ตรงประตูคุกใต้ดิน จู่ๆ ด้านในก็ไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวแล้ว เฟยหงเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อตั้งใจฟัง ขณะที่กวาดสายตากลับมา ทันใดนั้นก็พบว่ามีคนคนหนึ่งโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใบหน้ายิ้มเย็นพิศวงของเหยียนซิวกำลังจ้องมองนางอยู่
เฟยหงตกใจทันที แต่พยายามจัดแจงเสื้อผ้าแสร้งทำท่าว่าไม่เป็นอะไร นางเดินเข้าไปรับเหยียนซิว ขณะที่เดินผ่านก็พยักหน้าเบาๆ พร้อมกล่าวทักทาย “นายท่านกำลังมีธุระ อย่าไปรบกวน”
“ขอรับ!” เหยียนซิวพยักหน้า แต่กลับหันตัวกลับมาเดินตามหลังเฟยหงแล้ว
เฟยหงหันกลับมาแล้วหยุดฝีเท้า “เหยียนซิว เจ้าตามข้ามาทำไม?”
เหยียนซิวยิ้มอย่างเยือกเย็น “ทางข้างในคดเคี้ยว ข้าน้อยกลัวว่าหรูฮูหยินจะเดินผิดทาง เลยจะมาส่งท่านกลับด้วยตัวเอง”
เฟยหงหัวใจกระตุกวูบในฉับพลัน แต่พยายามรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ หวังว่าตัวเองจะคิดมากไป นางไม่ได้พูดอะไรมากอีก ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีใครรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของนาง จึงปล่อยให้เหยียนซิวเดินตามหลังไปส่ง
พอทั้งสองหายไปในหัวโค้ง เชียนเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากอีกมุมทันที แล้วเดินตรงไปที่คุกใต้ดิน พอเข้ามาแล้วก็พยักหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิวอยู่ไกลๆ จากนั้นก็เดินออกมาจากคุกใต้ดิน มาเฝ้าประตูคุกเอาไว้
ที่จริงหลังจากอวิ๋นจือชิวได้อยู่ข้างกายเหมียวอี้อย่างชอบธรรม เรื่องรับมือกับอนุภรรยาคนนี้ก็กลายเป็นหน้าที่ของอวิ๋นจือชิวแล้ว นางให้เชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์ผลัดกันจับตาดูอยู่ข้างกายเฟยหง เฟยหงย่อมไม่รู้ความจริงเรื่องนี้อยู่แล้ว ครั้งนี้เสวี่ยเอ๋อร์พบว่าสาวใช้ของเฟยหงทำตัวแปลกๆ จึงไปจับตาดูสาวใช้สองคนนั้น เมื่อไม่สามารถมาจับตาดูเฟยหงได้ ก็เลยติดต่อให้เชียนเอ๋อร์มาช่วยทันที แต่ใครจะคิดว่าตอนเชียนเอ๋อร์มาเจอเฟยหง แล้วจะพบกับภาพเหตุการณ์แบบนี้
ในคุกใต้ดิน หลังจากรอไปได้สักพักแล้วไม่เห็นเจียงอีอีตอบ เยว่เหยาก็เริ่มร้อนใจแล้ว นางตวาดเสียงดัง “พี่ใหญ่เจียง ท่านรีบบอกมาสิ!”
“เห้อ…” เจียงอีอีที่เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ ในที่สุดก็เปล่งเสียงแล้ว เสียงของเขาฟังดูเหนื่อยล้า “เยว่เหยา เจ้าไปเถอะ ตรงนี้ไม่มีเรื่องของเจ้า เจ้าไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“ไม่ได้!” เยว่เหยารีบก้าวไปข้างหน้า แต่กลับถูกเหมียวอี้โบกมือขวางไว้ ทำให้นางร้อนใจจนกระทืบเท้า “ในเมื่อข้ามาแล้ว ข้าไม่ยุ่งไม่ได้หรอก ท่านรีบบอกมาสิ!”
เหมียวอี้จับหัวไหล่ของเยว่เหยาเอาไว้ “เจ้าสาม เจ้าตอบข้ามาตามตรง พวกเจ้ามีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่?”
เยว่เหยาพยายามขยับไหล่ แต่ก็ไม่มีทางหลุดพ้นได้ พอเห็นเหมียวอี้ตาแดง ทำท่าทางเหมือนจะกินคน นางก็คำรามตอบทันที “เป็นเพื่อนกัน!”
“เพื่อนเหรอ?” เหมียวอี้ไม่เชื่อ “หรือว่าพวกเจ้าสองคนได้…”
เยว่เหยาเขินอายเล็กน้อย “พูดเหลวไหลอะไรของท่าน ข้าบอกว่าเป็นเพื่อนไง! ต่อให้พวกเรามีอะไรกันแล้วยังไงล่ะ ท่านไม่แต่งงานกับข้า ข้าจะไปแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้เชียวเหรอ?”
เหมียวอี้ทีหน้าเจ็บปวดเหลือทน ถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หมายความว่า ระหว่างเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์ชายหญิงกันแล้วใช่มั้ย?”
บางครั้งคนเราก็เห็นแก่ตัวแบบนี้ ในด้านความสัมพันธ์ชายหญิง เขาเองก็จัดว่ามั่วมาก แต่กลับไม่อยากให้น้องสาวตัวเองเสียเปรียบในด้านนี้ และก็ยิ่งไม่มีทางรับได้ที่น้องสาวตัวเองจะถูกโจรราคะที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ย่ำยี
“ก็แล้วจะทำไมล่ะ ท่านจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?” เยว่เหยาเถียงกลับอย่างแข็งกร้าว
“อา!” เหมียวอี้เงยหน้าคำรามอย่างเดือดดาล เรียกได้ว่าเจ็บวดจนร้องไม่ออก เจ้าสามจะคบหากับผู้ชายแบบไหนก็ไม่คบ ทำไมต้องมาคบกับผู้ชายพรรค์นี้? โจรราคะทำอย่างนั้นกับเจ้าสามไปแล้ว พอเห็นเจ้าสามทำท่าเหมือนรักจริง ถ้าเขาฆ่าโจรราคะคนนี้ทิ้ง เจ้าสามจะไม่แค้นเขาไปทั้งชาติหรอกเหรอ แล้วจะให้เขาทำอย่างไรล่ะ?
พอได้เห็นเขาเจ็บปวดขนาดนี้ เยว่เหยาก็มองเขาด้วยน้ำตาคลอ
อวิ๋นจือชิวเข้าใกล้ด้วยความกังวลถึงขีดสุด กอดแขนเขาเอาไว้แล้วบอกว่า “หนิวเอ้อร์ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ ปล่อยเขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“หลีกไป!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเศร้าโศก โบกแขนผลักอวิ๋นจือชิวจนโซเซไปอยู่ที่มุมกำแพง จากนั้นก็ยกมือขึ้นบีบนวดที่หน้าผาก แล้วส่ายหน้าอย่างขื่นขมทรมาน นิ้วทั้งห้าที่จับไหล่เยว่เหยาสั่นเทิ้ม เขาหลับตาลงแล้วคลายมือออกจากไหล่นางอย่างช้าๆ
“พี่ใหญ่!” เยว่เหยาเรียกเบาๆ อย่างเป็นห่วง ไม่เคยเห็นพี่ใหญ่เป็นอย่างนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่กัดริมฝีปากแดงเอาไว้แน่น
“หุบปาก!” เหมียวอี้โบกมือเบาๆ อย่างหดหู่ใจ พร้อมบอกว่า “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี ข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า!”
“พี่ใหญ่!” เยว่เหยาเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก
“อย่ามาเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้าไม่คู่ควร!” เหมียวอี้โบกมืออีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง “ข้าจะไว้หน้าเจ้าแล้วปล่อยเขาไปก็ได้ แต่ข้าอยากจะรู้ ว่าอาจารย์เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?” คำถามนี้ข้าต้องรู้คำตอบให้ชัดเจน ถ้าทางฝั่งมู่ฝานจวินรู้เรื่องนี้ แล้วยังปล่อยให้เจ้าสามไปมาหาสู่กับโจรราคะ ถึงแม้เขาจะลงมือกับเจ้าสามไม่ได้ แต่เขากลับฆ่านางตัวแสบมู่ฝานจวินเพื่อระบายความแค้นได้!
“ไม่รู้” เยว่เหยาตอบเสียงต่ำ
“แค่ปกป้องขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้เลย นางเป็นอาจารย์ประสาอะไร?” เหมียวอี้เงยหน้าโวยวายอย่างโมโห รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อมู่ฝานจวิน เขาไม่เชื่อว่าทางฝั่งมู่ฝานจวินจะไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
พอติดต่อกับฝั่งมู่ฝานจวินได้แล้ว หลังจากได้คุยกันไปสักพัก เหมียวอี้ก็ตะลึงงันเล็กน้อย
เขาถามมู่ฝานจวินว่ารู้เรื่องเจียงอีอีหรือไม่ มู่ฝานจวินบอกว่ารู้ บอกว่าเจียงอีอีปลอมตัวแล้วปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ ฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิเซียนตั้งนานแล้ว ทำให้ทางฝั่งฐานที่มั่นเกิดความสงสัย ตอนหลังเยว่เหยาก็ไปสืบแล้วเปิดโปงตัวตนของคนคนนี้ แต่เจียงอีอีเป็นผู้ร้ายตามประกาศจับของตำหนักสวรรค์ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อฐานที่มั่นมากนัก และพยายามรักษาท่าทีว่าต่างคนต่างไป ไม่อยากสร้างความขัดแย้งอะไร สั่งเยว่เหยาว่าไม่ให้ติดต่อเจียงอีอีอีก
สถานการณ์คร่าวๆ เป็นอย่างนี้ มู่ฝานจวินยังถามกลับเหมียวอี้ด้วยว่ามีอะไรหรือเปล่า ได้ยินข่าวว่าเจียงอีอีตกอยู่ในมือเขาแล้ว นางถามว่าเป็นความจริงหรือไม่?
เหมียวอี้กำระฆังดาราไว้แน่นและไม่ได้ตอบอะไร เขาเอียงหน้าช้าๆ ไปมองเจียงอีอีที่กำลังโดนแขวน สายตาเหมือนอยากจะกินคน ชี้ไปที่เจียงอีอีด้วยนิ้วที่สั่นเทิ้ม “โจรสุนัข! เจ้า…เจ้า…เจ้า…บังอาจ…” ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา “อั้ก!” เขากระอักเลือดออกมาแทน จากนั้นก็ตาเหลือก ทั้งร่างที่แข็งทื่อล้มลงข้างหลัง
“อ๊า!” ในห้องมีเสียงผู้หญิงสองคนร้องตกใจ อวิ๋นจือชิวถลันตัวเข้ามาประคองเหมียวอี้ที่หงานหลัง พร้อมถามอย่างร้อนใจว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”
“หลีกไป!” เยว่เหยาผลักอวิ๋นจือชิวออก แล้วแย่งเหมียวอี้ที่หลับตาสนิทมาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง จากนั้นนั่งคุกเข่าแล้วลูบหน้าอกของเหมียอวี้อย่างลนลาน “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป อย่าขู่ข้าเด็ดขาดเลยนะ…”
“นายท่าน!” เชียนเอ๋อร์ที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหนก็วิ่งเข้ามาเช่นกัน พอได้เห็นฉากนี้นางก็กลัวทันที
อวิ๋นจือชิวที่หยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมาต้นหนึ่งก็นั่งคุกเข่าลงเช่นกัน นางแย่งเหมียวอี้มาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วผลักเยว่เหยาจนล้มลงพื้น จากนั้นโบกมือสั่งด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ลากนางออกไปให้ข้า!”
เชียนเอ๋อร์เข้ามาจับตัวเยว่เหยาทันที แล้วฉุดนางไว้ควบคุมไว้ด้านข้าง นางส่ายหน้าพลางร้องไห้บอกว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…”
ด้วยการเยียวยาจากสมุนไพรเซียนซิงหัว กอปรกับอวิ๋นจือชิวร่ายอิทธิฤทธิ์ลูบหน้าอกช่วยจัดระเบียบพลังชี่แท้ที่ชนกันปั่นป่วนให้เหมียวอี้ ผ่านไปสักครู่เดียว เหมียวอี้ถึงได้ลืมตาฟื้นขึ้นมา “แค่กๆ” เขาไอถ่มเลือดที่สะสมอยู่ในปากออกมาคำหนึ่ง สิ่งแรกที่ทำก็คือชี้ไปหาเจียงอีอีที่โดนแขวนอยู่ “โจรสุนัข! โจรสุนัข…” เขาด่าซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” อวิ๋นจือชิวเอามือลูบหน้าอกเขาไม่หยุด น้ำตาไหลออกมาด้วยความปวดใจ ผ่านอุปสรรคใหญ่โตมามากมายขนาดนั้นแต่ยังรับมือไหว ไม่เคยเห็นผู้ชายของตัวเองเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้กลับโมโหจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว นางปาดน้ำตาแล้วส่ายหน้าบอกว่า “ช่างเถอะ! ปล่อยเขาไปเถอะ น้องสาวคนนี้ของเจ้า พวกเราไปยุ่งด้วยไม่ไหวหรอก ไปยุ่งไม่ไหวจริงๆ ไม่ต้องยุ่งกับนางแล้ว ปล่อยพวกเขาไปเถอะ”
“หุบปาก!” เหมียวอี้ผลักนางออกไป แล้วโซเซลุกขึ้นมาก ชวิ้ง! เขาควงกระบี่วิเศษมาปักบนพื้น
“พี่ใหญ่…” เยว่เหยาเพิ่งจะเอ่ยเรียก เหมียวอี้ก็โบกกระบี่ชี้เข้ามาแล้ว “หุบปาก! ถ้ากล้าพูดมากอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
เขาถือกระบี่เดินไปข้างกายเจียงอีอี แล้วจ่อกระบี่ไปที่หัวใจของเจียงอีอี จากนั้นก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือด ถามอย่างดุร้ายว่า “บอกมา! เจ้ามีเจตนาเข้าใกล้เยว่เหยาใช่มั้ย?”
เจียงอีอีคอตก ท่าทางเหมือนตามใจฝ่ายตรงข้ามทุกอย่าง
เยว่เหยาที่อยู่ในมือเชียนเอ๋อร์ดิ้นรนไม่หยุด “พี่ใหญ่ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้ชัดเจน ทำไมท่านไม่ยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าเขาคือโจรราคะ!”
“ข้าไม่สนใจหรอกว่าเขาจะเป็นโจรราคะรึเปล่า!” เหมียวอี้โบกกระบี่ชี้เยว่เหยา แล้วตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นยังไง? เจ้ารู้รึเปล่า! เจ้ารู้มั้ย! รู้มั้ยว่าเขาเป็นคนของสมาคมวีรชน? เขาคือสายลับของสมาคมวีรชน! เจ้ารู้รึเปล่าว่าสมาคมวีรชนทำอะไร?”
เยว่เหยายืนอึ้งอยู่กับที่ในชั่วพริบตาเดียว มองไปที่เจียงอีอีด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
เจียงอีอีก็พลันเงยหน้ามองเหมียวอี้เช่นกัน ในดวงตาฉายแววผิดหวัง
ตอนตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรต เขายังทนทัณฑ์ทรมานได้ นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเบื้องบนไม่มีทางปล่อยเขาไปง่ายๆ และแน่นอน ตราบใดที่เขาไม่เปิดปากพูด เขาก็จะยังมีโอกาสรอดชีวิต ถ้าเปิดปากเมื่อไรก็อย่าว่าแต่เบื้องบนเลย แม้แต่ตึกศาลาสัตยพรตก็จะไม่ปล่อยให้เขารอดชีวิตเช่นกัน หลังจากถูกส่งตัวไปให้เบื้องบนแล้ว ในใจเขาก็ยิ่งเข้าใจ ว่าในภายหลังไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้ แต่เบื้องบนจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเขาแน่นอน หลังจากช่วยแล้วก็อาจจะตาย แต่ก็มีโอกาสเปลี่ยนตัวตนใหม่เช่นกัน อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสรอดอยู่บ้าง
ต่อให้เมื่อครู่นี้จะได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน แต่ถ้ามีเยว่เหยาอยู่ด้วย เขาก็ตระหนักได้ว่าอาจจะมีโอกาสรอดชีวิตเช่นกัน
แต่ในตอนนี้ พอได้ยินเหมียวอี้เอ่ยถึงตัวตนของเขาที่สมาคมวีรชน เขาก็รู้ว่าตัวเองจบเห่แล้ว ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดออกไปได้อีกแล้ว นอกเสียจากจะมีคนในนี้ยอมแบกรับความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงให้ เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงรู้ตัวตนของเขาได้?
เหมียวอี้ควงกระบี่ชี้ไปที่เจียงอีอีอีกครั้ง “บอกว่า! สมาคมวีรชนส่งเจ้าไปด้วยเจตนาอะไรใช่มั้ย?”
“เจ้าเป็นคนของสมาคมวีรชนจริงเหรอ?” เยว่เหยาถามเสียงสั่น
“เฮ้อ!” เจียงอีอีถอนหายใจเบาๆ มองข้ามเหมียวอี้ แล้วจ้องเยว่เหยาอย่างมึนงง “เยว่เหยา เจ้ารับปากลงข้าสักเรื่องได้มั้ย?”
“ท่านว่ามาสิ” เยว่เหยายังคงเสียงสั่น
เจียงอีอีกล่าวช้าๆ ว่า “มีเรื่องราวมากมายที่ข้าทำตามใจตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติภารกิจลับของสมาคมวีรชนได้ คนที่จะมาปฏิบัติภารกิจแบบนี้ เบื้องบนย่อมมีวิธีการควบคุมอยู่แล้ว ข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่ง สมาคมวีรชนพาตัวพวกเราสองพี่น้องไปตั้งแต่ยังเด็กมาก หลังจากไปที่สมาคมวีรชนและก้าวเข้าสู่แดนฝึกตนแล้ว พวกเราสองพี่น้องก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ข้าไม่รู้ว่าทุกวันนี้น้องสาวข้าหน้าตาเป็นยังไง กำลังทำอะไร ตัวอยู่ที่ไหน น้องสาวก็คงจะไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ข้าหน้าตาเป็นยังไง กำลังทำอะไรอยู่ ตัวอยู่ที่ไหน วิธีการเดียวที่พวกเราใช้ยืนยันว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ ก็คือจะได้รับจดหมายที่มีตราอิทธิฤทธิ์ของอีกฝ่ายเป็นระยะๆ น้องสาวข้าอยู่ในมือสมาคมวีรชน เรื่องบางเรื่องข้าจำเป็นต้องทำ ชื่อเดิมของข้าคือเจียงส้าง น้องสาวข้าชื่อเจียงอวิ๋น เยว่เหยา เห็นแก่ที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน ถ้าหากมีโอกาส ข้าหมายความว่าถ้ามีโอกาสช่วยให้น้องสาวข้าหลุดพ้นได้ ข้าหวังว่าเจ้าจะช่วยนาง”
…………………………