ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับนางหนูคนนี้ เขาก็จะแก้ตัวกับทางปี้เยว่ไม่สะดวก จะแก้ตัวกับทางไห่ยวนเค่อก็ไม่สะดวกเช่นกัน ทางฝั่งลัทธิอู๋เลี่ยงก็จัดการยาก ถึงแม้ไห่ยวนเค่อจะไม่ว่าอะไร แต่ฝั่งจินม่านก็เคยย้ำมาแล้ว ว่าฐานะของนางหนูคนนี้ที่ลัทธิอู๋เลี่ยงแทบจะไม่ต่างอะไรกับองค์หญิงน้อย จะให้เกิดเรื่องกับนางไม่ได้เด็ดขาด
แม้แต่เหมียวอี้เองยังกลุ้มใจ ไม่ตั้งใจ ปักกิ่งหลิว แต่ต้นหลิวกลับให้ร่มเงา จะเล่นงานปี้เยว่คนเดียว แต่พอให้กำเนิดนางหนูคนนี้ขึ้นมา กลับทำให้พวกพี่ใหญ่ของลัทธิอู๋เลี่ยงให้ความสำคัญกับนางมาก
ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะให้ไห่ผิงซินเพ่นพ่านไปทั่ว ถึงแม้อยู่กับตนอาจจะไม่ถึงกับปลอดภัยเสียทีเดียว แต่อย่างน้อยก็อยู่ในการควบคุมของตน มองเห็นนางอยู่ใต้หนังตาตน ก็ยังพอจะสงบใจได้หน่อย
“ทำไมล่ะ?” ไห่ผิงซินถลึงตาถามอย่างทำใจเชื่อได้ยาก “นายท่านบอกว่าจะไม่บังคับไม่ใช่เหรอ?”
เหมียวอี้ก้มหน้าเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่านางหนูคนนี้จะจับช่องโหว่ในคำพูดของเขาได้แล้ว ถึงถามช้าๆ ว่า “เฟยหงก็ไป เจ้าจะไปหรือไม่ไป?”
ไห่ผิงซินส่ายหน้า “ไม่อยากไป ไม่ไปไม่ได้เหรอ?” ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขอร้อง
จากจากหลุดออกจากข้างกายเหมียวอี้ ได้ไปเห็นโลกภายนอก นางก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยเข้าสังคมเหมือนในปีนั้นอีกแล้ว ฉากอันยอดเยี่ยมที่ได้เจอเฟยหงในปีนั้นกลายเป็นปกติธรรมดาไปแล้ว นำสิ่งนี้มาล่อลวงนางไม่ได้ผลแล้ว
พวกหยางชิ่งมองประเมินไห่ผิงซินเงียบๆ ที่จริงในใจของทุกคนเคลือบแคลงมาตลอด ว่านางหนูที่จู่ๆ ปรากฏตัวขึ้นมามีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ จะว่านายท่านกำลังดูแลก็ได้ จะว่ากำลังโอ๋ก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ถ้าจะบอกว่านายท่านชอบเด็กสาวคนนี้ ก็ดูไม่เหมือนจะเป็นอย่างนั้น มองไม่ออกถึงท่าทางรักใคร่ระหว่างชายหญิงเลย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องกันนิดหน่อย ให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายดูแลน้องสาว
เหมียวอี้อับอายนิดหน่อยจนเริ่มโมโห สั่งอย่างดุดันว่า “ไม่ได้!”
“งั้นท่านจะยังถามความเห็นพวกเราทำไมอีก?” ไห่ผิงซินถาม
เหมียวอี้เอ่ยเรียกอย่างเย็นเยียบว่า “เหยียนซิว!” เขารู้ว่าไห่ผิงซินกลัวใครมากที่สุด ใครเห็นแล้วก็ต้องทำท่าเหมือนหนูเจอแมว
เหยียนซิวหันตัวไปมองไห่ผิงซินทันที พร้อมด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นพิศวง “ไปด้วยกันดีกว่า”
พอเห็นใบหน้ายิ้มของเหยียนซิว ไห่ผิงซินก็ตัวสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้หนาว ตอนนี้นางเสียงเบาลงหลายส่วนแล้ว บ่นว่า “ไปก็ไป”
ส่วนคนอื่นๆ บ้างก็พยักหน้าตอบตกลง บ้างก็ตบปากรับคำแล้ว ต่างก็แสดงออกว่าเต็มใจจะไปด้วย
มีอยู่สิ่งหนึ่งที่หยางชิ่งเข้าใจดีที่สุด ว่าคนที่มาจากพิภพเล็ก ไม่มีทางที่เหมียวอี้จะปล่อยไปโดยไม่สนใจ ถ้าความรับรั่วไหลขึ้นมาก็จะกลายเป็นภัยคุกคามได้ง่ายๆ ไม่มัดไว้ให้แน่นคงไม่ได้ ที่ถามว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็เป็นเพียงการแสดงท่าทีเท่านั้น ถ้ากล้าบอกว่าไม่เต็มใจเพราะมีแผนอีกอย่างเตรียมไว้ เกรงว่าเหมียวอี้คงจะไม่ปล่อยตนไปแน่ อีกฝ่ายย้ายตนมาโดนไม่ถามความยินยอม มีหรือที่จะปล่อยให้หลุดไปง่ายๆ
และสำหรับเหมียวอี้ การที่สวีถังหรานเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาแสดงออกว่ายินดีจะติดตามเขาไป ก็ทำให้เขาค่อนข้างปลื้มใจ ถึงอย่างไรก็ห่างกันไปนานขนาดนี้ แต่ก็ยังยืนหยัดว่าจะติดตามตนไปอยู่ตลาดผีที่ไม่ค่อยมีอนาคน สิ่งนี้สะท้อนความจงรักภักดีแล้ว
หารู้ไม่ว่าสำหรับสวีถังหรานแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เขาไม่ได้สัมผัสกับบุคลระดับบน ก็ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าออกห่างจากเหมียวอี้แล้วจะใช้ชีวิตได้หรือไม่ จุดพื้นฐานที่เขาคิดได้ก็คือ นายท่านได้ไต่เต้าไปเกาะกิ่งไม้สูงอย่างอ๋องสวรรค์โค่วแล้ว ถ้าอยู่กับนายท่านจะต้องอนาคตยาวไกลไร้ขอบเขตแน่นอน!
เมื่อมีความเห็นเป็กเอกฉันท์ เรื่องราวก็ถูกกำหนดแบบนี้แล้ว ตอนที่ทุกคนแยกย้ายออกไป จู่ๆ เหมียวอี้ก็บอกว่า “หยางชิ่ง เจ้าอยู่ก่อน”
หยางชิ่งที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวหยุดฝีเท้า หันตัวกลับมา แล้วกุมหมัดคารวะ “นายท่านยังมีอะไรจะกำชับอีกขอรับ?”
ขณะมองดูหยางชิ่งที่สีหน้าเยือกเย็นสุขุม ในแววตาเหมียวอี้ก็สื่อหลากหลายอารมณ์ หลังจากเกิดคดีที่น่านฟ้าระกาติง หยางชิ่งก็รักษาระยะห่างจากตนอย่างเห็นได้ชัด ถ้าตนไม่ติดต่อไป อีกฝ่ายก็ไม่เป็นฝ่ายติดต่อตนมาก่อนอีก ด้วยเหตุนี้เขาถึงรู้ตัวแล้วว่าที่หยางชิ่งบอกว่าฝึกตนจนป่วยในครั้งนั้นคงจะเป็นข้ออ้าง สาเหตุก็เดาได้ไม่ยาก เป็นเพราะตนไม่ฟังความเห็นของเขา แทบจะดึงให้ทุกคนตกอยู่ในภัยคุกคามถึงชีวิตแล้ว
และที่มาในครั้งนี้ ก็เป็นความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน ความคิดของอวิ๋นจือชิวก็เรียบง่ายมาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ไม่ต้องกังวลทางฝั่งเวยเวยด้วย ฆ่าหยางชิ่งเสียเลยสิ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรน่าหวั่นเกรง นอกเสียจากเจ้าจะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวว่าจะจัดการกับหยางชิ่งไม่ได้ ถ้ามีความมั่นใจแล้วจะมีอะไรให้กลัวล่ะ? เรื่องนี้เจ้าต้องเลือกสักทาง ถ้าปล่อยให้ยืดเยื้อไปอย่างนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าไม่ไว้ใจอีกฝ่าย ถ้าจะไม่ให้คนฉลาดแบบหยางชิ่งมีใจเป็นอื่นก็คงยาก เจ้าเอาแต่ป้องกันเขาเหมือนป้องกันโจร แบบนี้ไม่ใช่พฤติกรรมของลูกผู้ชาย ถ้าปล่อยให้เวลานานไปจนทำให้หยางชิ่งแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่มีอนาคต ก็จะต้องกดดันให้หยางชิ่งเดินไปสุดปลายทางแน่นอน”
เหมียวอี้ยังคงลังเลกับสิ่งนี้ สาเหตุหลักเป็นเพราะเรื่องที่หยางชิ่งแอบจะลงมืออวิ๋นจือชิวครั้งก่อน เขาจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจมาตลอด
พอได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ทั้งซาบซึ้งทั้งปลงอนิจจัง โน้มน้าวด้วยความหวังดีอีกครั้ง “เรื่องบางเรื่องเจ้าก็ต้องทำความเข้าใจไว้นะ ในฐานะพ่อคนหนึ่ง การที่เขาอยากจะให้ลูกสาวได้มีชีวิตดีขึ้นหน่อยก็ใช่ว่าจะแย่เสียทั้งหมด คนเรายิ่งฉลาดก็ยิ่งมีแผนการเยอะ ไม่ได้บริสุทธิ์เต็มร้อยเหมือนเหยียนซิว ในโลกนี้ไม่มีใครบริสุทธิ์เต็มร้อยเหมือนเหยียนซิวหรอก มีใครบ้างที่ไม่จุดด่างพร้อยเลยสักนิด ไม่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด? หนิวเอ้อร์ เจ้าเองก็ไม่ใช่นักปราชญ์เหมือนกัน ถ้ามัวพะวงถึงความเห็นแก่ตัวเล็กน้อยของคนอื่น แล้วในใต้หล้านี้เจ้าจะหาใครมาทำงานให้เจ้าได้เหรอ? ดูอย่างประมุขชิงสิ ประมุขชิงจะไม่รู้เชียวหรือว่าตระกูลเซี่ยโห้วกับสี่อ๋องสวรรค์ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัว? ถึงยังไงข้างกายเจ้าก็มีคนที่ใช่ประโยชน์ได้ไม่เยอะอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในการใช้งานคนก็คือควบคุมคน ไม่ใช่มีข้อเรียกร้องที่รุนแรงเกินไป ถ้าใช้งานได้ดีก็ย่อมเป็นแรงสนับสนุน ถ้าใช้งานได้ไม่ดีก็จะเป็นปัญหา กุญแจสำคัญอยู่ที่ตัวเจ้าเอง ไม่ได้อยู่ที่ตัวหยางชิ่ง…”
สรุปก็คืออวิ๋นจือชิวแนะนำให้เขาไปกระชับความสัมพันธ์กับหยางชิ่ง
ก็อย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เหมียวอี้ไม่ใช่นักปราชญ์ บนตัวก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน บุ่มบ่ามมุทะลุ ทำอะไรตามอารมณ์ได้ง่าย ถ้าคนทั่วไปบอกอะไรเขาก็อาจจะไม่ฟัง มีเพียงอวิ๋นจือชิวเท่านั้นที่สามารถจับจุดเขาได้อย่างแม่นยำ หลังมีความสุขด้วยกันอย่างเต็มที่แล้วนางก็ตั้งใจกอดเหมียวอี้แล้วพูดสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดก็ทำให้เหมียวอี้เชื่อฟังแล้ว
“เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง เป็นความผิดของข้าเอง”
จู่ๆ เหมียวอี้ก็พูดแบบนี้ออกมา ทำให้หยางชิ่งที่มีสีหน้าเยือกเย็นสงบนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขารีบใช้ความคิดไตร่ตรองว่าเหมียวอี้หมายความว่าอะไร ในภาพความทรงจำของเขา เหมียวอี้ไม่ใช่คนที่จะยอมรับผิดได้ง่ายๆ โดยเฉพาะการยอมรับผิดต่อเขา
เขาคิดไปในทางความน่าสงสัย พอจะเดาได้คร่าวๆ ว่าอวิ๋นจือชิวบงการอยู่เบื้องหลัง เขารู้จักเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้ คนที่ทำให้เหมียวอี้พูดแบบนี้ได้ไม่ใช่เขาแน่นอน เกรงว่าจะมีแค่อวิ๋นจือชิวแล้ว
หยางชิ่งแอบถอนหายใจ น่าเสียดายที่เวยเวยไม่ได้มีผลกระทบมากขนาดนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ เขาตอบว่า “นายท่านไม่ได้ผิด นายท่านเตรียมการไว้ทางฝั่งอ๋องสวรรค์โค่วตั้งแต่แรกแล้ว เป็นข้าน้อยเองที่คิดมากไป”
เหมียวอี้รู้ว่าเขารู้ชัดอยู่แก่ใจ ที่พูดแบบนี้เพราะต้องหาหาบันไดลงให้เขาเฉยๆ จึงไม่วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้อีก กล่าวอย่างลังเลว่า “ช่วงนี้ข้ามีเรื่องที่คิดไม่ตก อยากจะฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย”
“ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง” หยางชิ่งกล่าว
“ที่งานแต่งงานในอุทยานหลวง ข้าได้รับของขวัญล้ำค่าจากตระกูลเซี่ยโห้ว…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ แล้วขอคำชี้แนพ “ตอนนี้ข้าไม่เข้าใจว่าการที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบของขวัญให้มากขนาดนี้หมายความว่าอะไร เจ้าคิดว่ายังไง?”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว หลังจากลังเลอยู่นาน ถึงได้ถามว่า “นายท่านกับตระกูลเซี่ยโห้วมีการไปมาหาสู่อะไรกันเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “นอกจากคบค้ากับเซี่ยโห้วหลงเฉิงนิดหน่อย ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกันแล้ว”
“แบบนี้…” หยางชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ “ข้าน้อยก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่มีอยู่จุดหนี่งที่ข้าน้อยมั่นใจได้ ในเมื่อเป็นของขวัญล้ำค่า ก็แสดงว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร มีความหมายในทางที่ดีเกินครึ่ง บางทีอาจจะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง เพียงแค่เกริ่นนำก่อนก็เท่านั้น เวลาออกหน้าประสานงานในภายหลังจะได้ไม่พรวดพราด”
เหมียวอี้ไต่ตรองพลางพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็บอกอีกว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าก็รู้เรื่องที่น่านฟ้าระกาติง กำลังพลกองมังกรดำหมื่นกว่าคนที่รบรอดกลับมา หลังจากแยกย้ายกันแล้ว ข้าก็นำของขวัญล้ำค่าส่วนนั้นที่ได้จากตระกูลเซี่ยโห้วไปแจกจ่ายให้พวกเขา แต่ก็พบเรื่องที่มีเงื่อนงำ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนส่งทรัพยากรไปช่วยพวกเขาในนามของข้าก่อนแล้ว…”
พอพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ตกใจไม่เบา กำลังพลที่เหลือรอดพวกนั้น ตามหลักการของกองทัพองครักษ์แล้วก็ไม่กล้ารับของจากหน่วยงานภายนอกได้ง่ายๆ หลังจากรู้ว่าเป็นน้ำใจจากเขา คนพวกนั้นถึงไม่ปฏิเสธ แต่คนที่ใช้ทรัพยากรช่วยก็สั่งในนามของข้าเช่นกัน ว่าให้คนพวกนั้นเก็บเป็นความลับ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าจะแสดงน้ำใจถัดจากนั้นไม่นาน ทำให้คนพวกนั้นพบความผิดปกติและติดต่อมาหาเขาว่าเรื่องนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เกรงว่าจนป่านนี้เขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เนื่องจากเขาไม่สามารถติดต่อกับกำลังพลหนึ่งหมื่นคนนั้นในระยะยาวได้ ส่วนทรัพยากรที่คอยส่งช่วยเหลือให้หลังม่านก็ส่งให้ตามกำหนดเวลาตลอด ไม่เคยขาดเลย
พอได้ยินแบบนี้ หยางชิ่งก็ตกใจมากเช่นกัน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าถามว่า “อีกฝ่ายใช้ทรัพยากรช่วยพวกเขาในนามของนายท่านเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” เหมียวอี้พยักหน้า
หยางชิ่งถามอย่างร้อนใจอีกว่า “แล้วนายท่านได้เปิดโปงเรื่องนี้หรือเปล่า สะเทือนไปถึงคนที่อยู่หลังท่านนี้หรือยัง”
เหมียวอี้เห็นเขาทำสีหน้าเหมือนเดาอะไรออกแล้ว ส่ายหน้าตอบว่า “เปล่า! ข้าเองก็อยากจะสืบเหมือนกันว่าใครกันแน่ที่เล่นตุกติกอยู่เบื้องหลัง ข้าก็เลยแอบบอกพวกลูกน้องเก่าให้รับของพวกนั้นต่อไปแบบเนียนๆ อย่าเพิ่งแหวกหญ้าใหงูตื่น เจ้าเดาอะไรได้แล้วใช่มั้ย?”
หยางชิ่งร่ายอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร ถึงได้ตอบช้าๆ ว่า “ถ้าข้าน้อยเดาไม่ผิด เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นตระกูลโค่ว”
“ตระกูลโค่ว?” เหมียวอี้ตกใจ แล้วถามว่า “ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้วหรอกเหรอ? ตระกูลเซี่ยโห้วเพิ่งจะส่งทรัพยากรก้อนใหญ่ให้ข้าในเวลานั้นพอดี”
หยางชิ่งส่ายหน้า “ตระกูลเซี่ยโห้วให้ทรัพยากรมามากมายขนาดนั้นแล้ว ก็เพื่อให้นายท่านมีทรัพยากรจำนวนมากไปช่วยเหลือกำลังพลเก่า ถ้าเขายังแอบไปช่วยให้ทรัพยากรอีก แบบนี้ไม่เป็นการเผยพิรุธหรอกเหรอ? มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะชนปะทะกัน ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วต้องการจะแอบส่งทรัพยากรให้คนพวกนั้นโดยปิดบังนายท่านจริงๆ ก็คงไม่ให้ทรัพยากรนายท่านมากขนาดนั้นหรอก”
คำพูดนี้มีเหตุผล! เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ แล้วบอกว่า “ว่ากันตามจริงนะ ข้าเองก็สงสัยตระกูลโค่วเหมือนกัน แต่ตระกูลโค่วจำเป็นต้องปิดบังข้าด้วยเหรอว่าทำเรื่องนี้? ในเมื่อข้ายอมยอมศิโรราบแล้ว ถ้าจะให้ทรัพยากรช่วยก็เอ่ยปากตรงๆ ก็ได้ แบบนี้ข้าจะได้จดจำน้ำใจของพวกเขาด้วย ทำไมต้องลักลอบทำแล้วปิดบังข้าแบบนี้?”
หยางชิ่งแววตาวูบไหว “แผนการของตระกูลโค่วยาวไหลมาก ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความได้เปรียบหรือขาดทุนที่อยู่ตรงหน้า ไม่แปลกใจที่ยืนในราชสำนักได้โดยไม่ล้ม!”
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้รีบถาม
หยางชิ่งอธิบายอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “ถ้าตระกูลโค่วบอกนายท่านแล้ว นายท่านก็แค่จดจำน้ำใจมากขึ้นเท่านั้นเอง ถ้าแอบส่งทรัพยากรช่วยอย่างลับๆ ตระกูลโค่วก็จะได้กุมทั้งน้ำใจของนายท่านและน้ำใจของคนพวกนั้น! ถ้านายท่านทำงานเพื่อตระกูลโค่วอย่างจงรักภักดีตลอดไป รอให้ถึงตอนที่นายท่านต้องการแรงสนับสนุนจากลูกน้องเก่าพวกนั้น ตระกูลโค่วก็จะบอกนายท่านเอง นายท่านก็ยังจะจดจำน้ำใจของตระกูลโค่วเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ถ้าในภายหลังนายท่านไม่ได้ยืนฝั่งเดียวกับตระกูลโค่ว นายท่านก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าตัวเองยังมีแรงสนับสนุนจากลูกน้องเก่าพวกนั้นอยู่ ตระกูลโค่วไม่มีทางให้นายท่านใช้งานกำลังพลพวกนี้ หากเมื่อใดเกิดเหตุไม่คาดคิดกับนายท่าน หากนายท่านตายไปแล้ว คนพวกนั้นที่กองทัพองครักษ์ได้รับทรัพยากรสนับสนุนจากตระกูลโค่วมาหลายปี ก็เท่ากับจุดอ่อนพวกเขาตกอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว จำเป็นต้องฟังคำสั่งตระกูลโค่วเช่นกัน แผนนี้ของตระกูลโค่วเรียกได้ว่าทำครั้งเดียวได้ประโยชน์หลายอย่าง ต่อให้ถูกตำหนักสวรรค์จับสังเกตได้ว่ามีคนยื่นมือเข้าไปในกองทัพองครักษ์ แต่ก็จะไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าตระกูลโค่วทำ เกรงว่านายท่านคงจะเป็นเพียงแพะรับบาปตัวหนึ่ง ทว่าต่อให้ตระกูลโค่วจะวางแผนคาดการณ์มาดีขนาดไหน แต่ก็คาดไม่ถึงว่านายท่านจะเห็นแก่ไม่ตรีเก่าขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะนำทรัพยากรก้อนใหญ่ขนาดนี้มาแสดงน้ำใจต่อลูกน้องเก่าที่แยกย้ายกันไป ทำให้เรื่องราวชนกันจนเผยพิรุธออกมาแล้ว”
…………………