ฉากนี้ทำให้ปฏิกิริยาของสามคนที่อยู่บนเวทีแตกต่างกันออกไป พวกเขาต่างก็กำลังรอคอย รอคอยว่าจะเกิดผลลัพธ์อะไรขึ้น
หลังจากความเคลื่อนไหวบนวงล้อเติมคำเงียบลงโดยสิ้นเชิงแล้ว เหมียวอี้ก็เงยหน้าช้าๆ มองธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าและผู้อาวุโสมู่เซินที่กำลังทำสีหน้าตื่นเต้นฮึกเหิม ถ้าตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองเติมคำถูกต้องแล้ว หรือยังไม่รู้ว่าวงล้อเติมคำนี่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราจริงๆ เขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะเกิดการเปลี่ยนแลงเพราะคติพจน์บทนำสิบหกตัวของเคล็ดวิชาอัคนีดารา
ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเรื่องบางอย่าง มองออกได้อย่างชัดเจนจากปฏิกิริยาของสองคนนี้ ชายชราและสาวน้อยคู่นี้ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เรียกว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร กุญแจสำคัญในการตรวจคำตอบมีเพียงวงล้อเติมคำเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าวงล้อเติมคำนี้เป็นของวิเศษสุดพิเศษที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลอมสร้างขึ้นมา คนที่ออกแบบของชิ้นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกแน่นอน
วงล้อเติมคำที่เงียบลง ในสายตาเหมียวอี้เป็นเพียงวงอักษรที่หนาแน่นไร้กฎเกณฑ์ แต่ปฏิกิริยาของผู้อาวุโสมู่เซินกลับค่อนข้างผิดปกติ เขาชี้ที่อักษรตัวแรกบนช่องว่างของรางไหล พลางเริ่มสวดคาถา “อาเสินหลัวหม่าต๋า หยวนม่านกู่หลันสั่ว…”
วงแล้ววงเล่า ใช้นิ้วชี้สวดหมดไปหนึ่งวง แล้วก็สวดวงที่อยู่ข้างในต่อ ทำนองของคาถานั่นราวกับร้องเพลง เหมือนเป็นภาษาที่คลุมเครือเข้าใจยากภาษาหนึ่ง
สำนวนยุ่งเหยิงที่ยากจะอ่านให้เป็นบทความได้สำหรับเหมียวอี้ แต่ผู้อาวุโสมู่เซินเหมือนจะสวดออกมาราวกับเป็นบทความของตำราธรรมดา คล่องปากมาก ถ้าให้เหมียวอี้สวดคงจะตะกุกตะกักมาก แต่ผู้อาวุโสมู่เซินสวดออกมาได้อย่างมีท่วงทำนอง
ความคิดต่างๆ แวบเข้ามาในหัวเหมียวอี้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตัวเองไปเปิดใช้งานของสิ่งใดกันแน่ ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์หรือโทษกับตัวเอง
พวกหมิงจ้าวที่อยู่ข้างล่างขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสมู่เซินกำลังสวดคาถาผีอะไร แต่ดูจากปฏิกิริยาของบรรดาปีศาจในงาน เหมือนพวกเขาจะตื่นเต้นมาก แต่ละคนมองไปยังผู้อาวุโสมู่เซินที่กำลังสวดคาถาบนเวทีอย่างฮึกเหิม
ผู้อาวุโสมู่เซินที่ใช้กำลังนิ้วหมุนย้ายวงพลางสวดคาถา ตอนที่ชี้ตรงวงอักษรหลายวงที่อยู่ใกล้ชั้นใน นิ้วก็พลันหยุดชะงักไป ปากก็หยุดสวดคาถาแล้วเช่นกัน ไม่ได้สวดต่อแล้ว แต่กำลังมองดูเนื้อหาในนั้นอย่างละเอียด หลังจากแววตาวูบไหวอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็ยื่นมือไปขยับวงล้อเติมคำใหม่ แล้วปั่นวงอักษรที่เพิ่งรวมกลุ่มกันเองเมื่อครู่นี้วุ่นวายยุ่งเหยิงอย่างรวดเร็ว
หลังจากทำเสร็จ ผู้อาวุโสมู่เซินก็โบกมือเก็บวงล้อเติมคำ แล้วมองเหมียวอี้ด้วยแววตาลึกซึ้ง ถอยหลังช้าๆ สองสามก้าว แล้วหันตัวมาประกาศต่อทุกคนว่า “วันนี้ เผ่าปีศาจหาแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของพวกเราเจอแล้ว!” พูดจบก็นำทุกคนประทับฝ่ามือที่หัวใจ พลางโค้งกายให้เหมียวอี้!
ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าก็ทำแบบนี้เช่นกัน บรรดาปีศาจที่อยู่ในงานก็ทำแบบนี้ ทั้งงานเงียบเชียบไร้เสียง ทั้งหมดแสดงความเคารพต่อเหมียวอี้อย่างนอบน้อมและจริงใจ
พวกหมิงจ้าวตกตะลึงอ้าปากค้าง หันซ้ายหันขวามองหน้ากันเลิกลั่ก รู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย จากปฏิกิริยาที่เคารพเลื่อมใสของเหล่าปีศาจ สามารถดูออกได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อคือแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจจริงๆ
จงหลีค่วยพึมพำในใจ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เจ้าเด็กที่ถูไถเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดของเผ่าปีศาจแล้ว ความยุติธรรมยังมีอยู่มั้ย?
ขณะที่มองคนมากมายขนาดนี้คำนับตนอย่างเคารพเลื่อมใส เหมียวอี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือควรกังวล สรุปคือในใจสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าการกระทำเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร เขาจึงผายมือสองข้างอย่างระแวดระวัง “ผู้อาวุโส ธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนไม่ต้องมากพิธี!”
ผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าพยักหน้าเบาๆ เพื่อแสดงความจริงใจ พอวางมือลงแล้วยืนตัวตรง บรรดาปีศาจถึงได้ยืนตัวตรงตาม
“วันนี้ควรค่าแก่การจดจำ พี่น้องเผ่าปีศาจ แล้วก็แขกของพวกเรา ทุกคนเชิญใช้ความสนุกสุดเหวี่ยงเพื่อเฉลิมฉลอง!” ผู้อาวุโสมู่เซินยกไม้เท้าขึ้น แล้วกางแขนสองข้างประกาศเสียงดัง
“เฮ… เฮ…” บรรดาปีศาจโห่ร้องดีใจทันที เสียงเพลงดังขึ้น เรียกได้ว่าทั้งร้องทั้งเต้นอย่างสนุกสนาน ผู้คนกอดกันโห่ร้องไม่หยุด ออกแรงชนจอกสุราอย่างแรง น้ำสุราสีเขียวกระเด็นหก เป็นการเฉลิมฉลองอย่างบ้าคลั่งตามอำเภอใจ
มีเพียงพวกหมิงจ้าวที่เงียบงันอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย ไม่นานก็เห็นเหมียวอี้ถูกผู้อาวุโสมู่เซินและธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าเชิญให้เหาะขึ้นมาบนง่ามไม้ที่อยู่สูง ด้านบนมีโพรงไม้ที่ใหญ่ที่สุดของทั้งต้น หลังจากทั้งสามเข้าไปในโพรงไม้ ทางเข้าโพรงไม้เลื้อยขยุกขยิกปิดอย่างรวดเร็ว หมิงจ้าวขมวดคิ้ว แต่จนใจที่ไม่ได้ถูกเชิญ จึงไม่สะดวกจะตามขึ้นไป
เหมียวอี้ที่เข้ามาในโพรงไม้หันขวับไปมองข้างหลัง เห็นประตูปิดสนิท ที่ว่างในโพรงไม้กว้างขวาง โต๊ะเก้าอี้งอกออกมาเป็นชุดเดียวกัน แต่ก็พอจะเข้าใจได้ นี่คือร่างเดิมของผู้อาวุโสมู่เซิน เขาอยากจะควบคุมให้เปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ตามใจชอบ
เมื่อเห็นประตูปิดแล้ว เหมียวอี้ก็หันไปมองผู้อาวุโสมู่เซิน แล้วถามอย่างระแรงว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เชิญขึ้นมาด้วยเรื่องอะไร?”
แต่ผู้อาวุโสมู่เซินกลับมองเขาพลางถอนหายใจ “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
เหมียวอี้ฟังแล้วรู้สึกว่าแปลกประหลาดเกินบรรยาย ถามอย่างสงสัยว่า “อะไรนะ?”
ผู้อาวุโสมู่เซินถอนหายใจเบาๆ แล้วจ้องเขาด้วยสีหน้าจริงจังและหนักแน่น พร้อมบอกว่า “พวกเราทำตามความประสงค์ของท่าน รับการลงโทษจากท่าน รอท่านอยู่ที่นี่มานานแสนนานแล้ว ชดใช้ความผิดอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ในที่สุดก็รอจนท่านหวนกลับมา ตอนนี้พวกเราทำตามสัญญาแล้ว หวังว่าท่านจะไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับเผ่าปีศาจของพวกเรา”
เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวทึบเหมือนมีหมอกลง “ผู้อาวุโส ทำไมข้าฟังไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดอะไร?”
ผู้อาวุโสมู่เซินตอบว่า “เดี๋ยวท่านจะเข้าใจเอง!” พูดจบก็พลิกฝ่ามือยื่นกระจกทองแดงออกมาบานหนึ่ง พอผลักฝ่ามือเบาๆ กระจกทองแดงก็ลอยไปตรงหน้าเหมียวอี้ “ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ของท่านควบคุมมัน มีเพียงพลังอิทธิฤทธิ์ของท่านเท่านั้นที่ควบคุมมันได้ กระจกบานนี้จะให้คำตอบท่านเอง”
เหมียวอี้ที่รับกระจกทองแดงมาไว้ในมือกำลังฉงนสนเท่ห์ มองหน้าทั้งสองคน แล้วก็มองกระจกในมือตัวเอง ผู้อาวุโสมู่เซินพยักหน้าเบาๆ ให้เขา เหมือนกำลังแนะนำว่าให้เขาลองดูสักหน่อย
เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น ในใจครุ่นคิดว่าเล่นบ้าอะไรกัน หลังจากคิดไปคิดมา ก็ลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในกระจก พบว่าเป็นของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ไร้ค่ามาก เหมือนจะไม่มีอานุภาพในการโจมตีหรือป้องกันอะไร จากนั้นก็ร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้น แต่ก็ไม่พบกฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองทั้งสองอย่างสงสัยอีกครั้ง
ผู้อาวุโสมู่เซินเหมือนจะดูออกว่าเขาสงสัย จึงอธิบายว่า “พวกเราเองก็รู้ไม่เยอะ จึงช่วยอะไรท่านไม่ได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเปิดใช้งานมันได้อย่างไร แต่คนที่ทิ้งกระจกบานนี้ไว้เคยบอกว่า นี่คือกุญแจดอกหนึ่ง คนที่ผ่านการทดสอบได้ก็จะได้รับคำตอบที่อยู่ในกระจกทองแดง และจะได้กุญแจที่เขาทิ้งไว้ให้ด้วย”
การทดสอบแขกผู้มีเกียรติสูงสุด? เหมียวอี้นึกเชื่อมโยงไปถึงวงล้อเติมคำทันที แล้วก็นึกเชื่อมโยงไปถึงเคล็ดวิชาอัคนีดารา อย่าบอกนะว่า?
เมื่อก้มหน้ามองกระจกทองแดงในมืออีกครั้ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เล็กน้อย เปลวเพลิงไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งกรอกเข้าไปในกระจกทองแดง เพียงชั่วพริบตาเดียว กระจกทองแดงในมือก็สั่นเบาๆ อย่างเห็นได้ชัด หน้ากระจกเริ่มมีลำแสงหลากสีสันปรากฏขึ้น
เหมียวอี้ตกตะลึง ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่ามองเขาด้วยสีหน้าเคารพ ผู้อาวุโสมู่เซินถอนหายใจเบาๆ มองเหมียวอี้ด้วยแววตาซับซ้อน พลางพึมพำว่า “ท่านกลับมาแล้วจริงๆ! ราชันกลับมาแล้ว ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว อีกไม่นานจักรวาลผืนนี้คงจะเกิดพายุฝนโลหิต หวังว่าความสงบสุขจะกลับคืนมาโดยเร็ว!”
ตอนที่พูดประโยคข้างบน เขาใช้ภาษาเหมือนกับตอนที่สวดคาถาอ่านวงล้อเติมคำ เหมียวอี้ฟังไม่เข้าใจ ธิดาศักดิ์สิทธิ์มู่น่าที่เพียงมองผู้อาวุโสมู่เซินแวบหนึ่งอย่างค่อนข้างหวาดกลัว
ตาแก่นี่กำลังพึมพำอะไร? เหมียวอี้เหลือบมองมู่เซินแวบหนึ่ง แล้วสายตาไปรวมอยู่ในกระจกทองแดงอย่างรวดเร็ว พอลำแสงหลากสีในกระจกหายไป ก็เกิดตัวอักษรหลายแถวบนหน้ากระจกทันที : ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูก บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้ง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน!
เมื่อตัวอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนี้ปรากฏขึ้น เหมียวอี้ก็ตกตะลึงพรึงเพริด ถ้าไม่ได้อ่านผิดหรือเข้าใจผิดไป ไม่น่าเชื่อว่าของสิ่งนี้จะกำลังชี้แนะให้หาเคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดินได้อย่างแม่นยำ!
ในวินาทีนี้เหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แผนที่ซ่อนสมบัติที่ตกอยู่ในปราสาทดำเนินนภาไม่ใช่ของปลอม แต่ไม่ได้ชี้นำไปยังที่ซ่อนสมบัติโดยตรง ชี้มาที่เผ่าปีศาจแทน ชี้นำให้มารับการทดสอบจากเผ่าปีศาจ มีเพียงการผ่านการทดสอบจากเผ่าปีศาจเท่านั้น ถึงจะรู้สถานที่ซ่อนสมบัติที่แท้จริง
หรือพูดได้อีกอย่างว่า มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะผ่านแบบทดสอบวงล้อเติมคำ ถึงจะได้กระจกทองแดงมาไว้ในมือ มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะเห็นสถานที่ซ่อนสมบัติในตอนสุดท้ายได้
ถ้าคำพูดบนกระจกทองแดงเป็นความจริง เช่นนั้นทุกอย่างก็เหมือนจะชัดเจนขึ้นมาแล้ว เกี่ยวกับแผนที่ซ่อนสมบัตินี้ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ มีเพียงคนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดาราเท่านั้น ถึงจะได้เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดินไป คนอื่นต่อให้ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้รู้คติพจน์สิบหกตัวของบทนำเคล็ดวิชาอัคนีดาราไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ด่านยากที่สร้างไว้ในแผนที่สอนสมบัติ คือสิ่งที่เตรียมไว้ให้คนประเภทเดียวเท่านั้น คนที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา!
ยากจะอธิบายได้ว่าตอนนี้ในใจเหมียวอี้สั่นสะเทือนขนาดไหน ไม่รู้ว่าในโลกนี้มีแค่เขาคนเดียวหรือเปล่าที่ฝึกเคล็ดวิชาอัคนีดารา ไม่ใช่สิ ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว ยังมีท่านมหาเซียนที่เหล่าไป๋บอก หรือว่ามหาเซียนท่านนั้นต่างหากที่เป็นตัวจริงที่จะได้ของสิ่งนี้ไป? หรือไม่อย่างนั้น ถ้าดูจากความสัมพันธ์ระหว่างเคล็ดวิชาอัคนีดารากับที่นี่ อย่าบอกนะว่ามหาเซียนท่านนั้นจะเป็นผู้ที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้?
ในหัวเขาเกิดความคิดแวบไปแวบมาราวกับสายฟ้าแลบ เริ่มเข้าใจเรื่องบางอย่างแล้ว เหล่าไป๋รู้จักแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งพอสมควร อย่างเช่นตอนที่ไปเก็บไข่ตั๊กแตนทมิฬ ทั้งยังมีภาพสลักสตรีทะยานฟ้าในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เหมือนกับที่อยู่ในแผนที่ซ่อนสมบัติไม่มีผิด หรือว่าท่านมหาเซียนที่เหล่าไป๋บอกจะเป็นจอมมารที่โดนทหารสวรรค์หนึ่งแสนนายไล่สังหารในปีนั้น?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้!
ถึงแม้ในใจจะมีเรื่องสงสัยอยู่บ้าง แต่สรุปว่ามีอยู่จุดหนึ่งที่เขามั่นใจได้ ตนไม่ใช่คนที่เผ่าปีศาจรอมาตลอดแน่นอน เพราะตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกอะไรเลย
แต่ใครจะไปสนล่ะ ของต้องตกอยู่ในมือตนถึงจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง! เหมียวอี้แอบดีใจอย่างบ้าคลั่ง พอเก็บเปลวเพลิงไร้รูปร่าง แสงที่อยู่บนกระจกทองแดงก็หายไป ตัวอักษรที่อยู่ด้านบนหายไปหมดแล้ว เขาเก็บกระจกทองแดง ความลับนี้อยู่ในมือเขาแล้ว เขาไม่คิดจะมอบให้ใครด้วยความเคารพ และไม่คิดจะให้สองคนที่อยู่ตตรงหน้ารู้ด้วย
หลังจากจัดระเบียบความคิด สงบสติอารมณ์ลงแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า “ผู้อาวุโส เป็นใครกันที่ทิ้งของสิ่งนี้ไว้แล้วบอกให้พวกท่านรออยู่ที่นี่?” เขาแปลกใจมากว่าใครกันแน่ที่วางแผนซับซ้อนแบบนี้ไว้
ผู้อาวุโสมู่เซินตอบว่า “เพียงเราเพียงทำตามคำสาบานของตัวเอง เป็นคนเฝ้ารักษากุญแจ ตอนนี้พวกเราทำตามสัญญาแล้ว ส่งมอบกุญแจให้ถึงมือของผู้ที่ควรจะรับแล้ว ในเมื่อท่านได้กุญแจไป เดี๋ยวก็จะพบคำตอบเอง!”
…………………………