กำลังพลที่จะโยกย้ายเริ่มรวมตัวกันแล้ว นี่เป็นขั้นตอนในการเตรียมออกเดินทาง อีกสามวันหลังจากนี้ก็จะถึงวันกำหนดเดินทางแล้ว ภายในสามวันนี้ยังมีคนทยอยมาอีก
ยืนอยู่บนยอดเขา เหมียวอี้และพวกอวิ๋นจือชิวกำลังทอดสายตามองกำลังพลนับสิบล้านตรงตียเขารอบๆ ที่มาถึงก่อน
“อลังการจริงๆ!” อวิ๋นรั่วซวงอุทานอย่างตื่นเต้นดีใจ ตอนอยู่ที่นภาจอมมารนางได้เปิดประสบการณ์ความรู้มากมาย แต่ก็ไม่เคยเห็นภาพกำลังพลรวมตัวกันเยอะขนาดนี้มาก่อน
ผู้หญิงคนนี้ดีใจมาก นางใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง สุดท้ายพี่หญิงใหญ่ก็ตอบตกลงให้นางไปพิภพใหญ่แล้ว
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวหันกลับไปสองแวบหนึ่ง แล้วก็หันกลับมาสบตากัน อวิ๋นรั่วซวงยังไม่รู้ว่าจะถูกพี่หญิงใหญ่ของนางจับเขาแดนอเวจี
พอดูไปได้สักครู่หนึ่ง เห็นสภาพของแต่ละฝ่ายเป็นระเบียบเรียบร้อย เหมียวอี้ถึงได้วางใจ นำทุกคนกลับไปแล้ว ส่วนเขาก็ยังไปที่เรือนพักของเยว่เหยาเหมือนเดิม
ภาพเหตุการณ์ก็เหมือนตอนอยู่ในห้องหอ เหมียวอี้ที่กลับเข้ามาในห้องนั่งฝึกตนอยู่บนเตียง พลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นล้อมรอบตัวเขาไว้อย่างช้าๆ
แต่วันนี้เยว่เหยาเหมือนจะมีเรื่องราวในใจ ไม่ได้นั่งฝึกตนพร้อมกับเหมียวอี้เหมือนวันที่ผ่านมา แต่นั่งถอดเครื่องประดับหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วก็เดินกลับมาบนเตียงเงียบๆ พอมาถึงที่ตัวเองแล้วก็มุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่ม นอนมองเพดานนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหน
ผ่านไปพักใหญ่ เหมียวอี้ก็ก็เหมือนจะสังเกตเห็นแล้ว หลังจากดูดพลังจิตวิญญาณกลับเข้ามาจนหมดสิ้น ก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง “ทำไมวันนี้ไม่ฝึกตนแล้วล่ะ? ดูเหมือนเจ้ามีเรื่องในใจนะ”
“อืม ไม่อยากฝึกตนแล้ว” เยว่เหยาตอบ
“อยู่ดีๆ เป็นอะไรไปอีกแล้ว? ไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าใช่มั้ย” เหมียวอี้ถามพร้อมรอยยิ้ม
เยว่เหยาหันตะแคง้ข้าง เอาแขนข้างหนึ่งค้ำศีรษะตัวเองไว้ในขณะที่มองเหมียวอี้ นางกะพริบตาปริบๆ “พี่ใหญ่ อีกสามวันก็จะต้องไปแล้วเหรอ”
“อื้ม! เจ้าเองก็รู้ถึงสถานการณ์ของข้า ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ต่อให้ทางตลาดผีจะผ่อนคลายสักแค่ไหน แต่คงไม่ดีที่จะทิ้งตรงนั้นไว้นานๆ”
“ทางสมาคมวีรชนจำหน้าข้าได้แล้ว พอกลับพิภพใหญ่ ข้าก็ไปอยู่กับท่านที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผีไม่ได้แล้ว”
“สถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ ไม่สะดวกจะให้เจ้าไปอยู่ที่จวนแม่ทัพภาคด้วยจริงๆ ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าว่างข้าจะไปหาเจ้า”
“พี่ใหญ่ พวกเราแต่งงานกันได้หนึ่งเดือนแล้ว ต่อไปก็จะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ แล้ว”
“เหมือนเจ้ามีอะไรอยากจะพูดนะ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”
เยว่เหยากัดฟันถามว่า “พี่ใหญ่ น้องสามไม่สวยเหรอ?”
เหมียวอี้แปลกใจ “ใครบอกเจ้า? เจ้าสามของข้าสวยที่สุดในโลกเลยนะ ตามที่ข้ารู้มา ในปีนั้นมีคนตามจีบเจ้าตั้งเยอะ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าสวยมั้ย”
เยว่เหยาลุกขึ้นนั่ง แล้วถามว่า “งั้นท่านรังเกียจเรื่องระหว่างข้ากับเจียงอีอีก่อนหน้านี้ใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่ใช่สักหน่อย ถ้าไม่อยากฝึกตนก็รีบพักผ่อนเถอะ อย่าคิดอะไรเหลวไหล”
“แต่งงานกันเดือนกว่าแล้ว ท่านกับข้าไม่เคยนอนเคียงหมอนกันด้วยซ้ำ ท่านไม่เคยแตะต้องข้าเลย ข้าคิดมากเกินไปจริงๆ เหรอ? ท่านเคยเห็นคู่แต่งงานคู่ไหนเป็นแบบนี้บ้าง?” เยว่เหยา
เหมียวอี้อึ้งทันที หันกลับมามองอย่างช้าๆ โบกลูกแก้วพลังปรารถนาโปรยออกมาอีกรอบ แล้วหลับตาฝึกตนต่อไป “ไม่ต้องคิดอะไรเหลวไหลแล้ว” ไม่นานเขาก็ถูกพลังจิตวิญญาณที่รวมตัวกันห่อหุ้มไว้แล้ว
เยว่เหยาเอนกายลงอย่างหงุดหงิด ดึงผ้าห่มมาคลุมหน้าตัวเองไว้แล้ว
ในหนึ่งเดือนมานี้ จิตใจหวานชื่นของคู่แต่งงานใหม่ในตอนแรกถูกความจริงโจมตีจนหมดสิ้นแล้ว นางนับว่ามองออกแล้ว ว่าเหมียวอี้ดูแลนางเพราะนางเป็นคำนึงถึงว่า ‘รองเท้ามือสอง’ เท่านั้น ไม่ได้แต่งงานรับนางเข้าบ้านเหมือนผู้หญิงปกติเลย ในหนึ่งเดือนนี้ที่เขามาหานางทุกวันก็เพราะจะคุมสถานการณ์ให้นางเท่านั้น นางซาบซึ้งใจมาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ นางอยากจะมีความรักที่ดีงามเหมือนผู้หญิงปกติทั่วไป ใครจะคิดว่ารอมานานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเขาใกล้จะกลับพิภพใหญ่ ทั้งสองกำลังจะแยกจากกันแล้ว ในภายหลังก็ยิ่งไม่มีโอกาสแล้ว แบบนี้แปลว่าอะไรล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจริงๆ ข้าจะแต่งงานกับท่านทำไม?
“น่าโมโหนัก!” จู่ๆ ก็เปิดผ้าห่มออกมาด่า แล้วรีบเอาผ้าห่มคลุมหน้าไว้เหมือนเดิม
พูดจาชัดเจนขนาดนี้แล้ว ท่าทีก็แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ นางไม่เชื่อว่าเหมียวอี้จะไม่เข้าใจเลยสักนิด จะให้สาววัยแรกแย้มอย่างนางพูดตรงๆ ไม่ได้หรอกว่าต้องการทำเรื่องแบบนั้น และนางก็พูดไม่ออกเช่นกัน นางยอมรับว่าตัวเองละทิ้งศักดิ์ศรีเป็นฝ่ายรุกอย่างชัดเจนแล้ว เฝ้ารอให้เหมียวอี้เห็นอกเห็นใจนาง เอาผ้าห่มคลุมหน้านอนรออย่างเงียบๆ
ทว่ารอแล้วรอเล่า สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรจากเหมียวอี้เลย จิตใจเริ่มหดหู่ลงทีละนิด
เช้าวันต่อมา เยว่เหยาที่ลุกออกจากเตียงยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า ยังคงช่วยใส่เสื้อผ้าให้เหมียวอี้อย่างกระตือรือร้น ยังคงสนิทสนมกับเหมียวอี้เหมือนเดิม เอ่ยปากเรียก “พี่ใหญ่” ได้อย่างปกติมาก มองไม่ออกว่ามีลับลมคมในอะไร สิ่งนี้ทำให้เหมียวอี้แอบโล่งใจ
ในหนึ่งคืนที่ผ่านมา ที่จริงเหมียวอี้ทำให้ให้สงบได้ลำบากมาก เขาตำหนิตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปแล้วหรือเปล่า วิธีการปกป้องของเขาเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า วิธีการดูแลเยว่เหยาแบบนี้ใช่สิ่งที่เยว่เหยาต้องการหรือไม่? ปฏิกิริยาของเยว่เหยาทำให้เขาพบว่าตอนแรกตัวเองคิดเองเออเองเกินไปแล้ว คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือการหวังดีกับนางจากใจจริง แต่กลับมองข้ามจุดสำคัญจุดหนึ่งไป เยว่เหยาไม่ใช่น้องสามของเขาเท่านั้น แต่เป็นผู้หญิงของเขาแล้ว บางทีผู้ชายคนอื่นอาจจะไม่ดีกับเจ้าสามเท่าเขา แต่บางทีการปล่อยมือเจ้าสามให้ออกไปเผชิญความเจ็บปวดเล็กน้อยบ้าง นั่นต่างหากถึงจะเป็นชีวิตของเจ้าสามเองอย่างแท้จริง
ในใจเขาเปลี่ยนเป็นหวาดหวั่นกระวนกระวาย!
หลายวันต่อมา เหมียวอี้ก็ยังเข้ามาพักที่นี่เหมือนเดิม และเยว่เหยาก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องในคืนนั้นสักนิดเลย กลับมาฝึกตนเป็นเพื่อนเหมียวอี้เหมือนเดิมแล้ว คำพูดคำจาละท่าทีก็ดูมีความสุข เวลาอยู่กับอวิ๋นจือชิวก็ยิ่งปล่อยวางและเคารพนอบน้อม พยายามทำหน้าที่อนุภรรยาของตัวเองอย่างเต็มที่ ไปถามสารทุกข์สุกดิบทั้งเช้าทั้งเย็น นางถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วด้วย ว่าต่อให้อวิ๋นจือชิวจะตบตีหรือด่านาง นางก็ตัดสินใจว่าจะอดทน หวังเพียงจะไม่ทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจ
สาเหตุก็ไม่ใช่เพราะอะไร นางเข้าใจว่าตั้งแต่เด็กจนโตพี่ใหญ่ทุ่มเทเพื่อนางขนาดไหน สิ่งที่ทำตอนนี้ก็ยังทำเพื่อปกป้องนาง ในเมื่อกลายเป็นแบบนี้แล้ว ในเมื่อพี่ใหญ่ไม่เต็มใจจะทำอย่างนั้นกับนางจริงๆ เช่นนั้นนางก็จะไม่ทำให้พี่ใหญ่ยุ่งยากใจ ตัวเองก็ควรจะดูแลพี่ใหญ่ด้วยเช่นกัน นางรู้สึกว่าตัวเองจะเห็นแก่ตัวอีกไม่ได้แล้ว การแต่งงานในนามนั้นดีมาก นางจะได้ดูแลพี่ใหญ่ได้อย่างชอบธรรมโดยไม่ต้องหลบเลี่ยง พยายามทำตามที่พี่ใหญ่ต้องการเต็มที่ หวังว่าจะทำให้พี่ใหญ่มีความสุขได้…
นภาอู๋เลี่ยง บนยอดเขา คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ เหมียวอี้ยืนอยู่บนสุด มองดูกลุ่มคนที่หนาแน่นตรงตีนเขา
หลังจากทยอยประสานงานและยืนกับผู้รับผิดชอบของแต่ละฝ่ายแล้ว หยางชิ่งก็ถลันตัวมาอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ กุมหมัดคารวะ “นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยดี จะออกเดินทางเลยหรือไม่ขอรับ?”
เหมียวอี้พยักหน้า “ออกเดินทางเถอะ!”
หยางชิ่งหันตัวมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “รวมตัว!”
เงาคนที่ยั้วเยี้ยอยู่ตรงตีนเขาค่อยๆ กระจายไป จับกลุ่มกันแล้วหายไปในท้องฟ้า ใช้เวลาเพียงไม่นาน กำลังพลแปดสิบล้านคนก็เหลือเพียงเกือบหมื่นคนกำลังทะยานขึ้นฟ้า ตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ปรากฏวรยุทธ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็ทะยานขึ้นฟ้า สะบัดแขนเสื้อสองข้างรับลม เผยกำไลเก็บมสมบัติหลายวงบนข้อมือ พลังอิทธิฤทธิ์พัดสะบัดอยู่ระหว่างแขนทั้งสองข้าง
กำลังพลนับหมื่นที่อยู่บนท้องฟ้าแบ่งพุ่งเข้ามาทางซ้ายและขวาอย่างรวดเร็ว ตอนที่เข้ามาใกล้เหมียวอี้ พวกเขาก็หายเข้าไปในอากาศทีละคน หายไปตรงหน้าเหมียวอี้ราวกับเป็นฝูงปลา
ผ่านไปไม่นาน บนฟ้าก็เหลือเหมียวอี้อยู่เพียงคนเดียว อวิ๋นจือชิว เสวี่ยเอ๋อร์ หยางชิ่งพุ่งขึ้นฟ้า และหายไปตรงหน้าเหมียวอี้เช่นกัน
เหมียวอี้หันมองโดยรอบปราดหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อสองข้าง ร่างกายพุ่งไปในท้องฟ้าราวกับเงามายา เหยียนซิวตามหลังเขาไปโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปในท้องฟ้าแล้ว
เยว่เหยายังไม่ได้ตามกำลังพลกลุ่มนี้กลับพิภพใหญ่ กำลังยืนมองส่งอยู่กับพวกฉินเวยเวยบนยอดเขา…
ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล เส้นทางยาวไกล ข้ามผ่านประตูดวงดาวตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงอาณาเขตพิภพใหญ่แล้ว
หลังจากปลอมตัวแล้ว เหมียวอี้กับเหยียนซิวก็เหาะไปยังดาวเคราะห์สามเหลี่ยมประหลาดดวงหนึ่ง พอเหยียบลงพื้นแล้ว เหยียนซิวก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ปรบมืออย่างเป็นจังหวะ
ตรงที่ไกลๆ มีเสียงดังสะเทือนหลายครั้ง มีคนหกคนโผล่จากใต้ดินมาปรากฏตรงหน้า เป็นชายชราหกคนที่สีหน้าแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าผ่านการปลอมตัวมาแล้ว
ทั้งสองฝ่ายไม่คุยอะไรกันทั้งนั้น เหยียนซิวออกหน้าแลกเปลี่ยนตราอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบตัวตนกับหกคนนั้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ชายชราหกคนนั้นก็ส่งมอบกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งให้เหยียนซิว จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไป ส่วนเหมียวอี้กับเหยียนซิวก็ทะยานดำหายเข้าไปในดาราจักรอันกว้างใหญ่เช่นกัน
“นายท่าน มาทำลับๆ ล่อๆ เจอกันที่นี่ทำไมเหรอ?”
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง หลังจากคุ้มกันส่งไห่ผิงซินให้มาเจอกับเหมียวอี้แล้ว หยางเจาชิงเพิ่งจะทำความเคารพ ไห่ผิงซินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปโดยรอบแล้วพึมพำถามอย่างแปลกใจ
เหมียวอี้เหล่ตามองนางแวบหนึ่ง “พาเจ้าไปสถานที่ที่น่าสนุก ตลาดมืด เจ้าจะไปรึเปล่า? ถ้าไม่ไปก็กลับกันเถอะ”
“ตลาดมืด?” ไห่ผิงซินตาเป็นประกาย เพราะนางยังไม่เคยเห็น จึงพยักหน้าซ้ำๆ “ไปๆๆๆ!”
เหมียวอี้ตบที่กระเป๋าสัตว์ ใส่นางเข้าไปข้างใน จากนั้นก็โบกมือปล่อยอวิ๋นจือชิวกับเสวี่ยเอ๋อร์ที่ปลอมตัวแล้วออกมา โดยเหยียนซิวและหยางเจาชิงจะเป็นคนคุ้มกันส่งทั้งสองกลับตลาดผี ส่วนเหมียวอี้ก็เหาะไปข้างหน้าต่อเพียงลำพังอย่างรวดเร็ว ไปยังแดนอเวจี…
ในท้องฟ้าที่สวยงามแปลกพิสดาร เหมียวอี้ข้ามผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวกวนตลอดทาง สุดท้ายก็พุ่งไปข้างหน้าในแนวเส้นตรงอย่างรวดเร็ว
ดาวอู๋เลี่ยงอยู่ข้างหน้าแล้ว ทันใดนั้นก็มีเข้ามาสกัดในแนวขวาง เหมียวอี้ดึงหนังปลอมบนใบหน้าออก หลังจากตรวจสอบตัวตนแล้วก็บุกเข้ามาในดาวอู๋เลี่ยงเลย
ตรงนี้เพิ่งจะฝ่าชั้นบรรยากาศ ด้านล่างจินม่านก็นำซือถูชิงหลัน ไห่ยวนเค่อและกงซุนลี่เต้ามาต้อนรับแล้ว พวกเขาไม่รู้เวลาที่แน่นอนของเหมียวอี้ เพิ่งจะรีบมาตอนได้รับรายงานจากทหารยาม ตอนนี้กำลังพบกันอยู่กลางอากาศ ส่วนสืออวิ๋นเปียนกับอ๋าวเถี่ยแม่ทัพใหญ่อีกสองคนกำลังเข้าเวรยามอยู่ ตอนนี้ยังมาต้อนรับไม่ได้
“คารวะประมุขปราชญ์!” จินม่านและคนอื่นๆ ทำความเคารพในขณะที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ละคนทำสีหน้าทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ ถึงแม้ก่อนหน้านี้ฝั่งนี้จะเคยสงสัย แต่หลังจากแน่ใจว่าเหมียวอี้สามารถเข้าออกแดนอเวจีได้อย่างอิสระ ความรู้สึกแบบนั้นก็ไม่มีทางอธิบายได้เลยจริงๆ
“กลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เหมียวอี้พูดทิ้งไว้แล้วพุ่งไปที่จุดดำๆ บนทะเลมรกต โดยมีทั้งสี่ติดตามไป
ตรงหน้าตำหนักอู๋เลี่ยง พอพวกเขาเหยียบลงพื้น เหมียวอี้ก็โบกมือโยนไห่ผิงซินออกมา
ไม่ใช่แค่ไห่ยวนเค่อ แม้แต่พวกจินม่านก็อึ้งเช่นกัน ต่างนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะพาเด็กสาวคนนี้กลับมาแล้ว
“ว้าว! ท่านพ่อ!” พอเห็นไห่ยวนเค่อ ไห่ผิงซินก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที โผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดไห่ยวนเค่อแล้ว
บนใบหน้าเย็นชาของไห่ยวนเค่อเผยความอบอุ่นอย่างที่พบเห็นได้ยาก เขากอดลูกสาวเบาๆ อย่างไม่ค่อยคุ้นชิน พอพบว่าลูกสาวยังสบายดีเหมือนเดิม ก็พยักหน้าเบาๆ ขอบคุณเหมียวอี้ เขายังนึกว่าเหมียวอี้ตั้งใจส่งลูกสาวกลับมาให้พบเขา
แต่ใครจะคิดว่าไห่ผิงซินจะพลันเงยหน้าออกจากอ้อมอกบิดา แล้วมองประเมินไห่ยวนเค่อศีรษะจดเท้าอย่างจริงจัง จากนั้นก็รีบหันไปมองตำหนักอู๋เลี่ยง แล้วก็รีบหันตัวมาโวยวายใส่เหมียวอี้ “ท่านหลอกข้า! ท่านบอกว่าจะพาข้าไปสถานที่น่าสนุกไม่ใช่เหรอ? ท่านบอกว่าจะไปตลาดมืดไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาที่นี่แล้วล่ะ?”
“ซินเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท!” ไห่ผิงซินตำหนิ
“พาเจ้ากลับมาหาพ่อเจ้าแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกเหรอ?” เหมียวอี้เหล่ตาถาม
“ข้า…” ไห่ผิงซินเถียงไม่ออก
“ไห่ยวนเค่อ ข้าดูแลลูกสาวเจ้าไม่ไหวแล้ว นางหนูคนนี้อยู่ไม่สงบเลย กลับไปอย่าลืมลบตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราที่นางใช้ติดต่อกับภายนอกทิ้งด้วยนะ อย่าให้เกิดปัญหาอะไรได้” หลังจากเหมียวอี้พูดทิ้งท้ายไว้แล้ว ก็หันตัวมาหาคนที่เหลือ ประเด็นสนทนาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน กล่าวเสียงต่ำว่า “บอกให้คนจากลัทธิพวกนั้นมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
…………………………