เหมียวอี้หันตัวมาบอกว่า “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ถึงยังไงเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมของเขา เขาไม่ถึงขั้นทำอะไรเจ้าหรอก ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฐานะของเจ้าก็ถูกประกาศแล้ว ไปอยู่ที่จวนอ๋องสวรรค์จะปลอดภัยกว่าจริงๆ”
อวิ๋นจือชิวก็รู้เช่นกันว่าตระกูลโค่วทำถึงขั้นนี้แล้ว ถ้านางไม่กลับไปก็จะฟังดูเหลวไหลเกินไป แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะกังวล “แล้วเจ้าจะทำยังไงล่ะ?” นางยกมือจับแขนเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก โค่วเจิงก็บอกแล้วว่าไม่ต้องกังวลเกินไป มียอดฝีมือของตระกูลโค่วมาคุ้มกัน น่าจะไม่มีปัญหาอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็ยังพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งออกมาจากแดนอเวจีด้วย ข้าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว”
อวิ๋นจือชิวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทางตระกูลโค่วลั่นวาจามาแล้ว คงไม่ดีหากจะไม่เชื่อฟัง
จากนั้นนางก็ไปหาเฟยหง อธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ถามนางว่าต้องการจะตามไปที่จวนอ๋องสวรรค์ด้วยหรือไม่ เฟยหงก็จนใจเช่นกัน ภารกิจที่หน่วยตรวจการซ้ายมอบให้นางก็คือพยายามอยู่ข้างกายเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงฝากฝังเหมียวอี้ไว้ให้เฟยหง ตอนที่ตัวเองไม่อยู่ก็ให้เฟยหงดูแลเหมียวอี้ให้ดี
ทางนี้ให้โค่วเจิงเสียเวลาอยู่ไม่กี่วัน ตอนนี้โค่วเจิงเป็นผู้กำกับดูแลเรื่องต่างๆ ของตระกูลโค่วแล้ว ไม่สะดวกจะเสียเวลามากเกินไป หลังจากเตรียมตัวเล็กน้อย อวิ๋นจือชิวก็ตามเขาจากไป
ก่อนที่จะไป ก่อนที่จะออกจากห้อง โค่วเจิงก็หยุดเดินแล้วหันกลับมาหาเหมียวอี้ที่อยู่ข้างหลัง แนะนำเหมียวอี้ด้วยความจริงใจว่า “น้องเขย คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะล่วงเกินคนอื่นบ้างก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ เรื่องแบบนี้ก็ระวังไม่ชนะเหมือนกัน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างศัตรูคู่แค้นไว้ทั่วทุกที่ นี่ไม่ใช่การกระทำที่ชาญฉลาด เรื่องบางเรื่องก็อย่าไปทำเลย แต่ถ้าจะทำก็ต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดกำลังโต้ตอบไปซะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่สู้อดทนเอาไว้ดีกว่า ทำแบบนี้ไม่เสียหน้าหรอก คนที่ได้หัวเราะตอนสุดท้ายต่างหากที่เป็นผู้ชนะ ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเดินลำบากทุกก้าว แล้วอีกอย่าง คนระดับเจ้าน่ะ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปทำเรื่องประเภทรบราฆ่าฟันด้วยตัวเองหรอก เดิมริมแม่น้ำบ่อยก็ต้องรองเท้าเปียกเข้าสักวัน ไม่แน่ว่าวันไหนเจ้าอาจจะทำพลาดก็ได้ เรื่องไหนที่ให้ลูกน้องทำได้ก็พยายามให้ลูกน้องทำ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเอาแต่พุ่งไปรบเอง แล้วแบบนั้นเจ้ายังจะมีลูกน้องไว้ทำอะไรอีกล่ะ เจ้ารู้มั้ยว่าทำไมทุกคนอย่างไต่เต้าขึ้นระดับบน? คนที่อยู่ระดับแม่ทัพภาคแล้ว เจ้าเคยเห็นใครต้องลงมือเองบ้างมั้ย? ถ้าไม่ถึงคราวที่หมดหนทาง เจ้าก็พยายามอย่าพุ่งไปอยู่หน้าสุด เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดมั้ย?”
เหมียวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดหรือไม่ แต่ก็กุมหมัดคารวะ “ข้าจะจำไว้”
จะฟังเข้าใจหรือไม่ โค่วเจิงก็ไม่รู้ เขาพูดไว้เพียงเท่านี้ แล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันตัวจากไป
เหมียวอี้ไปส่งถึงทางออกด้านบนของจวนแม่ทัพภาคด้วยตัวเอง และข้างกายโค่วเจิงก็ย่อมมียอดฝีมือติดตามคุมกันไม่น้อย เขามองตามอวิ๋นจือชิวที่พาเชียนเอ๋อร์และเสวี่ยเอ๋อร์หายไป
พอหันกลับมา เห็นเฟยหงอยู่ข้างกาย เหมียวอี้ก็ยิ้มบางๆ แล้วถือโอกาสจูงมือนางเดินกลับไปด้วยกัน
ในขณะที่ตกใจ ในใจเฟยหงก็แอบรู้สึกดีใจ นางอยู่กับเหมียวอี้มาหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นเหมียวอี้ปฏิบัติต่อนางอย่างใกล้ชิดและอ่อนโยนเป็นธรรมชาติขนาดนี้มาก่อนเลย โดยเฉพาะในตอนนี้ข้างกายยังมีคนอื่นอยู่ด้วย มุมปากนางยกยิ้มหวานอย่างควบคุมตัวเองได้ยาก ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้สึกสุขใจเหมือนได้เจอครอบครัวที่จากกันมานาน ในตอนนี้นางเพิ่งจะรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่านี่คือผู้ชายของนาง นางเดินลงบันไดไปพร้อมกับเหมียวอี้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู…
“ตอนที่โค่วเจิงมา เขาไม่ได้ปลอมตัว ตอนที่ไปก็ไม่ได้ปลอมตัว ไปมาอย่างสง่าผ่าเผย พาอวิ๋นจือชิวกับหญิงรับใช้สองคนไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดจะทำอะไร”
ตึกศาลาสัตยพรต เฉาหม่านยืนอยู่ริมหน้าต่างพลางทอดสายตามอง โดยที่ชีเจวี๋ยคอยรายงานสถานการณ์ให้ฟังอยู่ข้างๆ
หลังจากได้ฟังแล้ว เฉาหม่านก็แสยะยิ้ม “ยังจะทำอะไรอีกล่ะ ก็แค่จับตัวประกันเอาไว้ในมือก็เท่านั้นแหละ”
“ตัวประกัน?” ชีเจวี๋ยประหลาดใจ “อวิ๋นจือชิวเป็นลูกสาวบุญธรรมของโค่วหลิงซวี ต่อให้โค่วเจิงใจกล้ากว่านี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอกกระมัง?”
“เจ้าคิดว่าเป็นโค่วเจิงเหรอ?” เฉาหม่านเอียงหน้าเหล่ตามอง “นายท่านส่งข่าวมาแล้ว ว่าประมุขชิงตอบตกลงในราชสำนักแล้ว รับปากว่าจะให้ราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาท”
ในด้านนี้ชีเจวี๋ยก็เคยได้ยินมาแล้วเช่นกัน ขณะที่กำลังอึ้งก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง กล่าวอย่างลังเลว่า “เถ้าแก่ ประมุขชิงยอมรับปากเปล่า แต่ไม่ได้ให้เวลาที่แน่นอน ถ้าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ราชินีสวรรค์ตั้งครรภ์ไม่ได้ ประมุขชิงก็มีข้ออ้างเหตุผลต่างๆ มาบอกปัดอยู่ดี เมื่อถึงตอนนั้น ในการประชุมราชสำนักทางฝั่งนายท่านก็ยังต้องอาศัยแรงจากตระกูลโค่วอยู่ ตระกูลโค่วคงไม่ถึงขั้นหาตัวประกันตอนนี้หรอกมั้ง? ถ้าประมุขชิงบอกปัดจริงๆ การที่ตระกูลโค่วทำแบบนี้ไม่ถือว่าปล่อยไก่หรอกเหรอ แบบนี้จะให้หนิวโหย่วเต๋อคิดยังไง?”
เฉาหม่านโบกมือ แล้วเอามือไขว้หลังหันตัวเดินมาช้าๆ “ตระกูลโค่วคงไม่โง่ถึงขั้นบอกหนิวโหย่วเต๋อว่าจับฮูหยินไปเป็นตัวประกันหรอก ยังต้องดูอีกว่าประมุขชิงจะเคลื่อนไหวในขั้นต่อไปหรือเปล่า ถ้าประมุขชิงไม่มีการเคลื่อนไหว ทางตระกูลโค่วก็จะปฏิบัติต่ออวิ๋นจือชิวอย่างดี ใครจะไปบอกล่ะว่าเป็นตัวประกัน? ถ้าประมุขชิงเคลื่อนไหวในขั้นต่อไป กดดันหนิวโหย่วเต๋อขึ้นมาจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อก็ย่อมนึกได้ว่าอวิ๋นจือชิวยังอยู่ในมือตระกูลโค่ว จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการทรยศ ตระกูลโค่วก็แค่เตรียมพร้อมป้องกันเท่านั้นเอง หรือพูดได้อีกอย่างว่าจำเป็นต้องทำอย่างนี้ เพราะประมุขชิงได้เปรียบกว่ามาก มีไพ่ในมือเยอะกว่าตระกูลโค่ว ถ้าตระกูลโค่วไม่เตรียมตัวล่วงหน้าไว้บ้างสักหน่อย เดี๋ยวตอนหลังอาจจะกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะก็ได้ และการที่โค่วเจิงเข้าออกจวนแม่ทัพภาคและพาตัวอวิ๋นจือชิวไปอย่างสง่าผ่าเผย ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งสัญญาณให้ประมุขชิงรู้ ว่าในมือพวกเขามีตัวประกันอยู่ หวังว่าประมุขชิงจะหยุดความคิดชั่วร้ายเสียที”
ชีเจวี๋ยครุ่นคิดพลางพยักหน้า
วังสวรรค์ อุทยานสายัณห์
ซ่างกวนชิงเดินตามอยู่ข้างหลังประมุขชิง พร้อมรายงานสถานการณ์ที่ได้มาจากตลาดผี
ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินอยู่บนเส้นทางดอกไม้ พอได้ยินรายงานก็ทำเสียงฮึดฮัด “เตรียมส่งคนไปชักจูงให้ยอมจำนนเถอะ”
“ตอนนี้หรือขอรับ?” ซ่างกวนชิงอึ้งทันที “หนิวโหย่วเต๋อทำได้ทุกอย่างเพื่ออวิ๋นจือชิว ตอนนี้อวิ๋นจือชิวอยู่ในมือตระกูลโค่วแล้ว มีหรือที่หนิวโหย่วเต๋อจะยอมตอบตกลง?”
ประมุขชิงกล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ได้ตัวประกันไปคนเดียวก็จะทำให้ข้าถอยได้แล้วเหรอ? ต่อให้อวิ๋นจือชิวไม่ได้อยู่ในมือตระกูลโค่ว ข้าก็ไม่หวังว่าหนิวโหย่วเต๋อจะทรยศตระกูลโค่วง่ายๆ เหรอ ถึงยังไงก็เพิ่งจะยอมรับพ่อบุญธรรมและรับลูกเขยเข้าตระกูล จะชักจูงสำเร็จหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างหนิวโหย่วเต๋อกับตระกูลโค่ว ถ้ามีรอยร้าวแล้วก็ไม่กลัวว่าจะงัดออกจากกันไม่ได้หรอก เมื่ออยู่ภายใต้สถาการณ์ที่เหมาะสม ค่อยโยนโอกาสที่ถูกหลักธรรมนองคลองธรรมให้หนิวโหย่วเต๋อ ก็ย่อมเหมือนน้ำมาคลองเกิด[1]แล้ว”
ซ่างกวนชิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไร ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ฝ่าบาทลำบากสิ้นเปลืองความคิดได้ นับว่าเป็นวาสนาของเขาแล้ว”
“วาสนา? กล้าทรยศข้าเพื่อผู้หญิงคนเดียวยังเรียกว่ามีวาสนาได้อีกเหรอ?” ประมุขชิงยิ้มประชด พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ช่างน่าขัน! แค่หนิวโหย่วเต๋อต่ำต้อยคนเดียวเท่านั้นเอง ข้าใช้งานเขา เขาถึงจะถูกนับว่าเป็นสิ่งของ ถ้าข้าไม่ใช้งานเขา เขาก็ไม่นับเป็นตัวอะไรทั้งนั้น ข้าจะขาดเขาไม่ได้เชียวเหรอ? อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้อสุราอัคนีฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ข้าก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเหมือนกัน เฮอะ! แม้แต่คนของข้ายังกล้าแย่งไป ในเมื่อตาแก่โค่วชอบขโมยเด็ดลูกท้อ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเขาจะกินไหวได้ยังไง!”
ซ่างกวนชิงเข้าใจกระจ่างในฉับพลัน สงสัยแค่ต้องการจะทำให้โค่วหลิงซวีสะอิดสะเอียนเท่านั้น มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงไม่ส่งคนไปหาหนิวโหย่วเต๋อ แต่กลับรอให้ตระกูลโค่วไปก่อน เขากุมกมัดคารวะทันที “ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
ประมุขชิงโบกมือเบาๆ จากนั้นก็เดินเอามือไหว้หลังหายเข้าไปในทางดอกไม้เพียงลำพัง
หลังจากนั้นหลายวัน เวินเจ๋อก็พาทั้งสองไปที่จวนแม่ทัพภาคตลาดผี
เหมียวอี้ได้ยินข่าวแล้วมาต้อนรับทันที พอเห็นตัวคนก็กุมหมัดคารวะมาแต่ไกลๆ “พี่ใหญ่เวิน ทำไมจะมาแล้วไม่บอกล่วงหน้าล่ะ? ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ ล่วงเกินแล้ว” เขากุมหมัดคารวะให้สองคนที่ตามมาข้างหลังเช่นกัน
เวินเจ๋อที่เดินก้าวยาวเข้ามาพูดหยอกว่า “น้องชายผูกขาดที่นี่ไว้คนเดียว ไม่กล้าให้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ หรอก!”
เมื่อทั้งสองเดินมาใกล้กัน เหมียวอี้ก็กลอกตามองบน “พี่ใหญ่เวินกำลังสาดโคลนข้าเกินไปหรือเปล่า ถ้าข้ากล้าผูกขาดตลาดผี ตึกศาลาสัตยพรตจะไม่กำจัดข้าทิ้งเหรอ”
“ฮ่าๆ!” เวินเจ๋อหัวเราะลั่น แล้วก็ตบบ่าเขา “เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้มาจวนแม่ทัพภาคตลาดผี ไป พาข้าเดินดูหน่อย”
“เชิญ!” เหมียวอี้หลีกทางและยื่นมือเชิญ
สวีถังหรานที่กำลังยิ้มสู้มาเดินนำทางอยู่ข้างหน้าอย่างเคารพนอบน้อมทันที พวกเขาเดิมทั่วทั้งจวนแม่ทัพภาคตลาดผีรอบหนึ่ง โดยมีสวีถังหรานแนะนำตลอดทาง
หลังจากเดินเสร็จแล้ว ก็ย่อมเตรียมสุราอาหารเอาไว้ หลังจากดื่มไปหลายจอก เวินเจ๋อก็ให้ผู้ติดตามสองคนถอยออกไปก่อน เหมียวอี้มองออกแล้วว่าเขามีอะไรจะพูด จึงให้คนอื่นๆ ถอยออกไปด้วย จากนั้นก็ถือกาสุรารินให้เวินเจ๋อด้วยตัวเอง “พี่ใหญ่เวินมีธุระอะไรเหรอ?”
หลังจากรินสุราเต็มแล้ว สายตาของเวินเจ๋อก็ไปหยุดอยู่บนหน้าเขา “น้องชายรู้รึเปล่าว่าช่วงนี้ในราชสำนักเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เหมียวอี้เกิดความคิดบางอย่างในใจ จึงยิ้มพร้อมถามว่า “เรื่องเกี่ยวกับราชินีสวรรค์ให้กำเนิดทายาทใช่มั้ย?”
“ข้าว่าแล้วว่าเจ้ารู้” เวินเจ๋อพยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจอีก “น้องชาย เจ้ารู้รึเปล่าว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์อันตราย?”
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “ก็พอจะสังเกตได้บ้างนิดหน่อย”
เวินเจ๋อถามอีกว่า “น้องชายเตรียมจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่เวินคิดว่าตระกูลโค่วอ่อนแอ?” เหมียวอี้ชูจอกสุราคารวะ
เวินเจ๋อยกดื่มหมดหนึ่งจอก แล้วห้ามเหมียวอี้ไม่ให้ถือกาสุรา ตัวเองเป็นคนถือกาสุรารินให้เอง “ไม่กลัวโจรขโมยของ กลัวโจรขโมยความคิด มีแต่เป็นโจรหนึ่งพันวันได้ แต่ป้องกันโจรหนึ่งพันวันไม่ได้ สถานการณ์เป็นยังไงน้องชายคงรู้ชัดอยู่แก่ใจ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก เจ้ากับข้าได้รู้จักกันนับเป็นวาสนา พี่ใหญ่ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นอะไรไป ก็เลยตั้งใจมาช่วยน้องชายอีกแรง”
“อ้อ!” เหมียวอี้รู้สึกสนใจ “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่เวินจะช่วยข้ายังไง?”
เวินเจ๋อถอนหายใจ “ที่จริงผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับน้องชาย ก็เหลือแค่ดูว่าน้องชายยังมีใจอยู่หรือเปล่า ถ้าน้องชายยินดีจะกลับหน่วยองครักษ์ซ้าย เจ้าก็รู้จักนิสัยนายท่านโพ่จวินนี่ ถ้าโวยวายขึ้นมาก็สามารถทำลายเรื่องดีๆ ของราชินีสวรรค์ได้เลย ตอนนี้เป็นโอกาสดีแล้ว ราชินีสวรรค์ไม่กล้าไม่ไว้หน้าโพ่จวินหรอก ถ้าน้องชายกลับไปที่หน่วยองครักษ์ซ้าย ไม่ว่าใครจะอยากแตะต้องเจ้า แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย”
เหมียวอี้พลันเบิกตากว้าง จ้องอีกฝ่ายอย่างเย็นเยียบ เรื่องนี้โพ่จวินกับราชินีสวรรค์ตัดสินใจได้เหรอ? เขาแทบจะนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่อวิ๋นจือชิวกลับไปหาตระกูลโค่วทันที ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโค่วเจิงถึงมารับตัวอวิ๋นจือชิวด้วยตัวเอง ไฟโกรธลุกพรึ่บในชั่วพริบตาเดียว ตระกูลโค่วทำแบบนี้หมายความว่าอะไร กำลังกลัวว่าเขาจะทนการหลอกล่อจากตำหนักสวรรค์ไม่ไหว ก็เลยนำอวิ๋นจือชิวไปเป็นตัวประกันเหรอ? อย่าบอกนะว่าเขาไม่เชื่อใจเหมียวอี้สักนิดเลย?
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เหมียวอี้ก็ยังพยายามระงับสติอารมณ์ของตัวเอง กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท ใครจะกล้าตัดสินใจล่ะ?”
เวินเจ๋อส่ายหน้า “ใครตัดสินใจก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือใครสามารถทำให้น้องชายกลับมาที่กองทัพองครักษ์ได้ ใครที่สามารถรับประกันความปลอดภัยของน้องชายได้อย่างแท้จริง นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด น้องชาย พลาดโอกาสนี้ไม่ได้นะ พลาดแล้วพลาดเลย!”
เหมียวอี้ถอนหายใจช้าๆ เฮือกหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “พี่ใหญ่เวิน ไม่ใช่ว่าหนิวไม่มีคุณธรรมน้ำมิตรหรอกนะ? ไม่ใช่ว่าหนิวไม่รับไม่ตรี และไม่ใช่ว่าหนิวไม่ไว้หน้าพี่ใหญ่เวิน ถ้าอ๋องสวรรค์โค่วไม่อนุญาตเรื่องนี้ ข้าก็รับปากได้ยาก ความหวังดีของพี่ใหญ่เวิน หนิวโหย่วเต๋อซาบซึ้งแล้ว”
…………………………
[1] น้ำมาคลองเกิด 水到渠成 หมายถึงเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างสุกงอมพอดี เรื่องก็จะสำเร็จได้