พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – ตอนที่ 1594 เกิดเรื่องไม่คาดคิดอีกแล้ว

เป็นอย่างที่คาดไว้ ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันอีกครั้งอย่างรู้ใจ ตระกูลหวงฝู่กำลังจะประสบหายนะจริงๆ ด้วย  การใช้ให้หน่วยองครักษ์เงากำจัดปัญหาแฝงเร้นให้สิ้นซาก นี่คือจังหวะที่กำลังจะถอนรากถอนโคนตระกูลหวงฝู่

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองคาดไม่ถึงก็คือ ซ่างกวนชิงมีสีหน้าขื่นขม กุมหมัดขอความเมตตาไม่หยุด “ฝ่าบาท สมาชิกที่เกี่ยวข้องกับสมาคมวีรชนกว้างขวางและซับซ้อนเกินไปจริงๆ ถ้าเปลี่ยนคนกะทันหัน ยังไม่ต้องพูดถึงระดับความยากในนั้น แค่ให้สมาชิกในที่แจ้งและในที่ลับติดต่อกันอีกครั้งก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ขั้นตอนเหล่านี้ต้องสิ้นเปลืองไปเวลาไปไม่น้อน และเรื่องในครั้งนี้ก็เป็นข้าน้อยเองที่กดดันสมาคมวีรชนเกินไปจนเกิดช่องโหว่ สรุปก็คือ หลายปีมานี้ตระกูลหวงฝู่ก็ยังสร้างผลงานไว้มากกว่าความผิดพลาด และเหมาะสมกับตำแหน่งด้วย ทั้งยังจงรักภักดีต่อฝ่าบาท ข้าน้อยขอให้ฝ่าบาทมอบโอกาสต่อตระกูลหวงฝู่อีกสักครั้ง!”

ประมุขชิงพลันหรี่ตาต้องสอบสวนซ่างกวนชิงครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็กล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าจัดการเองตามเห็นสมควร ถ้าเกิดความผิดพลาดอีก ข้าจะเอาเรื่องเจ้า!” จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัด แล้วสะบัดชายเสื้อเดินออกไป

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนสบตากันแวบหนึ่งอย่างค่อนข้างแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าซ่างกวนชิงจะไม่ผลักความรับผิดชอบเสียทั้งหมด ในด่านสุดท้ายก็ยังคงปกป้องตระกูลหวงฝู่

ทั้งสองเดินออกจากตำหนักบูรพา ขณะที่เดินเคียงกัน เกาก้วนก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ดูท่าแล้วซ่างกวนก็นับว่ามีมโนธรรมอยู่บ้าง ไม่ถึงขั้นข้ามแม้น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง”

ซือหม่าเวิ่นเทียนหัวเราะแห้งๆ “เกรงว่าจะไม่แน่หรอก ข้ากลับมองเงื่อนงำอย่างอื่นออก”

“อ้อ!” เกาก้วนเหล่ตามอง “อย่าบอกนะว่าซ่างกวนมีแผนอีกอย่าง?”

ซือหม่าเวิ่นเทียนบอกว่า “ช่วงเวลาที่ตระกูลหวงฝู่ควบคุมสมาคมวีรชนนั้นไม่ใช่น้อยๆ มันเติบโตขึ้นแล้ว นอกเสียจากจะตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะใช้วิธีการแข็งกร้าว ไม่ใช่ว่าอยากจะแตะต้องก็แตะต้องได้ คาดว่าในมือคงกุมความลับของซ่างกวนไว้ไม่น้อย หวงฝู่เลี่ยนคงก็ไม่ใช่ไก่อ่อน ซ่างกวนกล้ารับประกันมั้ยล่ะว่าในมือหวงฝู่เลี่ยนคงจะไม่มีแผนสำรองเลยสักนิด? ถึงยังไงก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนในตระกูล ถ้ากดดันจนอีกฝ่ายจนตรอกจริงๆ หึหึ…” เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้แล้ว

เกาก้วนแววตาวูบไหวเป็นประกาย แล้วขานรับ “อ้อ” ด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายล้ำลึก

ทั้งสองยังไม่ทันเดินออกจากวังสวรรค์ ซ่างกวนชิงก็ตามหลังทั้งสองมาแล้ว ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “ให้พวกเจ้าสองคนเห็นเรื่องน่าขำแล้ว ข้าไม่ได้ผลักความรับผิดชอบไปให้ตระกูลหวงฝู่นะ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ถ้าข้ายังปกป้องไม่ได้แม้แต่ตัวเอง แล้วจะไปปกป้องตระกูลหวงฝู่ได้ยังไงล่ะ?”

ราวกับกลัวสองคนนี้จะคิดมาก ตั้งใจถ่อมาอธิบายให้ฟังโดยเฉพาะเลย

เกาก้วนยิ้มอย่างเย็นเยียบ ไม่ได้เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนซือหม่าเวิ่นเทียนก็กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เข้าใจ เข้าใจ”

ซ่างกวนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ครั้งนี้รบกวนทั้งสองแล้ว ข้าจะจดจำน้ำใจนี้ไว้”

ทั้งสองรู้สึกขำในใจ เจ้ากล้าไม่จดจำน้ำใจรึไงล่ะ? ตอนนี้เท่ากับจุดอ่อนของเจ้าอยู่ในมือพวกเราสองคนแล้ว

แต่จะว่าไปแล้ว การที่เข้ามาให้ความร่วมมือแบบนี้ ตัวเองก็ไม่กล้านำจุดอ่อนนี้มาใช้ซี้ซั้วเลยจริงๆ อย่างไรเสียตัวเองก็เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ตบตาฝ่าบาทแล้วเหมือนกัน

แต่ซือหม่าเวิ่นเทียนก็ยังกล่าวตามมารยาทว่า “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าเห็นเป็นคนนอกแล้ว พวกเราจัดการการเรื่องข้างล่างแล้วมีจุดไหนที่ลำบาก ก็มีแค่พวกเรานั้นที่รู้ดี การทำเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไรต่อพวกเราเองเลย ใครอยากจะเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นล่ะ? สุดท้ายแล้วก็ทำไปเพราะหวังดีกับฝ่าบาทั้งนั้น”

“เฮ้อ! ใครว่าไม่ใช่ล่ะ มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้ถึงความลำบาก ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว” ซ่างกวนชิงกุมหมัดคารวะเกาก้วน “ทูตขวาเกา หวังว่าเจ้าจะใส่ใจเรื่องที่ฝ่าบาทสั่งนะ อย่าให้เกิดความผิดพลาดอะไรอีก ต้องพาเจียงอีอีกลับมาทั้งเป็นๆ ให้ได้ ถ้าไม่ยืนยันเรื่องนี้ให้ชัดเจน ก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนหลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”

เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ “ไม่ต้องห่วง ข้ากดดันไปทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อแล้ว พร้อมส่งยอดฝีมือไปด้วย พอได้ตัวคนแล้วก็จะใช้เส้นทางลับของหน่วยตรวจการขวาย้ายตัวกลับมาทันที คงไม่เกิดปัญหาอะไร”

“งั้นก็ดี งั้นก็ดี” ซ่างกวนชิงถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง นับว่าผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว

ที่จริงแล้วเขาก็ไม่อยากให้สองคนนี้มารู้เรื่องด้วย เขาอยากจะมาหาซือหม่าเวิ่นเทียนคนเดียว เป็นเพราะเกาก้วนเย็นชาไปหน่อย เรื่องบางเรื่องซือหม่าเวิ่นเทียนให้ความร่วมมือได้ แต่เกาก้วนกลับไม่แน่ ก็ช่วยไม่ได้ กำลังที่อยู่ในมือเขาล้วนเป็นกำลังที่ลับลวงพราง ไม่สามารถกดดันไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีได้โดยตรง ซือหม่าเวิ่นเทียนก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน แต่หน่วยตรวจการขวาของเกาก้วนกลับยื่นมือเข้าไปแทรกแซงได้อย่างชอบธรรม ภายใต้ความจนใจนี้ เขาถึงได้มาขอร้องเกาก้วน โชคดีที่ครั้งนี้เกาก้วนไว้หน้าเขาเต็มที่ ให้ความร่วมมือในการแสดงละครไปหนึ่งฉาก

พอเดินออกจากวังสวรรค์ ทั้งสามก็หันกลับไปมองแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ในใจแอบรู้สึกปลงอนิจจัง ทั้งสามร่วมมือกันทำเรื่องนี้แล้ว ถ้าพูดจากในบางมุม เกรงว่าจะทำให้ท่านที่อยู่ข้างในกลัวกว่าเรื่องของเจียงอีอีเสียอีก

ถึงแม้ท่านที่อยู่ในนั้นจะมีอำนาจสูงสุด แต่ก็ใช่ว่าอาศัยสองหูสองตาของท่านนั้นแล้วจะมองเห็นทุกอย่างในใต้หล้าอย่างทั่วถึง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นราชันในโลกมนุษย์หรือว่าท่านที่อยู่ข้างในนั้น สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือการมีคนมาหลอกลวงตบตา และก็ด้วยเหตุนี้เอง ท่านที่อยู่ข้างในถึงไม่ปล่อยให้อำนาจมหาศาลของโครงสร้างหน่วยตรวจการอยู่ในมือของคนคนเดียว จึงมีการจัดแบ่งให้อย่างเปิดเผยและเป็นความลับ หน่วยตรวจการซ้ายให้ซือหม่าเวิ่นเทียนดูแล หน่วยตรวจการขวาให้เกาก้วนดูแล สมาคมวีรชนให้ซ่างกวนชิงดูแล นับว่าเป็นการคานอำนาจรูปแบบหนึ่ง ป้องกันเอาไว้เผื่อมีช่องทางหนึ่งปิดปากเงียบ จะได้ไปถามสถานการณ์จากอีกช่องทาง ไม่อย่างนั้นถ้าหูและตาถูกบีบอยู่ในมือของคนคนเดียวก็อันตรายเกินไปแล้ว

ทว่าในครั้งนี้ หูและตาที่เดิมทีเคยคานอำนาจกันกลับร่วมมือกันปิดบัง ทำให้ท่านที่อยู่ข้างในกลายเป็นคนหูหนวกตาบอดเสียเลย ถ้าให้ท่านที่อยู่ข้างในรู้ความจริงขึ้นมา ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงมาก คิดไปคิดมาก็ยังทำให้กลัวอยู่เลย

ซือหม่าเวิ่นเทียนกับเกาก้วนก็นับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมซ่างกวนชิงจึงไม่ให้โพ่จวินเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้ที่โพ่จวินจะให้ความร่วมมือกับเรื่องแบบนี้ ขอเพียงเอ่ยปาก เกรงว่าโพ่จวินคงจะระดมกำลังทหารมาจับตัวซ่างกวนชิงไปทันที

“ทางฝั่งตระกูลหวงฝู่ ต้องให้ปิดปากให้สนิทนะ”  ก่อนที่จะไป ซือหม่าเวิ่นเทียนก็กำชับด้วยเสียงราบเรียบ

ซ่างกวนชิงพยักหน้าอย่างรู้อยู่แก่ใจ “ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าควรต้องทำยังไง มันเป็นเรื่องที่ทำให้หัวหลุดได้ ตระกูลหวงฝู่เองก็ไม่ได้โง่”

ตลาดผี ภัตตาคารแห่งหนึ่ง

“เจียงอีอีตกอยู่ในมือหนิวโหย่วเต๋อจริงเหรอ?”

“ถ้าไม่มีลมก็คงไม่มีคลื่น ใครจะไปรู้ล่ะ ถึงยังไงข้างนอกก็พูดอย่างนี้กัน”

“จุจุ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก โจรราคะนั่นตำหนักสวรรค์จับมาหลายปีแต่ก็ยังจับไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะตกอยู่ในมือเขาแล้ว”

“จับไม่ได้อะไรกันล่ะ เป็นเพราะปัดความรับผิดชอบ เลยไม่เอาจริงกันเฉยๆ หรอก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อมีใครหนุนหลังอยู่ล่ะ? ตระกูลโค่วต้องสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต้องให้โอกาสเขาสร้างผลงานแน่ ไงล่ะ โจรราคะติดกับดักแล้ว”

“ใช่แล้ว! ไม่อย่างนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง ต้องเป็นผลงานที่ตระกูลโค่วส่งมาให้แน่นอน”

“เฮ้อ! มีคนหนุนหลังนี่ดีจังเลย ได้ยินว่าเดินทีโดนลดยศเป็นทหารเกราะเงินหนึ่งแถบ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ได้เลื่อนหกขั้นติดต่อกัน กลายเป็นทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบเลย ทหารสวรรค์เกราะดำหนึ่งแถบก็ว่าเยอะแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะได้มานั่งตำแหน่งแม่ทัพภาค ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็เกรงว่าจะไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ! เจ้าดูสิ ตอนนี้ก็มีผลงานมาจ่อถึงหน้าประตูแล้ว คนเรานี่ต่างกันจนน่าโมโห”

“ข้าได้ยินว่าเจียงอีอีโดนจับในโรงเตี๊ยมห้องหนึ่งนอกจวนแม่ทัพภาค เป็นไปได้สูงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะจับเองจริงๆ”

“อ้าว! เจียงอีอีมาโผล่อยู่นอกจวนแม่ทัพภาคเหรอ? งั้นก็น่าสนใจแล้ว เจียงอีอีมันทำอะไรล่ะ? อย่าบอกนะว่าเจียงอีอีพุ่งเป้าไปที่ฮูหยินของหนิวโหย่วเต๋อ?”

“หึหึ! ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นเจียงอีอีก็ไม่มีทางรอดชีวิตแล้ว ไม่หัดดูเสียบ้างว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหนที่น่านฟ้าระกาติงเพื่อผู้หญิงคนนั้น ขนาดหัวหน้าภาคผู้สง่าผ่าเผยก็ยังโดนกำจัดทิ้งแล้ว มีหรือที่จะปล่อยให้เขาหยามเกียรติ ต้องตายแน่นอน!”

ในภัตตาคาร คนกลุ่มหนึ่งกำลังวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่คุยกันทั้งหมดแทบจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโจรราคะเจียงอีอีโดนจับตัว ล้วนเป็นคนที่คิดเชื่อมโยงไปต่างๆ นาๆ โดยไม่รู้ความจริง แต่คนที่รู้ความจริงกลับไม่พูดอะไร

ตรงโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ในมุม หญิงชราคนหนึ่งที่สวมหมวกผ้าสักหลาดตั้งใจฟังเงียบๆ อยู่สักพัก หลังจากได้ฟังแล้วสีหน้าก็วูบไหวร้อนรน นั่งไม่ติดที่แล้วเช่นกัน วางถ้วยน้ำชาในมือ แล้วลุกขึ้นเดินจากไปเงียบๆ

พอออกจากภัตตาคารมาแล้ว หญิงชราก็หยิบระฆังดาราออกมา แล้วติดต่อไปหาเหมียวอี้โดยตรง ถามว่า : พี่ใหญ่ ท่านจับตัวเจียงอีอีได้แล้วใช่มั้ย?

หญิงชราไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยว่เหยาหลังจากปลอมตัวแล้วนั่นเอง เดิมทีนางก็อยากจะมาเยี่ยมเหมียวอี้อยู่แล้ว

ผ่านไปหลายปีขนาดนั้น สองพี่น้องไม่เคยได้พบหน้ากันเลย สาเหตุหลักเป็นเพราะเหมียวอี้ ตอนที่อยู่ที่กองทัพองครักษ์ เยว่เหยาก็ไม่สะดวกจะไปหา จากนั้นก็เหมียวอี้ก็อยู่ที่อุทยานหลวงหรือไม่ก็แดนมรณะดึกดำบรรพ์ จอนหลังก็เกิดเรื่องตามมาเป็นชุด เยว่เหยาได้ยินข่าวแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนเหมือนกัน อยากจะเจอมาตลอดแต่ก็ไม่ค่อยสะดวก ครั้งนี้พอได้ยินว่าเหมียวอี้ถูกทำโทษให้มาตลาดผี ก็นับว่าเป็นสถานที่ที่สะดวกให้พบกัน นางถึงได้มาหาสักครั้ง แต่ใครจะคิดว่าจะได้ยินข่าวเรื่องเจียงอีอีถูกจับตัวไปทุกที่ ทำให้นางตกใจไม่ใช่น้อย นึกไม่ถึงว่าเจียงอีอีที่ตัวเองติดต่อไม่ได้มาหลายปีจะมาที่ตลาดผีแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเหมียวอี้อาจจะฆ่าเจียงอีอี ก็ยิ่งทำให้นางร้อนใจดั่งไฟลน ยังไม่ทันถึงจวนแม่ทัพภาคก็อดไม่ได้ที่จะติดต่อไปหาโดยตรง กลัวว่าช้ากว่านี้แล้วจะมีอะไรผิดพลาด

เหมียวอี้ถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย : เจ้าสาม เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?

เยว่เหยา : ข้าแค่ถามว่าจริงหรือเปล่า?

เหมียวอี้ : เจียงอีอีอยู่ในมือข้า ทำไมล่ะ?

เยว่เหยา : ท่านต้องการจะฆ่าเขาใช่มั้ย?

เหมียวอี้ : ข้าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเขาแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า? เจ้าสาม เจ้าถามแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?

เยว่เหยา : ท่านฆ่าเขาไม่ได้นะ! ข้าอยู่ที่ตลาดผีแล้ว กำลังจะไปที่จวนแม่ทัพภาคเดี๋ยวนี้

เหมียวอี้ : ฆ่าเขาไม่ได้เหรอ? เจ้าสาม เจ้าคงไม่ได้กำลังจะบอกข้าใช่มั้ย ว่าเจียงอีอีเป็นคนของลัทธิเซียน?

เขาไม่ได้คิดไปถึงอย่างอื่นเลย ไม่เคยเลยว่าเจ้าสามจะมีความสัมพันธ์ที่พิเศษอะไรกับโจรราคะได้ นอกเสียจากเจ้าสามจะสมองมีปัญหาเท่านั้นแหละ

เยว่เหยา : ไว้เจอกันก่อนแล้วค่อยคุย เอาเป็นว่าท่านฆ่าเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ยอมรับท่านเป็นพี่ใหญ่

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกหยางเจาชิงให้ไปรับที่ด้านนอก ส่วนตัวเองก็เดินไปเดินมาในห้องโถง รู้สึกกลุ้มใจนิดหน่อย เขาไม่ค่อยเข้าใจว่าเยว่เหยามีเจตนาอะไร ถ้าเจียงอีอีเป็นคนลัทธิเซียนที่ถูกจับแทรกเข้ามาในสมาคมวีรชนจริงๆ เช่นนั่นก็ยุ่งยากแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เกาก้วนกดดันเขามาแล้ว ว่าจะต้องส่งตัวให้หน่วยตรวจการขวาทั้งเป็นๆ

ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว อวิ๋นจือชิวก็เข้ามาในห้องโถงอีก เมื่อเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น นางก็เข้ามากอดแขนเขาแล้วถามว่า “เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะ?”

เหมียวอี้ถอนหายใจ “เจ้าสามมาที่ตลาดผีแล้ว กำลังจะถึงแล้ว นางกำชับข้าว่าห้ามฆ่าเจียงอีอี”

“หมายความว่ายังไง?” อวิ๋นจือชิวงุนงง

“ข้าเองก็ไม่เข้าใจ เอาไว้เจอกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้ส่ายหน้า

ผ่านไปไม่นาน หยางเจาชิงก็นำเยว่เหยาที่ปลอมตัวเป็นหญิงชราเข้ามาแล้ว เมื่อพบหน้ากัน เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวมองประเมินการแต่งตัวของเยว่เหยาศีรษะจดเท้า

ส่วนความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเยว่เหยาตัวเอง เหมียวอี้ก็ไม่อยากให้คนรู้เยอะเกินไป รวมทั้งลูกน้องคนสนิทบางคนด้วย จึงโบกมือให้หยางเจาชิงถอยออกไป

พอหยางเจาชิงออกไป ยังไม่ทันรอให้เหมียวอี้เอ่ยปาก เยว่เหยาก็ถามด้วยอารมณ์ฮึกเหิมแล้วว่า “พี่ใหญ่ เจียงอีอีล่ะ?”

เหมียวอี้ขมวดคิ้วตอบ “อยู่ในคุก! ข้าว่านะเจ้าสาม นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมเจ้าถึงไปเกี่ยวข้องกับโจรราคะได้?”

เยว่เหยาก้าวเข้ามาจับแขนเขา แล้วถามอย่างว้าวุ่นใจ “พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ทำอะไรเขาใช่มั้ย? พาข้าไปพบเขาเถอะ”

เหมียวอี้ชักมือออก “เจ้าสาม เจ้าพูดมาให้ชัดเจนก่อนว่าเรื่องอะไรกันแน่”

แต่เยว่เหยากลับทำท่าเหมือนไม่อยากรอ ใจร้อนอยากจะไปพบคน “พี่ใหญ่ ข้าต้องการพบเขา พาข้าไป” นางเข้ามาฉุดแขนเหมียวอี้ดึงไปข้างนอกอีก

……………………………….………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา! เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’ เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง! หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset