผู้ควบคุมราชสำนักนี้ สิ่งที่เขาไม่อยากเห็นที่สุดก็คือสถานการณ์ประเภทนี้ ไม่อยากเห็นพวกขุนนางเบื้องล่างมีความเห็นไปในทางเดียวกัน มีความเห็นที่แตกต่างมาให้เขาตัดสินในตอนสุดท้ายสิถึงจะเหมาะสมที่สุด ถ้าทุกคนมีความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วมีราชันสวรรค์คนเดียวที่คัดค้าน ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วไม่มีแพะรับบาปเลยสักคน คนที่ตัดสินใจผิดพลาดก็จะมีแค่เขาคนเดียวแล้ว แบบนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงบารมีของเขามาก แน่นอนว่าเขาสามารถใช้อำนาจตัดสินคนเดียวได้ แต่การกุมอำนาจไว้คนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆ ขนาดนั้น ทำเป็นบางครั้งบางคราวยังพอได้ ไม่ใช่ทำกับทุกเรื่องแบบนี้

ประมุขชิงกวาดสายตาเย็นเยียบมองโค่วหลิงซวีที่ทำตัวสงบนิ่งใจเย็นราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ในใจเขารู้ชัดมาก ว่าตาแก่นี่ต้องเล่นตุกติกอยู่เบื้องหลังแน่นอน

ประมุขชิงแสยะยิ้มในใจ ตอนนี้ให้เจ้าลำพองใจไปก่อนเถอะ เดี๋ยวต่อไปได้ถึงคราวที่เจ้าลำพองใจไม่ออกแน่

ทำไมเขาถึงต้องให้หนิวโหย่วเต๋อไปเฝ้าที่อุทยานหลวงล่ะ ก็เพราะจะหาข้ออ้างในการลดตำแหน่งให้หนิวโหย่วเต๋อไปอยู่ที่อื่นไง

ในขณะนี้เอง โพ่จวินก็ยืนขึ้นช่วยประมุขชิงแก้ไขสถานการณ์ เขาแสยะยิ้มพร้อมบอกว่า “จะจัดการยังไงกับหนิวโหย่วเต๋อ ก็เป็นเรื่องของกองทัพองครักษ์ ทุกท่านมายุ่งมากไปหน่อยรึเปล่า?”

ลั่วหม่างตอบว่า “พวกเราไม่ได้บอกว่าจะไปยุ่งเรื่องของกองทัพองครักษ์ ข้าบอกไว้ชัดเจนมากแล้ว ว่าเป็นเพียงการเสนอความเห็น หรือว่าแค่วิจารณ์นิดหน่อยก็ทำไม่ได้? ถ้าพูดอะไรกับกองทัพองครักษ์ไมได้เลยสักนิด แบบนั้นจะเกินไปหน่อยรึเปล่า?”

อู๋ฉวี่ยืนขึ้นอีก…

การเถียงกันนี้ทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างกันแล้ว สุดท้ายงานเลี้ยงอุทยานที่จัดหนึ่งครั้งต่อหนึ่งพันปีก็จบลงอย่างไม่รื่นเริง สรุปก็คือพองานเลี้ยงจบลง ประมุขชิงก็หมดสนุกที่จะไปเที่ยวชมอุทยานแล้ว กลับวังสวรรค์โดยตรงเลย

และที่นอกพระตำหนักอุทยาน เสียงกรีดร้องก็ดังเป็นแถบๆ ลูกหลานขุนนางที่ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย แต่ละคนถูกแส้เฆี่ยนจนจะเป็นจะตาย รสชาตินี้ทำให้พวกเขาลืมไม่ลงไปตลอดชีวิต

ส่วนการเลื่อนตำแหน่งกลับของเหมียวอี้ก็เป็นไปไม่ได้ เกิดความเห็นต่างในการถกเถียง ประมุขชิงจึงมีข้ออ้างในการตัดสิน หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนของกองทัพองครักษ์ ควรจะจัดการอย่างไรเดี๋ยวกองทัพองครักษ์จะจัดการเอง ทหารสวรรค์เกราะเงินเล็กๆ คนเดียวไม่มีค่าพอให้กลุ่มขุนนางใหญ่ถกเถียงเหมือนเป็นเรื่องใหญ่

แต่ขุนนางกลุ่มนั้นก็พูดจามีเหตุผลจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อปฏิบัติหน้าที่เฝ้าที่นาหลวงอย่างเต็มความสามารถถือว่ามีความดีความชอบจริงๆ มีผลงานแล้วให้รางวัลก็ถือเป็นหลักการปกติ

ดังนั้นในตอนที่คนกลุ่มนี้โดนแส่เฆี่ยนลงโทษ กองทัพองครักษ์ก็ออกคำสั่งเลื่อนตำแหน่งเหมียวอี้แล้ว จะให้กลับไปตำแหน่งเดิมก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงอย่างไรกลุ่มขุนนางใหญ่ก็เอ่ยปากแล้ว ประมุขชิงเองก็ไม่ตระหนี่ใจแคบ เลื่อนยศจากเกราะเงินหนึ่งแถบเป็นเกราะเงินสองแถบก็จะน่าหัวเราะเยาะ การรักษาเกียรติของเหล่าพระสนมมีค่าแค่นี้เองหรือ? ดังนั้นจึงเลื่อนให้หกขั้นในรวดเดียว เลื่อนเป็นทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบ

แน่นอน การเลื่อนขั้นแบบนี้ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเหมียวอี้ เกราะเงินหนึ่งแถบกับเกราะดำหนึ่งแถบมีความหมายสำหรับเขาด้วยเหรอ? อย่างน้อยโทษของเขาก็ยังไม่ได้ถูกยกเลิก ยังคงต้องยืนเฝ้ายามตรงที่นาหลวงต่อไป

ประมุขชิงยอมเลื่อนยศให้เหมียวอี้ แต่ก็ไม่ให้เขาไปหาฝั่งโค่วหลิงซวีในตอนนี้อยู่ดี

พอคำสั่งมาถึงกองมังกรดำ พวกมู่อวี่เหลียนก็พูดไม่ออก ตอนลดยศโดนลดไปสิบยี่สิบขั้น พอเลื่อนยศก็เลื่อนรวดเดียวหกขั้นเลย ความเร็วในการเลื่อนขึ้นเลื่อนลงราวกับเป็นของเด็กเล่น ที่สำคัญคือฆ่าลูกหลานขุนนางขั้นสูงไปมากขนาดนั้นแล้วยังได้เลื่อนยศอีก พวกมู่อวี่เหลียนทอดถอนใจอย่างตกตะลึง การพลิกฟ้าคว่ำฝนเรื่องราวต่างๆ ของพวกลูกพี่ใหญ่เบื้องบน คนเบื้องล่างเห็นแล้วไม่เข้าใจจริงๆ

แน่นอน มีอยู่จุดหนึ่งที่ทุกคนล้วนเข้าใจ ว่าถ้าไม่มีตระกูลโค่วคอยวิ่งเต้นอยู่เบื้องหลัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะได้เลื่อนยศขึ้นเร็วขนาดนี้

หลังจากตัดสินเรื่องนี้จบแล้ว อวิ๋นจือชิวถึงได้รู้ว่าในระหว่างนั้นเกิดเรื่องราวที่อันตรายขนาดนี้ขึ้น ถึงได้รู้ว่าเหมียวอี้อยู่ที่อุทยานหลวงก็ไม่ปลอดภัย นางเรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน

ไม่ว่าจะอย่างไร หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไปแล้ว พวกลูกหลานไม่เอาถ่านของตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์ก็นับว่าได้รับรู้ถึงความโหดของหนิวโหย่วเต๋อแล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนฆ่าลูกหลานขุนนางชั้นสูงมากมายขนาดนี้แล้วยังได้เลื่อนยศ ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องอีก แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อได้เห็นความสามารถของลูกหลานไม่เอาถ่านของขุนนางพวกนั้น ก็ไม่มีใครให้พวกเขาไปประมือกับหนิวโหย่วเต๋ออีก เพราะเป็นคู่ต่อสู้ที่อยู่กันคนละระดับเลย เป็นพวกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ!

ตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวนับว่าโดนลูกหลานตัวเองวางกับดักแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ ลูกหลานพวกนั้นต้องลำบากขื่นขมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ค่าจ้างที่ให้พวกเขาก็ลดลงเยอะมาก บางคนถึงขั้นถูกลดตำแหน่งให้ไปเป็นเทพแห่งภูผากับเทพแห่งผืนดินเลย นับว่ามีเจตนาจะฝึกฝนก็ได้

ไม่ฝึกฝนไม่ได้หรอก หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไปแล้ว ถึงแม้จะเคยเห็นคนไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่เคยเห็นใครไร้ประโยชน์ขนาดนี้เลย แต่ละตระกูลทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

หลังจากจบงานเลี้ยงอุทยาน สิ่งที่ตามมาติดๆ ก็คืองานแต่งงานของเหมียวอี้และอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ไม่สามารถออกจากอุทยานหลวงได้ สถานที่จัดงานก็คือเรือนพักตากอากาศของตระกูลโค่ว

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าอวิ๋นจือชิวในวันนี้เปล่งประกายสดใสเป็นพิเศษ

สำหรับทั้งสองที่เป็นสามีภรรยากันมาตั้งแต่แรก บรรยากาศงานมงคลคึกคักก็ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงเช่นกัน

แขกผู้มีเกียรติก็ต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว นอกจากคนของกองทัพองครักษ์ คนบางกลุ่มที่เหมียวอี้รู้จักก็มาที่อุทยานหลวงไม่ได้อยู่ดี

ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ งานแต่งงานนี้คือเวทีหลักของตระกูลโค่ว ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน แต่ภายนอกก็ยังมองหน้ากันติด สี่อ๋องสวรรค์รวมทั้งเซี่ยโห้วท่ามารวมงานแล้ว พวกขุนนางใหญ่ในราชสำนักก็มาแล้วเช่นกัน ขนาดประมุขชิงกับราชินีสวรรค์ก็ยังโผล่หน้ามาด้วยเลย เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการสุดๆ

ส่วนสายของตระกูลโค่วก็มากันหมดตั้งแต่ข้างล่างยันข้างบน ส่วนคนที่มาอุทยานหลวงไม่ได้ ตระกูลโค่วก็จัดงานเลี้ยงแยกให้ที่จวนท่านอ๋อง แค่รับของขวัญแต่งงานอย่างเดียว ก็เป็นจำนวนที่เยอะจนน่าตกใจแล้ว แค่รางวัลที่วังสวรรค์ประทานให้ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว

เพียงแต่ธรรมเนียมก็มีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แขกในงานพุ่งเป้ามาที่ตระกูลโค่ว ส่วนแบ่งนั้นยกให้ตระกูลโค่วทั้งหมด นั่นเป็นส่วนที่ตระกูลโค่วต้องให้ของขวัญคืนในภายหลัง ส่วนคนที่พุ่งเป้ามาหาเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิว ก็จะแบ่งส่วนแบ่งให้ทั้งสอง โชคดีที่วังสวรรค์ประทานรางวัลให้บ่าวสาวคู่นี้ด้วย

จอมพลสายวอกลั่วหม่าง ก็ได้มอบของขวัญล้ำค่าให้บ่าวสาวคู่นี้อย่างเงียบๆ เช่นกัน เป็นของขวัญที่ค่อนข้างล้ำค่า ล้ำค่าจนทำให้เหมียวอี้กับตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ทั้งสองก็พอจะเข้าใจได้ คาดว่าคงเป็นเพราะเหมียวอี้ไว้ชีวิตลั่วกุย แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองตกตะลึงอย่างแท้จริงก็คือ สนมสวรรค์หรูอี้ได้ประทานของขวัญที่ค่อนข้างล้ำค่าให้

โพ่จวินผู้บัญชาการองครักษ์ของหน่วยองครักษ์ซ้ายมอบของขวัญให้ไม่น้อยเลย ฮวาอี้เทียนก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ส่วนของขวัญที่อวี่จ้งเจินให้ก็เยอะกว่าของคนทั่วไป

สมาชิกกองมังกรดำที่โดนจับแยกไปก็ให้มู่อวี่เหลียนรวบรวมของขวัญมามอบให้เพื่อแสดงน้ำใจ สมาชิกกองมังกรดำในปัจจุบันก็รวมของขวัญมามอบให้เช่นกัน

ในเรือนหอ พิธีทุกอย่างก็ข้ามไปได้เลย ทำให้คนนอกดูพอเป็นพิธีก็พอแล้ว พิธีในห้องหอที่ไม่มีใครเห็นก็ปล่อยผ่านเช่นกัน

อวิ๋นจือชิวถอดมงกุฏหงส์และผ้าคลุมหน้าไว้อีกข้าง ตอนนี้กำลังนำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ตรวจนับจำนวนของขวัญ

ตระกูลโค่วก็รู้เช่นกันว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เป็นคนที่อวิ๋นจือชิวเรียกใช้งานจนชินแล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องใช้สาวใช้คนอื่นให้แต่งงานตามไปแล้ว พวกเขาตั้งใจช่วยอวิ๋นจือชิวดึงตัวสาวใช้สองคนนี้มา วันนี้นับว่าสองสาวได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ไปด้วย ไม่เพียงแค่ได้เห็นขุนนางใหญ่เต็มตำหนักสวรรค์ ทั้งยังได้เห็นราชันสวรรค์กับราชินีสวรรค์ด้วย

ขณะมองดูอวิ๋นจือชิวโยนมงกุฎทิ้งและทำท่าทางร้อนใจอยากนับของขวัญ เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาเดินมาข้างหลังนาง ประคองบ่าสองข้างของนาง แล้วบอกว่า “ข้าว่านะฮูหยิน เจ้าไม่เคยเห็นเงินเหรอ? มีทิวทัศน์งดงามเป็นใจขนาดนี้ เจ้าดันไม่ปรนนิบัติข้าให้ดีๆ มัวมานับของทำไม? ไร้รสนิยมไปหน่อยรึเปล่า!”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เม้มปากแอบขำพร้อมกัน

อวิ๋นจือชิวหันกลับมากลอกตาใส่เขาแวบหนึ่ง “เจ้าไม่ได้เป็นคนดูแลบ้าน ไม่รู้หรอกว่าข้าวของแพงขนาดไหน เจ้ารู้รึเปล่าว่าการเลี้ยงตั๊กแตนพวกนั้นในแต่ละปีหมดเงินเท่าไร? หรือว่าเจ้าจะตัดสัมพันธ์กับอนุภรรยาพวกนั้นจริงๆ? ที่ควรต้องให้ทุกปีก็ยังต้องให้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นผู้ชายไปทำไม? พวกช่างไม้ก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ที่พิภพเล็กเดี๋ยวเจ้าก็คิดถึงคนนั้นเดี๋ยวก็คิดถึงคนนี้ พอคิดถึงสหายคนนี้ก็ให้ข้ามอบเงินให้สักหน่อย วรยุทธ์ของทุกคนก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทางเยารั่วเซียนเอะอะเดี๋ยวก็ขอของขวิเศษจากพิภพใหญ่ไปศึกษา มีอะไรบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน หลายปีผ่านไปขนาดนี้แล้ว รายได้ของพวกเรายิ่งน้อยลงเรื่อยๆ แต่ค่าใช้จ่ายกลับมากขึ้นเรื่อยๆ เกราะรบผลึกแดงที่เจ้าโยนให้พวกลูกน้องในศึกน่านฟ้าระกาติง เจ้าก็ไม่ทวงคืน แต่นี่ก็คือสิ่งที่สมควร ข้าไม่สะดวกจะว่าอะไร ก่อนหน้านี้เจ้าก็รวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ให้ลูกน้องร่วมศึกน่านฟ้าระกาติงที่รอดชีวิต ทั้งยังพยามส่งให้ถึงมือทุกคนด้วย หนึ่งหมื่นกว่าคน แต่ละคนเจ้าก็ไม่ยอมให้นิดเดียว เจ้าไม่ลองคิดดูบ้างล่ะว่าเป็นเงินจำนวนมากขนาดไหน อ้าปากก็จะขอ เจ้านี่ยิ่งนับวันจะยิ่งมือเติบใจกว้างแล้วนะ รู้รึเปล่าว่าข้าไม่ได้ใช้เงินเยอะขนาดนั้นเลย แล้วข้าก็ไม่สะดวกจะว่าเจ้าด้วย ทำได้เพียงกัดฟันรวบรวมจากตรงนั้นทีตรงนี้ที ขนาดของขวัญแรกพบที่ตระกูลโค่วให้ข้ามา ข้าก็ยังเอารวมไว้ด้วยกันเลย เครื่องประดับที่ขายให้วังสวรรค์ครั้งนี้ก็นับรวมไปด้วย แต่ก็ยังขาดอีกไม่น้อย แล้วข้าก็ยังต้องเตรียมทรัพยากรเพื่อช่วยให้เจ้าบรรลุระดับบงกชรุ้งขั้นสองอีก มีอันไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน ตอนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย พอจะมีชดเชยกลับบ้างแล้ว นับว่าแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของข้าได้แล้ว ในที่สุดข้าก็สามารถเอ่ยปากพูดเรื่องนี้กับเจ้าได้แล้ว”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบมองเหมียวอี้เงียบๆ แวบหนึ่ง ที่จริงพวกนางก็ติดตามทำงานอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิว เข้าใจความลำบากยากแค้นในตอนนี้ดีมาก รายได้ปัจจุบันของนายท่านไม่เพียงพอกับพฤติกรรมมือเติบและค่าใช้จ่ายมหาศาลของนายท่านเลย นั่งกินนอนกินสมบัติเก่ามาตลอด หลายปีก่อนเป็นกังวลมาก กำไรที่ฮูหยินได้จากการเปิดร้านก็ชดเชยไปหมดแล้ว ตอนนี้ยังรวบรวมทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนั้นไปให้กำลังพลนับหมื่นในรวดเดียวอีก ฮูหยินเลยจำต้องแข็งใจหน้าด้านไปขอรวบรวมเงินจากอวิ๋นอ้าวเทียน แต่ฮูหยินก็ดันไม่ให้พวกนางบอกนายท่านด้วย บอกว่านายท่านอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติ อย่าทำให้นายท่านเสียสมาธิ เดี๋ยวทางนี้จะคิดหาวิธีหารายได้ช่องทางอื่นเอง

“ลำบากฮูหยินแล้ว” เหมียวอี้ตบบ่าอวิ๋นจือชิวเบาๆ อย่างปลงอนิจจัง แต่เขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับนาง “ตอนนี้โดนขังอยู่ที่อุทยานหลวง ก็เลยไม่มีทางเลือก เดี๋ยวข้าคิดหาทางอีกที ของสำหรับกำลังพลหนึ่งหมื่นนั้นจะน้อยไม่ได้ เจ้าพยายามคิดหาทางรวบรวมเงินแล้วส่งไปให้พวกเขาหน่อย ถ้ามีตรงไหนที่ขาดหรือขาดเท่าไร ก็บอกข้ามาได้เลย”

“คงไม่ต้องแล้ว…” อวิ๋นจือชิวทำท่าตกตะลึงนิดหน่อย หันหน้ามาช้าๆ ชูกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งขึ้นมา “ของขวัญจากตระกูลเซี่ยโห้ว!”

…………………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset